กรุงเทพฯ-13 มี.ค.48 วันนี้ตัวแทนชุมชนป้อมมหากาฬร่วมกับชุมชนหลังธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.)และชุมชนอยู่ดี ร่วมกันแถลงข่าวยืนยันถึงสิทธิชุมชนในการอยู่อาศัยที่ที่ดินซึ่งครอบครัวและเพื่อนบ้านอยู่อาศัยมานานหลายสิบปี

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งพิพากษาให้กรุงเทพมหานครมีสิทธิ์ในการรื้อถอนบ้านเรือนในชุมชนป้อมมหากาฬ หลังจากที่ชาวชุมชนต่อสู้มายาวนานกว่า 13 ปี ทำให้ชาวชุมชนต้องจัดเวรยามเฝ้าระวังไม่ให้กทม.เข้ามารื้อถอนบ้านในชุมชน ก่อนที่จะมีทางออกที่เหมาะสม

ขณะที่ชุมชนหลังธอส.กว่า 75 ครอบครัว ถูกสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์บอกเลิกสัญญาเช่า เนื่องจากต้องการที่ไปปลูกที่อาศัยให้กับข้าราชบริพารที่เกษียณอายุแล้ว ส่วนชุมชนอยู่ดีถูกเอกชนเจ้าของที่ยื่นคำขาดให้ย้ายออกภายใน 3 เดือน โดยชุมชนอยู่ระหว่างเจรจากับกทม.เพื่อแก้ไขปัญหา

นางจิตรา ขจิตสุวรรณ ชาวชุมชนเจ้าของบ้าน 200 ปีในป้อมมหากาฬ กล่าวว่า เจ้าของบ้านซึ่งเป็นน้ารับเงินค่าชดเชยไปแล้ว 75% ขณะที่ตนเป็นผู้อาศัยอยู่นั้นไม่มีอะไรเลย หากต้องถูกย้ายไปอยู่ที่อื่นจริงก็คงลำบาก

"เราไม่มีอะไรเลย ก็ค้าขายอยู่แถวนี้...วันไหนเราไม่มีเงินเราก็ไปขายของได้เงินมา ที่นี่อยู่กับแบบพี่น้อง ไม่มีก็ขอกินกันได้ ถ้าย้ายไปอยู่ที่อื่นเราจะหาพี่น้องอย่างนี้ได้อย่างไร... คิดว่าจะไม่ย้ายไปไหน ขอตายในพื้นที่นี้" นางจิตรา ซึ่งอยู่อาศัยในชุมชนมานานกว่า 30 ปี กล่าว

นางนงลักษณ์ วรมหากุล เจ้าของบ้านทำเครื่องดนตรีไทยในป้อมมหากาฬยืนยันว่า จะไม่ยอมย้ายไปไหน เนื่องจากเคยไปดูพื้นที่ที่กทม.จัดให้ที่ฉลองกรุงและซอยจรัญสนิทวงศ์ 13 แล้ว คิดว่าประกอบอาชีพเดิมไม่ได้

"จะแบ่งพื้นที่ให้ชุมชนซัก 1 ไร่ ก็โอเค ขอให้เห็นใจกันบ้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ไปนับหนึ่งใหม่ เราตั้งรกรากอยู่นานแล้ว... แม้บ้านจะเก่าก็เป็นความสุขไม่ต้องพึ่งใคร" นางนงลักษณ์กล่าว

ทั้งนี้ในวันที่ 24 มี.ค.ศกนี้ ชุมชนป้อมมหากาฬร่วมกับวิทยาลัยการจัดการทางสังคม(วจส.) จะจัดเวที "ความลวงของความจริง ตอนชุมชนแถลง กำแพงพูด" ระหว่างเวลา 13.30 น.- 16.30 น. ที่ชุมชนป้อมมหากาฬ เพื่อหาทิศทางร่วมกันในเรื่องการจัดการพื้นที่เมือง และให้ชาวชุมชนได้เสนอมุมมองเรื่องสิทธิด้านที่อยู่อาศัย ภายใต้การสรุปบทเรียนจากชุมชนทรัพย์นุกูลและชุมชนสามัคคีพัฒนา