โดย : ไมเคิล แชง (Michael Cheng)
แปลและเรียบเรียงโดย : ปกป้อง เลาวัณย์ศิริ
สภาเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาแห่งเอเชีย (ฟอรั่ม-เอเชีย)
"การเคาะประตูที่ตัดสินใจอนาคตเกิดขึ้นกลางดึก นำผมไปสู่ชีวิตที่ไม่มีแสงอาทิตย์ พวกเขานำตัวผมไปจากครอบครัว โยนสิทธิและศักดิศรีของผมทิ้งไป"
กฎหมายเผด็จการเฉกเช่น พ.ร.บ. ความมั่นคงภายใน ได้ถูกใช้โดยรัฐบาลหลายประเทศเพื่อคุกคามการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างสันติ พ.ร.บ. เช่นนี้ได้รับอิทธิพลมาจากช่วงที่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ภายใต้อาณานิคมของสหราชอาณาจักร ปัจจุบันในภูมิภาคนี้ กฎหมายนี้ได้ถูกใช้ในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และบรูไน
เรจีโนล ฮุจ ฮิคลิง (Reginald Hugh Hickling) ทนายอังกฤษที่เป็นผู้ร่าง พ.ร.บ. ความมั่นคงในประเทศเหล่านี้ได้เขียนใน ค.ศ. 1989 ว่า "ผมไม่สามารถจิตนาการได้ในเวลานั้นว่า อำนาจในการคุมขังนี้...จะถูกใช้ต่อกลุ่มฝ่ายค้านทางการเมือง แรงงานที่เรียกร้องสวัสดิการ และประชาชนทั่วไปที่ดำเนินกิจกรรมเรียกร้องสิทธิอย่างสันติ"
แม้ว่าเราจะได้รับเสียงการวิพากษ์วิจารณ์ พ.ร.บ.นี้ ซึ่งรวมถึงหลักฐานมากมายที่โยง พ.ร.บ.นี้เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางการเมือง มันเป็นสิ่งที่น่ากังวลมากเมื่อเราได้ยินว่า ได้มีผลักดันให้มีกฎหมายลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยหรือฟิลิปปินส์
พ.ร.บ. ความมั่นคงภายใน เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจรัฐบาลในการควบคุมตัวบุคคลใดๆ ก็ได้เป็นระยะเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุด โดยการใช้คำอธิบายจากรัฐบาลว่า บุคคลนั้นๆ เป็นภัยกับความมั่นคงของประเทศ
ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายเช่นนี้อธิบายว่า กฎหมายนี้เป็นเสมือนใบผ่านทางที่รัฐบาลสามารถจับกุมใครก็ได้ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมใดๆ เลย
"กฎหมายความมั่นคงในมาเลเซียได้ถูกคงไว้ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องเพราะมันเป็นเครืองมือที่สามารถใช้ได้อย่างง่ายดายโดยรัฐ นอกจากนี้ยังเป็นเครืองมือในการสร้างความกลัวโดยรัฐ และใช้อย่างต่อเนื่องกับนักกิจกรรมที่ต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนของประชาชนมาเลเซีย" ดร. คัว เคีย ซูง (Kua Kia Soong) กล่าวถึง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในปี ค.ศ. 2005 ดร. ดัวเป็นนักสังคมศาสตร์และคณะกรรมการบริหารขององค์กรเสียงของประชาชนมาเลเซีย (SUARAM) องค์กรสิทธิมนุษยชนแนวหน้าของประเทศมาเลเซีย
เริ่มแรกกฎหมายเช่นนี้ถูกร่างและนำใช้เป็นอาวุธที่มีอำนาจเพื่อต่อต้านขบวนการคอมมิวนิสต์ในช่วงที่สหราชอาณาจักรปกครองประเทศเหล่านี้ แต่ต่อมารัฐบาลได้นำมาใช้เป็นอาวุธต่อต้านการเรียกร้องสิทธิทางการเมืองและสิทธิเสรีภาพการแสดงออก
ในปฎิบัติการลาแลง (Operation Lalang) ในปี ค.ศ. 1987 ประชาชนมาเลเซียมากกว่า 106 คนถูกควบคุมตัวภายใต้ พ.ร.บ. ความมั่นคงภายใน รัฐบาลอ้างว่าประชาชนที่ถูกคุมขังมีส่วนเกี่ยวข้องในกิจกรรมที่ "เป็นอันตรายกับความมั่นคงของมาเลเซีย" บุคคลที่ถูกคุมขังประกอบไปด้วย ลิม คิท เซีย (Lim Kit Siang) ผู้นำของฝ่ายค้าน ดร. ชานดร้า มูซาฟาร์ (Chandra Muzzafar) นักกิจกรรมทางด้านสิทธิมนุษยชน (ซึ่งบุคคลทั้งสองนี้ถูกคุมขังเป็นเวลาสองปี) นอกจากนี้ยังรวมถึงอาจารย์มหาวิทยาลัย นักสิ่งแวดล้อม นักธุรกิจ และสมาชิกของพรรคอัมโน (United Malays National Organisation) คนทั้งหมดต่างได้มีบทบาทวิพากษ์รัฐบาล
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2001 ก่อนการเตรียมการชุมนุมเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ครบรอบสองปีของการคุมขังนายอันวาร์ อิบบราฮิม (Anwar Ibrahim) นักโทษทางความคิด ตำรวจของมาเลเซียได้จับกุมตัวนักกิจกรรมทางการเมืองเก้าคนและนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนอีกหนึ่งคนโดยอ้างถึง พ.ร.บ. ความมั่นคงภายใน
เชีย ทาย โปห์ (Chia Thye Poh) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคสังคมนิยมบารีสาน (Barisan Sosialis Party) ในสิงคโปร์ได้ถูกคุมขังโดยไม่ได้ขึ้นศาลตั้งแต่ปี 1966 และถูกคุมขังเป็นระยะเวลามากกว่า 23 ปีภายใต้กฎหมายความมั่นคงภายใน ทำให้เขาเป็นนักโทษทางความคิดที่ถูกจองจำนานที่สุดในประวัติศาสตร์รองจากเนลสัน เมนเดลลา นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและอดีตประธานาธิบดีของแอฟริกาใต้
ในปี 1962 (ก่อนการประกาศอิสรภาพของสิงคโปร์) ตนกู อับดูล รามัน (Tungkul Abdul Rahman) นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียในขณะนั้นได้กล่าวว่า นายลีกวนยู (Lee Kuan Yew) นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ "ได้ใช้โอกาสในสถานการณ์การเมืองที่เร่งรีบในการคุมขังคู่ต่อสู้ทางการเมืองโดยใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคงฯ เพียงแค่พวกเขามีความคิดที่แตกต่าง"
ในปี ค.ศ. 1987 ชาวสิงคโปร์จำนวน 22 คนถูกกักขังภายใต้ข้อหาที่เกี่ยวข้องกับแผนการของก่อการร้ายโดยกลุ่มมาร์กซิสต์ ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ถูกจับเป็นบุคคลที่ล้วนไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเช่นนี้ รัฐบาลสิงคโปร์อ้างว่า ผู้ต้องสงสัยพยายามที่จะล้มล้างรัฐบาลโดยกระบวนการที่ผิดกฎหมาย นักวิจารณ์ได้ให้ข้อสังเกตว่า เป็นการปราบปรามทางการเมืองโดยเฉพาะเนื่องจากที่บุคคลเหล่านั้นเป็นอาสาสมัครหรือมีบทบาทเกี่ยวข้องกับพรรคแรงงานซึ่งเป็นพรรคการเมืองทางเลือกในประเทศ
ในปัจจุบัน ภายใต้สถานการณ์การเมืองโลกหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน รัฐบาลต่างๆ พยายามสร้างความชอบธรรมโดยใช้กฎหมายความมั่นคงภายในเพื่ออ้างปฎิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย ในสิงคโปร์มีผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับคดีก่อการร้ายมากกว่า 40 คนที่กำลังถูกกักขังในประเทศ ประชาชนมากกว่า 100 คนถูกคุมขังด้วยข้อหาคล้ายกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมาในมาเลเซีย ในจำนวนนี้ไม่มีผู้ต้องหาคนไหนเลยที่ถูกนำตัวขึ้นศาล ผ่านกระบวนยุติธรรม หรือมีสิทธิในการเข้าถึงทนาย
ผลกระทบกับ พ.ร.บ. ความมั่นคงฯ ในสิงคโปร์เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่น่าเศร้ามาก การละเมิดสิทธิเสรีภาพการแสดงออก เป็นผลผลิตอย่างหนึ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ ในทุกกิจกรรมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ (ที่มีน้อยมากในปัจจุบัน เนื่องจากการคุมคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ) มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นเจ้าหน้าที่จากกรมความมั่นคงภายใน (Internal Security Department) ปรากฎตัวอยู่ด้วยในการรณรงค์เหล่านั้น
วลีเช่น "พ.ร.บ. ความมั่นคงฯ" หรือ "กรมความมั่นคงฯ" เมื่อเอ่ยขึ้นในการกระซิบและพูดคุยบนเกาะสิงคโปร์ยังคงสร้างความสนใจที่ปะปนความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นกับผู้ร่วมสนทนาอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศแห่งความกลัวสืบเนื่องจากการใช้กฎหมายนี้ในอดีตได้ขัดขวางและผลักไสประชาชนออกจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองในปัจจุบัน
เบรมา มาธี (Braema Mathi) อดีตประธานของ Transient Workers Count Too (TWC2) ซึ่งเป็นองค์กรแรงงานในสิงคโปร์ได้พูดสั้นๆ ว่า "สิ่งที่ฝังแน่นลงไป คืออำนาจของรัฐและเครื่องมือที่รัฐสามารถใช้ได้ สิ่งที่เราได้กลับมาคือความกลัว และระยะเวลาที่ต้องใช้ในการกำจัดความกลัวนี้ทิ้งไป"
ซินาปัน แซมมี่โดรัย (Sinapan Samydorai) ประธานของ
พ.ร.บ. ความมั่นคงภายใน เป็นตัวอย่างของกฎหมายที่ปราศจากความยุติธรรม และเป็นกฎหมายที่ทำลายพื้นที่ของประชาธิปไตย ภายใต้ พ.ร.บ. นี้ หลักสมมุติฐานซึ่งเป็นหลักพื้นฐานกฎหมายที่ว่าบุคคลๆ หนึ่งจะมีความบริสุทธิ์จนกว่าศาลจะตัดสินว่ามีความผิด จะถูกโยนทิ้งออกนอกหน้าต่าง รัฐบาลไม่จำเป็นต้องมีข้อกล่าวหาใด ๆ ทั้งสิ้นต่อผู้ต้องสงสัยในศาล ดังนั้นผู้ต้องสงสัยจะสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร
ภายใต้กฎหมายลักษณะเช่นนี้ ผู้ต้องสงสัยจะถูกปฎิเสธสิทธิที่จะเข้าถึงทนาย ครอบครัว และการรักษาพยาบาลที่เป็นอิสระ นอกจากนี้ยังสามาถเป็นเหยื่อกับการทำทารุณกรรมและกระบวนการไต่สวนที่ไร้ซึ่งหลักมนุษยธรรม มีหลายกรณีที่ผู้ต้องสงสัยที่ถูกกล่าวหาภายใต้ พ.ร.บ. ความมั่นคงภายในถูกทรมานทั้งทางจิตใจและทางร่างกาย
สิ่งที่น่าตกใจ คือคนจำนวนมากไม่ได้ตระหนักหรือเลือกที่จะไม่ใส่ใจว่า พ.ร.บ. ความมั่นคงภายในเป็นกฎหมายที่ขัดกับหลักรัฐธรรมนูญ ในฐานะที่ประเทศๆ หนึ่งเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ประเทศนั้นๆ มีหน้าที่ในการเคารพและยินยอมทำตามกติกาและอนุสัญญาต่างๆ ของสหประชาชาติ ประเทศไทยและฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นสองประเทศที่พยายามผ่านกฎหมายความมั่นคงภายในนอกเหนือจากเป็นสมาชิกของสหประชาติ และยังได้ลงสัตยาบันกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
การกระทำของรัฐบาลเหล่านี้กำลังเป็นปฎิปักษ์อย่างชัดเจนกับผลผลิตของพฤติกรรมที่ได้รับการยอมรับในเวทีสากล รัฐบาลเหล่านี้ นอกเหนือจากปฎิเสธความรับผิดชอบกับกฎหมายระหว่างประเทศที่รัฐเหล่านั้นเป็นภาคียังได้ทำร้ายสถานภาพของตัวเองในเวทีประชาชาติอีกด้วย
ปัจจุบันนี้เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลต่างๆ กำลังคุกคามและละเมิดสิทธิมนุษยชนและริดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยการผ่านกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายและ พ.ร.บ. ความมั่นคงภายใน เราต้องคอยตระหนัก จับตาดู และระมัดระวังกับปฎิกิริยาของรัฐบาล
ในสถานการณ์ที่ "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" กำลังเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องที่ง่ายผ่านวาทกรรมและการข่มขู่ของรัฐบาลที่จะทำให้เรายอมรับว่าปรากฎการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นจริง แต่เราต้องไม่ยอมที่จะสละพื้นที่แม้แต่นิ้วเดียวในการปล่อยให้รัฐบาลกระทำการในการคุกคามสิทธิมนุษยชนของเรา
ปัจจุบันได้มีขบวนการรณรงค์ต่อต้าน พ.ร.บ. ความมั่นคงภายในเกิดขึ้นในหลายประเทศ..
ถ้าคุณไม่กล้าพูดต่อต้าน พ.ร.บ. ความมั่นคงฯ คุณกำลังให้อำนาจทุกอย่างกับรัฐบาล
คุณกำลังให้อำนาจรัฐบาลในการมาเคาะประตูบ้านคุณและนำตัวคุณไป
คุณกำลังยอมสูญเสียศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไป
และ...คุณกำลังยอมสูญเสียสิทธิของคุณไป
.....................................................................................
ไมเคิล แชง (Michael Cheng) เป็นรองเลขาธิการของ Think Centre องค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศสิงคโปร์ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการวิพากษ์วิจารณ์ และศึกษาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการทางการเมือง ประชาธิปไตย นิติธรรม สิทธิมนุษยชน และภาคประชาสังคม
กิจกรรมของ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)