เป็นอีกครั้ง ที่ "พลเมืองเหนือ" จำเป็นต้องขอเสนอเรื่องของ "มะเมี๊ยะ" หลังเกิดข้อถกเถียงแตกแขนงไปหลายประเด็นถึงที่มาและการจากไปของเธอ
- หญิงอันเป็นที่รักของเจ้านายฝ่ายเหนือเมืองเชียงใหม่ แต่ต้องถูกพลัดพรากด้วยเหตุที่ว่ากันไปทั้งเชื้อชาติและการเมืองหลากหลายแง่ความเห็นที่แม้จะแตกต่างกันไปก่อนหน้านี้แต่ยังคงอยู่ในกรอบที่ว่า "มะเมี๊ยะผู้นี้มีตัวตนจริง"
ตามคำบอกเล่าและบันทึกในหนังสือของอดีตนักหนังสือพิมพ์ผู้ล่วงลับ-ปราณี ศิริธร ส่งผลไปถึงการสืบค้นของผู้คนที่สนใจหลายกลุ่มถึงชีวิตช่วงบั้นปลายและล่วงลับของเธอว่าอยู่ที่ไหน?จบชีวิตลงอย่างไร ?
ไปจนถึงเถ้ากระดูกของเธอว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ ?
แต่ข้อมูลล่าสุดที่ "พลเมืองเหนือ" ได้รับกลับปฏิเสธข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
"มะเมี๊ยะ ไม่มีตัวตน" เป็นเช่นนั้นจริงหรือ ?
------------------------
ข้อมูลล่าสุด "ชีมะเมี๊ยะ" อยู่มะละแหม่ง
ก่อนจะไปถึงหลักฐานชิ้นนั้น สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีความเคลื่อนไหวของข้อมูลในมุมที่เชื่อว่า
"มะเมี๊ยะ" มีจริง เป็นการทำงานต่อเนื่องของ รศ.จีริจันทร์ ประทีปเสน นายกสมาคมนักศึกษาเก่าคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ซึ่งติดตามชีวิตรักของเจ้าน้อยสุขเกษมและมะเมี๊ยะมานานหลายปี
และเคยตีความเนื้อหาของเรื่องดังกล่าวนี้จัดทำเป็นละคร "ตามรอยมะเมี๊ยะ" ขึ้นมาเมื่อปีที่ผ่านมา
และระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม ที่ผ่านมาก็ได้เดินทางไปสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2548 ที่ห้องประชุมบริษัทเม็งรายกล่องกระดาษ จำกัด อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มีการเสวนาเรื่อง "ตามรอยมะเมี๊ยะ ครั้งที่2" ขึ้น
รศ.จีริจันทร์ กล่าวว่า จากการประมวลหลักฐานทางเอกสาร คือหนังสือ "เพ็ชรลานนาเล่ม 1-2" หนังสือ "ชีวิตรักเจ้าเชียงใหม่" ซึ่งแต่งโดยนายปราณี ศิริพร ณ พัทลุง และหนังสือ "โอลด์มูลเนียน" ของ RR. Langh M Carier
และได้เดินทางไปเมืองเมาะละแหม่งรับฟังคำบอกเล่าของเจ้าอาวาสวัดแจ้ตะหลั่น เมืองเมาะละแหม่ง และนางด่อเอจิ แม่เฒ่าเชื้อสายไทยใหญ่ ซึ่งมีย่าเป็นโยมอุปัฏฐากของแม่ชีด่อปาระมี
ทำให้ได้ข้อสันนิษฐานว่ามะเมี๊ยะน่าจะมีตัวตนที่แท้จริง
และน่าจะเป็นคนเดียวกับแม่ชีด่อปาระมี หรือแม่ชีด่อนางข่อง แต่ขณะนี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว
ข้อสันนิษฐานที่ทำให้คณะทำงานของรศ.จีริจันทร์ เชื่อได้ว่า มะเมี๊ยะน่าจะเป็นคนเดียวกับแม่ชีด่อปาระมี คือระยะเวลาในการออกบวช และการเสียชีวิต ซึ่งใกล้เคียงกัน คือเริ่มบวชเมื่ออายุ 16-17 ปี และเสียชีวิตเมื่ออายุ 75 ปี
นอกจากนี้เจ้าอาวาสวัดแจ้ตะหลั่น ยังยืนยันรูปพรรณสัณฐานของมะเมี๊ยะ ว่าเป็นหญิงสาวที่สวย
ขาว และสูงเพรียว ซึ่งคล้ายคลึงกับแม่ชีรูปดังกล่าว พร้อมระบุว่าแม่ชีรายดังกล่าวเป็นผู้มีฐานะดี
มีข้าวของเครื่องใช้เป็นของมีราคาแพง และจากการพูดคุยกับคุณยายด่อเอจิ ซึ่งเป็นหลานของโยมอุปัฏฐากของแม่ชีรายดังกล่าว ยังทราบว่าเมื่อสอบถามสาเหตุของการมาบวชว่าเป็นเพราะอกหักหรือไม่ แม่ชีก็มักจะโกธร ไม่พูดจาและลุกหนีไป
รศ.จีริจันทร์ กล่าวว่า ความเชื่อดังกล่าวนี้ยังเป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่สรุปตามข้อมูลเท่าที่ได้สอบถามมา แต่จะต้องหาหลักฐานมายืนยันเพิ่มเติมอีกครั้ง เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่แน่นอนรอบ
ด้านเพื่อนำมายืนยันเพิ่มเติมโดยจะต้องสืบค้นต่อไป
ทั้งนี้สิ่งที่ต้องการจะได้มากที่สุดและเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการทำงานเพื่อนำมาสู่ข้อสรุปคือ
อยากเรียกร้องให้คนเก่าแก่ โดยเฉพาะเจ้านายฝ่ายเหนือที่เป็นคนใกล้ชิด หรือเคยได้สดับตรับฟังข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาให้ข้อมูลเพิ่มเติม เชื่อว่าจะสามารถรวบรวมข้อมูลให้นำไปสู่ข้อสรุปที่กระจ่างชัดมากขึ้น
จดหมายจากผู้ที่ใช้ชื่อว่า "เหนือฟ้า ปัญญาดี"
ส่งมาถึงบรรณาธิการพลเมืองเหนือ เมื่อ 6 มีนาคม 2548 อาจเป็นหลักฐานหนึ่งได้หรือไม่ ? หาก
แต่เนื้อหา ได้ต่างจากข้อสันนิษฐานแรกอย่างสิ้นเชิง เราไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า "เหนือฟ้า ปัญญาดี" คือใคร ? และเกี่ยวพันชิดใกล้กับ "ปราณี ศิริธร" ผู้เขียนตำนานรักของเจ้าน้อยสุขเกษมกับมะเมี๊ยะลึกซึ้งเพียงไร มิตินี้จึงน่าจะได้ขยายความ
หากแต่บทความของเขา ขอใช้สิทธิ์ผู้อ่านพลเมืองเหนือเปิดอีกมิติหนึ่งของ "มะเมี๊ยะ" ในข้อมูลที่เขามีอยู่และเขียนมันขึ้นมา อยู่ที่ว่าผู้อ่านท่านอื่นจะวิเคราะห์และยอมรับข้อมูลชุดนี้มากน้อยเพียงไร และนี่คือบทความที่เขาส่งมา
ปฏิเสธ : ไม่มี มะเมี๊ยะ" ในเมาะละแหม่ง
แล้วนางเป็นใคร? อยู่ที่ไหน?
โปรยหัวไว้แบบนี้ ใครๆ ที่เคยอ่านเรื่องราวของ "มะเมี๊ยะ" ดี คงต้องพูดกันว่า ผมเขียนแบบคนไม่รู้จริงทั้งๆ ที่ใครก็รู้กันว่า "มะเมี๊ยะ" นั้นเป็นใคร มาจากไหน เป็นคนรักของใคร อาจทำให้ใครบางคนอ่านเรื่องราวของผมไม่จบ พาลโดยหนังสือทิ้งไป โทษฐานที่เขียนอย่างคนไร้สติและเป็นขบถในความคิดของคนอื่น
สำหรับเรื่องนี้ ขอให้ทุกคนโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านว่า ควรน่าจะเชื่อดีหรือไม่ ผู้อ่านบาง
ท่านอาจคิดว่าผมอวดดีอย่างไรถึงมา "หักดิบ" ในความเชื่อและฝังใจจากเรื่องเดิมที่คุณปราณีได้เขียนขึ้นมา ซึ่งในเรื่องนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน ไม่สงวนสิทธิ์ในการเชื่ออยู่แล้วครับท่าน
เมื่อไม่มี "มะเมี๊ยะ" ในเมาะละแหม่ง แล้วนางอยู่ที่ไหน ทุกคนอาจสงสัย แล้วย้อนถามว่า ก็ในเมื่อนางเป็นคนของพม่าผมขอบอกตามตรงว่า เรื่องนี้มีเบื้องลึก และเบื้องหลังมากมายที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย ในวันนี้ผมจะกล่าวถึงเฉพาะหัวข้อที่เกริ่นไว้เพียงเท่านั้น เอาไว้โอกาสหน้าผมจะมาเล่าถึงเหตุการณ์ เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน "ชีวิตรักเจ้าเชียงใหม่" แบบเจาะลึกจนท่านแทบไม่น่าเชื่อ
"มะเมี๊ยะ เป๋นสาวแม่ก๊า คนพม่าเมืองเมาะละแหม่ง "
เสียงเพลง "มะเมี๊ยะ" จากการร้องของสุนทรี เวชานนท์ และเนื้อร้องที่แสนสะเทือนใจของ จรัล มโนเพ็ชร แต่งขึ้นโดยได้อาศัยเค้าโครงเรื่อง "มะเมี๊ยะ" ของคุณปราณี ศิริธร ที่เขียนรวบรวมไว้ในหนังสือ เพ็ชร์ลานนา เมื่อพ.ศ.๒๕๐๗ จนเพลงเป็นที่รู้จักกันไปทั้งประเทศ
ย้อนหลังไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ คุณปราณี ศิริธร อดีตนักเขียนสารคดี และนักหนังสือพิมพ์ในเชียง ใหม่ อ้างว่า ได้รับฟังคำบอกเล่าจากเจ้าในสกุลคนหนึ่งถึงเรื่องความรักของเจ้าน้อยบุตรชาย
ของเจ้าในคุ้มเมืองเชียงใหม่ ว่า เจ้าน้อย ถูกส่งไปเรียนหนังสือที่เมืองเมาะละแหม่งและได้พบรักกับสาวชาวพม่า
เมื่อเดินทางกลับมาเมืองเชียงใหม่จึงได้นำสาวคนรักกลับมาด้วย โดยหวังว่าจะบอกเรื่องความรักของตนเองให้เจ้าพ่อ เจ้าแม่ได้รับทราบ แต่เหตุการณ์กลับทำให้สาวคนรักต้องถูกส่งกลับพม่า
ทั้งสองจึงพลัดพรากจากกัน ไม่ได้พบกันจวบจนทั้งสองได้ตายจากกัน
จากเรื่องความรักของคนทั้งสองได้ถูกคุณปราณีเขียนลงในหนังสือ เพ็ชรล้านนนา พ.ศ. ๒๕๐๗
โดยกล่าวถึงความรักของคนทั้งสองนั้นประพฤติผิด "ฮีตฮอย" ต่อบรรพบุรุษรวมไปถึงการเมือง
ที่เชียงใหม่กลัวว่าจะมีความผิดต่อสยามในฐานะที่เชียงใหม่เป็นประเทศราชในขณะนั้นทางเชียงใหม่จึงได้ส่งตัวสาวคนรักของเจ้าน้อยกลับคืนพม่าตามลำพัง เรื่องราวจึงจบลงเพียงเท่านั้น
ต่อมาต้นปี พ.ศ.๒๕๒๓ คุณปราณีได้เขียนหนังสือเรื่อง "ผู้บุกเบิกแห่งเชียงใหม่" ใกล้จะเสร็จคุณปราณีได้เขียน "ชีวิตรักเจ้าเชียงใหม่" ควบคู่กันไปอีกเล่มหนึ่ง โดยบอกว่า เรื่องนี้ได้เขียนต่อจากในหนังสือเพ็ชร์ลานนา ที่เขียนค้างไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน
ซึ่งคุณปราณีบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นภายในคุ้มเมืองเชียงใหม่ เรื่องราวต่างๆ จึงรู้กันแต่ภายใน คนภายนอกไม่เคยได้เห็นหน้าหรือรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของสาวพม่าคนนั้นเลย เพราะอาจถูกห้ามไม่ให้พูดถึง
จนกระทั่งนางถูกส่งกลับเมืองพม่าเรื่องราวต่างๆ จึงเงียบสงบลง ไม่มีใครพูดถึงอีกเลย
คุณปราณีเล่าว่า "เมื่อพี่ (คุณปราณีชอบให้เรียกตัวเองว่า "พี่" ) ลงมือจะเขียนเรื่องนี้ ก็ติดอยู่ที่ไม่รู้ชื่อสาวพม่าคนรักของเจ้าน้อย จึงจำเป็นต้องสมมุติชื่อขึ้นมาโดยได้ใช้ชื่อ "มะเมี๊ยะ" ซึ่งเป็นชื่อของผู้หญิง ชาวไทยใหญ่ที่พี่รู้จักดีและมีบ้านอยู่ใกล้กัน นำมาใช้" อีกเหตุผลหนึ่งที่คุณปราณีใช้ชื่อนี้เพราะเรียกง่าย จำง่าย และเมื่อได้ยินแล้วสะดุดหู
จากคำพูดของคุณปราณีที่เล่าให้ฟังในตอนนั้น ผมไม่เคยคิดเลยว่าอีกยี่สิบห้าปีต่อมา มันจะเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะไขไปสู่ความลับที่ผู้ที่สนใจในเรื่องนี้พยายามที่จะศึกษาค้นคว้า แต่ก็พบกับทางตันจึงทำให้แต่ละคนก่อเกิดจินตนาการอันล้ำลึก เคลิบเคลิ้มไปกับเรื่องราวต่างๆ ที่คุณปราณีเขียนขึ้นมา
ผมได้อ่านพบบทความของนักวิชาการท่านหนึ่งกล่าวว่า "ประเด็นที่ต้องค้นคว้าต่อไปว่า เหตุใด
มะเมี๊ยะจึงเปลี่ยนชื่อและเหตุใดต้องใช้ชื่อว่า "นังเหลียน" (ความจริงควรจะเรียกว่า "นางเหลียน"
เพราะคำว่า "นาง" ใช้เรียกนำหน้าชื่อเพศหญิง ส่วนคำว่า "จาย" นั้นใช้เรียกนำหน้าชื่อเพศชายซึ่งหมายถึง "นาย" ในภาษาไทย ตามการเรียกชื่อของชาวไทยใหญ่)
ข้อความดังกล่าวทำให้ผมต้องทำตัวเป็นนักสืบออกติดตามสืบสาวหาเรื่องราวก็ได้ความว่า
ซอยศิริธร (บ้านคุณปราณีอยู่ในซอยศิริธร และได้ใช้นามสกุลของตัวเอง เป็นชื่อซอยข้างวัดป่าเป้า)
เมื่อก่อนนั้นถ้าทุกคนที่เคยอาศัย หรือผ่านไปมาบริเวณถนนมณีนพรัตน์ คงเคยเห็นอาจจำได้ว่า
หน้าปากซอยจะมีห้องแถวเรือนไม้จำนวน 6 ห้อง ห้องแรกอยู่ติดปากซอยจะเป็นร้านซ่อมนาฬิกา
ห้องที่สองเป็นที่พักอาศัย ห้องที่สามเป็นร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ และห้องสุดท้ายเป็นร้านขายผลไม้ดองและแช่อิ่มชื่อร้านเกรียงไกรพานิช (ปัจจุบันห้องแถวเรือนไม้ถูกรื้อลงสร้างเป็นตึกแถวขึ้นมาแทน)
สอบถามคนที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นมานาน ก็ทราบว่า ห้องแรกที่เปิดเป็นร้านซ่อมนาฬิกานั้นเป็นครอบครัวไทยใหญ่ มีเพียง ๓ คน พ่อแม่และลูกสาวเท่านั้น ตัวพ่อและแม่นั้นมีอายุมากแล้ว
คนที่รู้จักมักเรียกกันว่า "ส่างอ่อง" และ "แม่นางเหม่" ส่วนลูกสาวนั้นจำไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่เป็นครูสอนหนังสือ ซึ่งครอบครัวนี้คุณปราณีรู้จักและสนิทสนมอย่างดีเป็นพิเศษ จึงทำให้น่าคิดว่า คุณปราณีน่าจะนำชื่อของ "แม่นางเหม่" มาใช้ตามที่เคยได้เล่าไว้
จึงสอบถามในเชิงลึกได้ความว่าแท้ที่จริงแล้ว "แม่นางเหม่" มีชื่อจริงว่า "แม่นางเมี๊ยะ" เมื่อเรียกกันนานๆ เข้าก็เพี้ยนเสียงเป็น "เหม่" ในพม่าคำนำหน้าชื่อผู้หญิงหรือเพศหญิงนิยมใช้คำว่า "มะ" (ไม่ใช่ "หมะ" ตามที่พูดหรือ เขียนกันอยู่ในขณะนี้) จะใช้นำหน้าชื่อผู้หญิงตั้งแต่เด็กจนเป็นสาว
เป็นคำเรียกขานแบบทั่วๆ ไป เมื่อคุณปราณีนำชื่อ "แม่นางเมี๊ยะ" มาใช้จึงเรียกตามแบบพม่าว่า "มะเมี๊ยะ"
ส่วนคำว่า "ด่อ" จะใช้นำหน้าชื่อผู้หญิงที่แต่งงานแล้วหรือมีอายุตั้งแต่ ๓๕ ปีขึ้นไปเช่น "ด่อนางเหลียน" ส่วน "ส่างอ่อง" และ "แม่นางเหม่" ได้เสียชีวิตลง หลังจากย้ายออกจากห้องแถวเรือนไม้ได้ไม่นาน
นี่คงเป็นเบื้องลึกและเบื้องหลังอีกข้อหนึ่ง ที่ทำให้คนที่สนใจและนักวิชาการหลายๆ ท่านติดตามเสาะหา "มะเมี๊ยะ" ไม่พบในเมืองเมาะละแหม่ง และเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รู้ว่า อันตัวตนของ
"มะเมี๊ยะ" จริงๆ นั้นมิใช่สาวชาวพม่าที่มีหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา สวยงามหยาดเยิ้มดังที่คุณปราณีได้เขียนพร่ำพรรณนาเอาไว้ เพียงแต่เป็นหญิงชาวไทยใหญ่แก่ๆ ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
สำหรับความรักของคนทั้งสองนั้น ในความรู้สึกของผมบอกได้ว่า มันไม่ใช่ตำนานหรือประวัติ
ศาสตร์หน้าใดหน้าหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ ความประสงค์ของคุณปราณีที่เขียนขึ้นมานั้นเพียงต้องการที่จะเล่าถึงความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่ต่างเชื้อชาติและภาษาที่ไม่สมหวังรักในอดีตให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้เพียงเพิ่มเติมสีสันให้กับเรื่องราว เพื่อชวนน่าอ่านและน่าติดตามก็เท่านั้น
ตอนนี้ ถ้าคุณปราณียังมีชีวิตอยู่ จะแน่ใจกันสักแค่ไหนว่าเราๆ ท่านๆ ทั้งหลายจะได้รับคำตอบที่เป็นจริงว่า "มะเมี๊ยะ" นั้นเป็นเพียงนางในจินตนาการที่แต่งขึ้น หรือว่ามีตัวตนจริงๆ กันแน่
เหนือฟ้า ปัญญาดี.