ที่มาของภาพประกอบ: ผู้จัดการออนไลน์

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการ ครป. นายพิภพ ธงไชย ที่ปรึกษา ครป.และ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ผู้อำนวยการสมัชชาประชาชนเพื่อการปฏิรูปการเมือง (สปป.) ร่วมแถลงข่าว โค้งสุดท้ายการเลือกตั้ง โดย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หากสังเกตบรรยากาศการเลือกตั้งในระหว่างนี้ โดยเฉพาะพรรคพลังประชาชน ได้ฉวยโอกาส ปลุกระดมประชาชน สมาชิกพรรค และเครือข่ายอุปถัมภ์ โจมตีฝ่ายตรงข้ามทั้งรัฐบาล คมช.ปกป้องและฟอกความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และระบอบทักษิณตลอดเวลาในเวทีปราศรัยใหญ่หลายๆ ครั้ง ฟอกผิดและบิดเบือนความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยเดิม

ซึ่งหลายกรณีปรากฏหลักฐานชัดเจน เช่น มีหมายจับจากศาล และขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน รวมทั้งที่ คตส.กำลังสืบสวนสอบสวนกรณีการกระทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐพบความเสียหายเป็นจำนวนหลายแสนล้าน ซึ่งตอกย้ำปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ของชาติ ในขณะที่อีกเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นการแนะนำตัวผู้สมัครและแถลงถึงนโยบายของพรรคพลังประชาชน

"การเลือกตั้งจึงถูกแปรเปลี่ยนเป็นสงครามมวลชน เพื่อชูธงทวงคืนระบอบทักษิณให้กลับมาเรืองอำนาจอีก โดยพรรคพลังประชาชนไม่ได้สนใจ หรือใส่ใจต่อความแตกแยกและความขมขื่นจากระบอบทักษิณในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา ที่หน้าฉากการเมืองกับหลังฉากเป็นคนละเรื่องกัน กล่าวคือ เราได้เห็นความเฟื่องฟูของเศรษฐกิจ แต่เนื้อนัยกลับพบว่ากลุ่มธุรกิจผูกขาดเพียง 10 ตระกูลในพรรคไทยรักไทยเดิมเท่านั้นที่ได้ประโยชน์"

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า โดยเฉพาะกระบวนการแปรรูป ปตท.ที่ฉ้อฉลจนศาลปกครองต้องมีคำพิพากษาให้คืนทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน และท่อส่งก๊าซ ให้กับรัฐ พฤติกรรมของระบอบทักษิณพยายามที่จะเอาทรัพย์สมบัติของคนไทยไปขาย เพื่อให้กลุ่มทุนผูกขาดในพรรคไทยรักไทยเดิมได้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าของหุ้น ในขณะที่ประชาชนต้องแบกรับกับปัญหาพลังงาน น้ำมัน และก๊าซหุงต้ม ราคาแพงเกินควร

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ครป.และ สปป.เห็นว่า เพียง 1 เสียงของท่าน จะร่วมเปลี่ยนวิกฤตของประเทศให้เป็นโอกาสได้ โดยไม่ควรไปเสี่ยงกับการเลือกพรรคการเมืองที่สนับสนุนคนโกงชาติบ้านเมือง และเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกในสังคมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เราต้องมั่นใจว่าพรุ่งนี้ต้องนี้กว่าวันนี้หรือเมื่อวาน และตระหนักในสำนึกพลเมืองในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย เราทุกคนไม่ว่าสูงต่ำดำขาวล้วนเป็นหุ้นส่วนประเทศ ไม่ใช่ผู้ขออาศัยอยู่ ช่วยกันเลือกอนาคตที่เราภาคภูมิใจว่าสิทธิ และศักดิ์ศรีของพวกเราจะได้รับการคุ้มครองอย่างไม่เลือกปฏิบัติอีกต่อไป

"หากท่านนิ่งเงียบไม่ออกไปใช้สิทธิเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติแล้ว พวกเขาจะพาเราเดินย้อนรอยกลับไปหาอดีตที่ร้าวฉาน แตกแยกและเผชิญหน้า หรือเอาหนึ่งเสียงของเราเป็นเพียงเครื่องฟอกผิดให้กับใครบางคน ความขมขื่น และเจ็บปวดที่สังคมไทยต้องแบกรับภาระมา 4-5 ปี 1 เสียงของพลังเงียบพาสังคมพ้นจากดงหนามแห่งความเจ็บปวดที่นำประเทศไปเป็นเครื่องมือของกลุ่มทุนข้ามชาติและแฝงเร้นไปด้วยการทุจริตทางนโยบาย ดังนั้นเราควรเลือกพรรคที่จะพาเราก้าวพ้นจากฝันร้าย มองไปข้างหน้า ไม่โหยหาอดีตที่ขมขื่นและแตกแยกอีกต่อไป" นายสมศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างแท้จริง พลังเงียบ ในสถานการณ์ปัจจุบันจึงถือเป็นพลังชี้ขาดที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองให้ดีขึ้น ฉะนั้นหากพลังเงียบ ยังนิ่งเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับวิกฤตปัญหาของประเทศ หรือหมดหวังกับการเมืองและการเลือกตั้ง ก็เท่ากับว่าเรายินยอมพร้อมใจให้นักเลือกตั้งแอบอ้าง ความเป็นตัวแทนปู้ยี่ปู้ยำ หรือนำพาประเทศไปในทางอำเภอใจ ซักวันหนึ่งผลกระทบก็คงวนกลับมาถึงเราอยู่ดี ครป.และ สปป.หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพลังเงียบจะลุกขึ้นมาใช้สติปัญญาเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาวิกฤตของบ้านเมืองในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ โดยไม่ดำรงตนเป็นเพียง ผู้ฉลาดหลังเหตุการณ์ หรือไทยมุงทางการเมือง อีกต่อไป

ด้าน นายพิภพ กล่าวว่า เชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้พลังเงียบจะออกมาเป็นจำนวนมากเหมือนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และการเลือกตั้งครั้งนี้ หากได้พรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หรือร่วมรัฐบาล เราไม่คัดค้าน แต่ไม่ใช่ได้พรรคพลังประชาชนเข้ามาแล้วให้ ส.ส.ของตัวเองเปลี่ยนแปลงกฎหมายโดยยกเลิกการนิรโทษกรรมกรรมการบริหารพรรคทั้ง 111 คน และยกเลิก คตส.ถ้าเป็นเช่นนี้ ทางพันธมิตรฯจะไม่หยุดแน่ แต่ถ้าหากพลังประชาชนเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาต่อสู้คดีในประเทศไทย โดยผ่านกระบวนการยุติธรรมนั้นเรารับได้