"ไทยศึกษาออสซี่" ท้วงตากใบทมิฬ

แคนเบอร์ร่า-7 พ.ย. 47 รายงานข่าวจากกรุงแคนเบอร์ร่า ประเทศออสเตรเลียระบุว่า นักวิชาการและนักศึกษาสาขาไทยศึกษา ณ มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย กว่า 20 คน รวมตัวออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจและเป็นห่วงต่อกรณีโศกนาฏกรรมที่ตากใบและความรุนแรงในภาคใต้

กลุ่มนักวิชาการและนักศึกษาดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วยผู้ที่สนใจศึกษาและติดตามสถานการณ์ในสังคมไทยอย่างใกล้ชิด ได้ร่วมกันออก "แถลงการณ์แสดงความเป็นห่วงต่อกรณีโศกนาฏกรรมที่ตากใบ และสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ของประเทศไทย" เสนอความเห็นให้รัฐบาลไทยทบทวนจุดยืนและนโยบายในการแก้ปัญหาทั้งระบบ หลีกเลี่ยงมาตรการทางอาวุธ ให้หันมาศึกษาความเป็นมาทางประวัติศาสตร์การเมือง สังคม วัฒนธรรม และศาสนาของชุมชนชาวมุสลิมให้ถ่องแท้ เน้นเคารพสิทธิและเสียงของประชาชน จัดการศึกษาอบรมให้เจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับเข้าใจและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน และที่สำคัญต้องเร่งเสริมสร้างทัศนคติในการยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและศาสนาในสังคมวงกว้าง เพื่อลดการแบ่งแย่งและยุติวงจรความรุนแรงในระยะยาว

กลุ่มนักวิชาการไทยศึกษาฯ ระบุว่าจะได้จัดส่งแถลงการณ์ดังกล่าวให้สถานทูตไทยในออสเตรเลียต่อไป

ผู้ประสานงานกลุ่มไทยศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาตออสเตรเลีย (กรณีตากใบ)
วราภรณ์ แช่มสนิท
น.ศ. ปริญญาเอกสาขามานุษยวิทยา
สำนักวิจัยแปซิฟิคและเอเชียศึกษา
มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย

แถลงการณ์แสดงความเป็นห่วง
ต่อกรณีโศกนาฏกรรมที่ตากใบ และสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ของประเทศไทย
โดย
กลุ่มไทยศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย
กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย
7 พฤศจิกายน 2547

พวกเรา สมาชิกกลุ่มไทยศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาและนักวิชาการชาวไทยและออสเตรเลีย ผู้สนใจศึกษาและติดตามสถานการณ์ทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจและการเมืองในประเทศไทย

ในฐานะแห่งความเป็นมนุษย์ พวกเราขอแสดงความเสียใจและเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อโศกนาฏกรรมความรุนแรงที่สืบเนื่องจากการปราบปรามและกวาดจับประชาชนผู้ชุมนุมประท้วงที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา อันเป็นผลให้มีประชาชนชาวไทยเสียชีวิตถึง 85 ราย และบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก โดยผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดเป็นกรณีการเสียชีวิตในสภาพทุกข์ทรมาน อันเนื่องมาจากปฏิบัติการณ์โดยใช้ความรุนแรงและไร้มนุษยธรรมขณะอยู่ภายใต้การจับกุมของกองกำลังของรัฐ

พวกเรามีความเห็นว่า ภายหลังเกิดเหตุการณ์อันน่าสลดใจดังกล่าว รัฐบาลไทยไม่ได้แสดงท่าทีที่บ่งบอกถึงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะต่อสถานการณ์ความสูญเสียต่อชีวิตของประชาชนจำนวนมากโดยการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ

พวกเราขอย้ำว่า สถานการณ์ความรุนแรงที่อำเภอตากใบไม่ได้เกิดขึ้นเป็นกรณีเฉพาะ หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจรัฐและพลเมืองไทยมุสลิมในภาคใต้ที่มีประวัติศาสตร์และที่มาของปัญหาสืบเนื่องเรื้อรัง ปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องหรือจำกัดอยู่แต่เฉพาะประเด็นความขัดแย้งระหว่างนักการเมือง การค้ายาเสพติด ขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือขบวนการก่อการร้าย เช่นที่เป็นคำอธิบายของเจ้าหน้าที่รัฐ

การละเลยความสำคัญของบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของท้องถิ่น ส่งผลให้การแก้ปัญหาของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลชุดปัจจุบัน ต้องประสบกับความล้มเหลวในอันที่จะประกันความสงบสุขและความปลอดภัยอย่างแท้จริงแก่ประชาชนในท้องถิ่นมาโดยตลอด สถานการณ์ที่ติดตามมาคือ การที่รัฐบาลยิ่งเพิ่มแนวโน้มที่จะจัดการกับปัญหาโดยใช้มาตรการทางอาวุธและความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังเห็นได้จากกรณีการจัดการกับสถานการณ์ความไม่สงบที่จังหวัดยะลา ปัตตานี และสงขลา จนเป็นผลให้มียอดผู้ถูกสังหารถึงกว่าหนึ่งร้อยคนภายในระยะเวลาอันสั้นเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา และดังเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า มาตราการทางอาวุธดังกล่าวได้นำมาซึ่งความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าของฝ่ายรัฐ ขณะเดียวกันก็ยิ่งกระตุ้นให้ชุมชนชาวไทยมุสลิมเกิดความไม่ไว้วางใจในรัฐเพิ่มมากขึ้น นำมาซึ่งวงจรความรุนแรงที่ได้สร้างความสูญเสียแก่ชีวิตทั้งของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่เป็นชาวไทยมุสลิมและไม่ใช่ชาวไทยมุสลิมมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งยังส่งผลให้เกิดเป็นความรู้สึกหวาดระแวงและมุ่งร้ายในระหว่างประชาชนต่างศาสนา

ท่ามกลางสถานการณ์อันน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งนี้ พวกเราในฐานะนักศึกษาและนักวิชาการ ขอเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย ดังนี้

1. รัฐบาลไทยต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ ทั้งนี้รวมถึงการออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการในนามของรัฐบาล แสดงความเสียใจและขอโทษต่อประชาชน โดยเฉพาะต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ที่อำเภอตากใบและเหตุการณ์สืบเนื่องอื่น ๆ และดำเนินมาตรการชดใช้อย่างเป็นธรรม อย่างจริงใจและเร่งด่วน

2. เร่งรัดกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและกระบวนการยุติธรรม เพื่อเปิดเผยความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และนำผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดทุกระดับชั้นมาลงโทษตามกฎหมาย ทั้งนี้ ควรให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และองค์การด้านสิทธิมนุษยชนที่ไม่ใช่องค์กรของรัฐเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว

3. รัฐบาลต้องเคารพต่อสิทธิในการชุมนุมประท้วงอย่างสงบของประชาชน

4. รัฐบาลต้องจัดกิจกรรมให้การศึกษาและอบรมแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการจัดการกับสถานการณ์ความไม่สงบ ทั้งนี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีความตระหนักรู้ เคารพ และปฏิบัติตามหลักสากลด้านสิทธิมนุษยชน ในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมประท้วงอย่างมีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง และคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม

5. รัฐบาลต้องทบทวนจุดยืนในการจัดการปัญหาในภาคใต้อย่างจริงจังและเป็นระบบ ทั้งนี้เพราะเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า จุดยืนที่ผ่านมาของรัฐบาลมีความโน้มเอียงไปในทางการแก้ปัญหาเฉพาะจุด และส่งเสริมการใช้อาวุธและความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะนำมาซึ่งความล้มเหลวในการแก้ปัญหา แต่ยังได้สร้างความทุกข์โศก และกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกชิงชัง ตลอดจนการตอบโต้ด้วยความรุนแรงในหลายกรณี ในหมู่ชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนับวันแต่จะขยายวงกว้างออกไป

ในกระบวนการทบทวนจุดยืนของฝ่ายรัฐดังกล่าว จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับบริบททางประวัติศาสตร์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม กลุ่มชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และศาสนาของประชาชนในพี้นที่ โดยตั้งอยู่บนหลักการของการเคารพในความแตกต่างทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของกลุ่มชนต่าง ๆ และโดยการรับฟังความคิดเห็น ความรู้สึก และความคาดหวังของประชาชนในท้องถิ่นต่อสถานการณ์ที่พวกเขามีส่วนได้รับผลกระทบ และรัฐบาลควรหันมาให้ความสำคัญกับมาตรการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม แทนการใช้อาวุธเข้าปราบปราม

6. ความดำริของรัฐบาลในการที่จะพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคใต้นั้น ควรดำเนินต่อไป แต่เช่นเดียวกับทิศทางการพัฒนาในภาคอื่น ๆ แนวทางการพัฒนาของรัฐต้องตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า ประชาชนในท้องถิ่นต้องมีโอกาสร่วมตัดสินใจในกระบวนการพัฒนาทุกระดับอย่างแท้จริง

พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลไทยจะให้ความใส่ใจพิจารณาข้อความเห็นของพวกเราดังแสดงมาข้างต้น ทั้งยังหวังให้สมาชิกในทุกภาคส่วนของสังคมไทย ร่วมกันแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นโดยยึดหลักอหิงสธรรม มุ่งยุติวงจรความรุนแรง เพื่อสันติภาพที่ยังยืนและความสงบสุขอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นแก่ประชาชนในเร็ววัน.

ประชาไทรายงาน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท