Skip to main content
sharethis

ในหนังสือ "คลื่นยักษ์ซึนามิ" เขียนโดย เจริญ ธนสถิตกุล ได้บันทึกกระแสข่าวและความขัดแย้งในเรื่องคลื่นยักษ์ซึนามิ ในช่วงเดือนสิงหาคม พ.ศ.2541 เอาไว้ว่า กระแสข่าวดังกล่าวได้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อธุรกิจท่องเที่ยวทางภาคใต้อย่างเลี่ยงไม่ได้

จนทางสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต เดินทางเข้าพบ นายจเด็จ อินสว่าง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในสมัยนั้น เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้ทางรัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาการให้ข่าวของ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช เป็นการด่วน

โดยหนังสือดังกล่าวระบุเลขที่ สทภ.165/2541 ถึง นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้

"จากการให้สัมภาษณ์ของ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช รองปลัดกระทรวงคมนาคม อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ลงข่าวในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ยืนยันตักเตือนย้ำรอบสอง ในเรื่องของคลื่นยักษ์ซึนามิ มีแนวโน้มจะถล่มในบริเวณภาคใต้ชายฝั่งทะเลตะวันตก ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ เป็นสาเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวใต้ท้องทะเลเหมือนกับที่เกิดขึ้นที่ปาปัวนิวกินี เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่คลื่นยักษ์ซึนามิจะร้ายแรงกว่าเป็น 100 เท่า ซึ่งการให้สัมภาษณ์ของ ดร.สมิทธ สร้างความสับสนหวาดกลัวแก่ผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะจะมีผลเสียหายต่อธุรกิจท่องเที่ยวอย่างแน่นอน จึงเรียนมาเพื่อโปรดหาทางแก้ไขโดยเร็วที่สุด"

นายเจด็จ ยังระบุอีกว่า แม้ว่าข่าวดังกล่าวจะออกมาจากผู้ที่มีความปรารถนาดี แต่ข่าวนี้ก็ไม่น่าจะเป็นจริง และขอให้ประชาชนอย่าตื่นตกใจ เพราะนักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า ยังไม่มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และปรากฎการณ์ที่เคยเกิดขึ้นแถบปาปัวนิวกินี ก็ยังไม่มีการยืนยันว่าเกิดจากกรณีนี้ ซึ่งอาจเป็นแค่แผ่นดินไหวธรรมดา

ขณะที่พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ รมว.มหาดไทยในสมัยนั้นได้กล่าวไว้ว่า ตนได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในภาคใต้ แจ้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนให้ทราบว่า หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจะเตรียมการอย่างไร ทุกฝ่ายเป็นห่วง แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงรับสั่งให้เตรียมป้องกัน

ในขณะที่ การประมวลข้อมูลตามข้อเท็จจริงและเหตุผลทางทฤษฎีตามหลักวิชาการของกรมทรัพยากรธรณีวิทยา พ.ศ.2541 ได้สรุปว่า "การเกิดคลื่นยักษ์ในทะเลอันดามัน มีโอกาสเป็นได้น้อย"

แต่ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ระบุว่า จากหลักฐานทางธรณีวิทยา ข้อมูลและแผนที่ต่างๆ ที่ได้ทำการศึกษา สามารถยืนยันได้ว่ามีรอยเลื่อนของเปลือกโลกในทะเลอันดามันอย่างแน่นอน

ในห้วงนั้นฝ่าย ดร.สมิทธ ได้ยืนยันว่า มีหลักฐานที่ชัดเจนว่า บริเวณแถบนี้มีรอยเลื่อนของเปลือกโลก ทำให้เคยเกิดแผ่นดินไหวที่อินโดนีเซียมาแล้ว ซึ่งมีผู้คนเสียชีวิตนับร้อยคนเมื่อปี 1994 รอยแยกของเปลือกโลกที่ถูกค้นพบ เป็นสาเหตุกับที่เกิดขึ้นในอินโดนีเซีย และมีข้อมูลจากเซาธ์เทิร์น ยูนิเวอร์ซิตี้ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ที่ยืนยันว่า ข้อมูลดังกล่าวอาจทำให้เกิดคลื่นยักษ์ในประเทศไทยได้

ขณะเดียวกัน กรมอุตุนิยมวิทยาในขณะนั้น เมื่อเชื่อว่าจะไม่เกิดคลื่นยักษ์ แต่ขณะเดียวกันกลับมีหนังสือแจ้งไปที่กรมการปกครอง ให้มีการเตรียมป้องกันภัย นั่นเท่ากับแสดงว่าเริ่มไม่มีความมั่นใจ

การเกิดคลื่นยักษ์ซึนามิ ที่ปาปัวนิวกินี เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2541 มีคลื่นยักษ์ซึนามิสูงร่วม 30 ฟุต ซึ่งเกิดจากแผ่นดินไหวใต้น้ำ คลื่นยักษ์ซึนามิมาแบบไม่รู้ตัวในตอนกลางคืน ปรากฎว่า หมู่บ้านชาวประมง 6 หมู่บ้าน พร้อมประชาชนราว 3,000 คน ได้หายหรือตายไปในทันที

อันที่จริงคลื่นยักษ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1930 หรือ พ.ศ.2473 และกลับมาเกิดซ้ำอีกครั้งในปี ค.ศ.1998 หรือ พ.ศ.2541 นับเป็นระยะเวลาที่ใกล้เคียงกับการเกิดแผ่นดินไหวของไทย เมื่อปี พ.ศ.2457 หมายความว่า เหตุการณ์ดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ดังนั้น จึงควรศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมและหาทางป้องกันอย่างรอบคอบ

เมื่อมีการพบรอยเลื่อนของเปลือกโลกในทะเลอันดามัน ทำให้หลายคนมีความวิตกกันว่า หากมีแผ่นดินไหวขนาด 7 ริคเตอร์ เกิดขึ้นในบริเวณรอยเลื่อนสำคัญ โดยเฉพาะที่รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ซึ่งมีจุดเริ่มต้น ตั้งแต่เกาะภูเก็ต ผ่านอ่าวไทยทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือถึงตะวันตกเฉียงใต้ ช่วงละติจูด 8-10 องศา เกรงกันว่า "คนไทยจะประสบกับโศกนาฏกรรม เหมือนหรือยิ่งกว่าปาปัวนิวกินี"

ในหนังสือยังระบุอีกว่า ปกติคลื่นยักษ์ซึนามิ มักเกิดเป็นวัฏจักรในรอบ 80 ปี ก่อนหน้านี้ สถาบันวิจัยแผ่นดินไหวสหรัฐฯ ได้บันทึกประวัติการเกิดแผ่นดินไหว ที่มีจุดศูนย์กลางจากรอยเลื่อนดังกล่าวในทะเลอันดามันว่า…

เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2457 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.2 ริคเตอร์มาแล้ว และเกิดซ้ำอีกครั้ง เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2476 ในบริเวณใกล้เคียงกัน แต่มีความรุนแรง 6.5 ริคเตอร์ ตามหลักการเกิดแผ่นดินไหวนั้น บริเวณใดที่เคยเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาแล้ว ก็มักจะมีโอกาสเกิดซ้ำเป็นวัฏจักรอีก

ด้วยเหตุนี้ บริเวณรอยแยกของเปลือกโลก ซึ่งได้สั่งสมพลังงานไว้ ณ บริเวณดังกล่าว เกิดปลดปล่อยพลังงานออกเมื่อใด นอกจากก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนใต้ผิวน้ำมโหฬาร อันเป็นสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเล ย่อมมีผลโดยตรงต่อการขับเคลื่อนของมวลสารน้ำทะเล อันเป็นที่มาของปรากฎการณ์ซึนามิ

ซึ่งแทบจะสังเกตไม่ออก เพราะคลื่นมีความสูงจากพื้นผิวน้ำเพียง 30 เซนติเมตร แต่ถ้าสังเกตให้ดี จะมีความเร็วสูงมาก ประมาณ 600-1,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เมื่อเคลื่อนตัวผ่านที่ตื้น ก็จะเพิ่มความสูงอย่างทันทีทันใดถึง 15-30 เมตร กลายเป็นคลื่นยักษ์ที่กวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ลงสู่ท้องทะเลในชั่วพริบตา

ในหนังสือเล่มนี้ ยังได้แนะวิธีสังเกตและการป้องกันตนจากคลื่นซึนามิ เอาไว้ตั้งแต่ปี 2541 ซึ่งได้แนะนำให้ประชาชนหรือผู้ที่มีกิจกรรมในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับชายทะเล ควรรู้เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ว่าควรปฏิบัติอย่างไร เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตนโดยละเอียดทุกขั้นตอน และยังย้ำอีกว่า เป็นสิ่งที่คนไทยควรเรียนรู้ เพื่อรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ เพื่อความไม่ประมาท

…ทว่า คำเตือนของ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช เมื่อปี พ.ศ.2541 นั้น กลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระ และถูกมองในเชิงลบ ไม่มีใครคำนึงหรือสนใจเรียนรู้และเตรียมตั้งรับภัยพิบัติ และคำเตือนนั้นได้ล่องลอยหายไปในสายลม…

"ผมเคยเตือนไว้นานแล้วว่า…อาจจะเกิดคลื่นยักษ์ ควรจะเตรียมตัวป้องแต่ก็เห็นเป็นเรื่องตลกกันไป" ดร.สมิทธ ธรรมสโรช อดีตอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ได้กล่าวหลังเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ซึนามิถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา…

องอาจ เดชา
ประชาไทรายงาน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net