Skip to main content
sharethis

เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะไม่นึกไม่คิดไม่ฝันไม่รู้สึกถึงคุณทักษิณ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ได้ดีหรือเจอร้ายหรือเสมอตัวภายใต้ชะตาที่เขาได้กำหนดไว้ให้คุณ มีแต่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเช่นคุณสมชาย นิละไพจิตร ที่คงจะไม่รู้สึกถึงคุณทักษิณอีกแล้ว

คุณทักษิณเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในแทบทุกอย่างที่เป็นเป้าหมายของเขาโดยอาศัยสาวกในอุปถัมภ์มากคนที่จงรักภักดีมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสร้างอาณาจักร "ชิน" ครอบประเทศไทย เขาเป็นเลิศในด้านการแปลงทุนมาเป็นคลังมันสมองและแขนขาที่รับใช้เขาในทุกปรารถนา เขาเป็นซีอีโอตัวจริงคนเดียวของประเทศไทย

ตอนที่ ๑. มองตัวคุณทักษิณ

คุณทักษิณเป็นคนที่มีผู้คนชอบและนับถือมากมาย ส่วนคนที่" รู้ทัน" เขาก็เยอะเหมือนกัน ผมเชื่อว่า เขาเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว เป็นพุทธศาสนิกชนที่โอเคเบตง เป็นคนที่มีเสน่ห์ น่าคบเป็นเพื่อน (แต่อาจไม่สนุกที่จะคบเป็นศัตรู) และผมยังเชื่อว่านอกจากเขาจะเป็นผู้ที่ประสงค์ดีต่อตัวเองและครอบครัวแล้ว เขายังมีความปราถนาที่ดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองอีกด้วย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสุภาษิตเก่าแก่ของยุโรปที่ว่า "The road to hell is paved with good intentions" - เส้นทางไปสู่นรกปูด้วยความตั้งใจอันดี

สรุปแล้วเขาไม่ใช่คนชั่ว แต่ก็ไม่มีใครแม้แต่ในกองเชียร์ของเขาที่จะนึกถึงเขาในแง่บุคคลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและความซื่อสัตย์สุจริต เราคงต้องยอมรับว่าเฉพาะในประเด็นนี้อดีตนายกฯสัญญา นายกฯเสนีย์ นายกฯเปรม นายกฯอานันท์ และนายกฯชวน น่าจะได้คะแนนดีกว่า ผมเองค่อนข้างที่จะเชื่อว่าเมื่อถึงคราวจำเป็น คุณทักษิณจะต้องกลายเป็นคนที่ขี้โกง "เท่าที่จำเป็น" ( "เพื่อชาติ" หรือ "เพื่อครอบครัว" ) ในพริบตาเดียว อันนี้น่าจะเป็นลักษณะทั่วไปของผู้ที่ได้ดีทางธุรกิจในระบบสัมปทานของประเทศไทย และคุณผู้อ่านคงจะสังเกตได้ว่าในรอบห้าปีที่ผ่านมามีข่าวเกรียวกราวเกี่ยวกับตัวเขาหลายเรื่องที่สนับสนุนสมมุติฐานนี้

คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเขามีความสามารถที่เทียบเคียงได้ยากมากในหลายด้าน ทั้งความเก่ง ความฉลาด ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ผสมกับความกล้า และความทะเยอทะยานไม่มีขอบเขต ซึ่งเป็นรากฐานแห่งความสำเร็จของเขาในทุกด้าน แต่ที่เด่นที่สุดคือความสามารถที่จะสะสมสาวกลูกน้องมากมายซึ่งเมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้วกลายเป็นหัวรถจักรที่ทำให้ฝันของเขากลายเป็นจริง สาวกเหล่านี้มีอยู่สองระดับ สาวกในระดับมันสมองซึ่งประกอบกันเป็นกองบัญชาการทักษิณสูงสุดมีพวกวีรชน ๑๔ และ ๖ ตุลา จำนวนมากร่วมอยู่ด้วย พวกนี้เคยมีอุดมการณ์ด้านประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนผู้ที่ด้อยโอกาสและถูกกดขี่ แต่ในปัจจุบันคนเหล่านี้สามารถปรับจูนอุดมการณ์ของตนให้เข้ากับเจ้านายได้อย่างกลมกลืนดีเยี่ยม ส่วนสาวกในระดับแขนขาของเขาถูกวางไว้ในเชิงยุทธศาสตร์ให้กระจายและครอบคลุมตำแหน่งสำคัญทั้งในวงราชการ องค์กรอิสระต่างๆ สื่อมวลชน และวุฒิสภา เพื่ออำนวยให้การทำงานของรัฐบาลคุณทักษิณแสนจะราบรื่นๆ

คำถามที่น่าสนใจคือ เขามีวิธีดึงดูดสาวกได้อย่างไร โดยเฉพาะสาวกชั้นหัวกะทิของเขา ? ผมคิดว่าประการแรกน่าจะเกิดจากลักษณะการแสดงตัวเป็นผู้นำที่เด่นชัดเจนและมีเสน่ห์ยิ่ง ซึ่งโดยสันดานของทั้งสัตว์และมนุษย์จะมีผลดึงดูดฝูงของผู้ตามเสมือนเป็นแม่เหล็ก แต่ที่สำคัญ เขารู้จักคัดเลือกฝูงผู้ตามที่มีคุณภาพเหมาะสมที่จะรับใช้เขาได้เป็นอย่างดี (ใครประจบประแจงเกินไปหรือเช้าชามเย็นชามหรือด้อยฝีมือ เขาคงไม่เอาไว้) เขาน่าจะยึดเหนี่ยวสาวกด้วยลักษณะการอุปถัมภ์ที่เหมาะสม เช่นใครตกทุกข์ได้ยากมีหนี้สินรุงรังก็คงจะได้รับการปลดหรือผ่อนคลายการชำระหนี้ ใครบำเพ็ญประโยชน์ให้กับเขาก็คงจะได้รับรางวัลตอบแทนที่คุ้มเหนื่อยในระบบการแบ่งปันดอกผลที่ค่อนข้างยุติธรรม และแน่นอนที่สุด สาวกแต่ละคนได้โอกาสร่วมเหินฟ้าแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่โดยการเกาะติดกับขากางเกงของเขาอย่างเหนียวแน่น ทั้งยังมีโอกาสในอนาคตที่อาจจะได้สืบทอดอำนาจต่อจากเขาโดยตรง ด้วยเหตุนี้ผมจึงคาดเดาว่าการแย่งชิงดีชิงเด่นกันในหมู่ลูกน้องของเขาน่าจะไม่เบาทีเดียว

เท่านี้ก็ยังไม่พอ ลักษณะของคุณทักษิณที่เป็นจุดสุดยอดที่แท้จริงคือความสามารถเฉพาะตัวที่จะสื่อสารวาดภาพจินตนาการสวรรค์บนดินเสมือนเป็นฝันและอุดมการณ์สูงสุดที่กำลังจะกลายเป็นจริงในประเทศไทยในเร็วๆนี้ ซึ่งได้ผลในการทำให้คนทั่วทั้งประเทศรวมทั้งผู้ที่มีอุดมการณ์จำนวนไม่น้อยเกิดความฝันที่คล้อยตาม เช่นในเรื่องสังคมที่ไร้ความยากจน สังคมที่ปลอดยาเสพติด สังคมที่เจริญก้าวหน้าและทันสมัยในทุกด้าน สังคมแห่งอุทยานการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นต้น

คุณทักษิณใช้ทุกโอกาสที่ได้สื่อสารกับประชาชน เช่นในรายการวิทยุประจำสัปดาห์ ของเขา เพื่อวาดภาพฝันที่ประชาชนอยากจะเชื่อจนเกิดความเชื่อที่แท้จริง ทั้งๆ ที่ในหลายกรณีเป็นภาพที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง แต่คนจำนวนมากยังมองไม่เห็นเรื่องนี้ เพราะแรงศรัทธาหรือแรงที่อยากจะเชื่อประกอบกับความหวังที่จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นมาเหนือกว่าความต้องการที่จะค้นหาความเป็นจริง บ่อยครั้งสิ่งที่เขาพูดกับประชาชนน่าจะเป็นคำพูดที่มีการเตรียมไว้เป็นอย่างดีเพื่อให้ถูกอกถูกใจประชาชนเสียงส่วนใหญ่โดยเฉพาะ ถ้าจะให้ผมพูดตรงๆ ความสามารถของเขาที่กล่อมประชาชนได้เกือบทั้งประเทศ สามารถสยบสื่อมวลชนอย่างราบคาบเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ไม่แตกต่างนักจากความสามารถของนักขาย นักมายากล หรือนักต้มตุ๋นชั้นเซียน

ผมคงจะต้องย้ำว่าผมไม่ได้ตั้งใจที่จะสื่อว่าคุณทักษิณเป็นผู้ที่ไร้ความจริงใจหรือความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ แต่ผมก็ยังเชื่อว่าคุณทักษิณมีความสัมพันธ์กับประชาชนที่ไม่ตรงไปตรงมา เช่นมีเป้าหมายแอบแฝงบางอย่างที่ไม่ได้บอกประชาชนชัดเจน (ที่คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช เรียกว่า "นโยบายการแปลงทรัพย์สินสาธารณะให้เป็นของเอกชน" ) นอกจากนี้เขาคงจะต้องรับรู้ผลแห่งนโยบายของเขาบางอย่างที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องเสียชีวิตหรือตกทุกข์ยากหรือได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง และนี่อาจเป็นเรื่องที่เขาจะยอมให้สังคมเกิดความตระหนักและวิภาควิจารณ์มากเกินไปไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน เขาอาจไม่ต้องการให้สังคมได้ตรวจสอบในเรื่องที่เป็นข้อสงสัยว่าคุณทักษิณกับพวกอาจได้รับผลประโยชน์ทางธุรกิจบางอย่างอันเนื่องมาจากนโยบายทางเศรษฐกิจบางประการ หรือจากผลการเจรจาระหว่างประเทศ (เช่นกรณีข้อตกลงการค้าเสรีกับบางประเทศที่ทำให้เกษตรกรไทยต้องสูญเสียรายได้อย่างไม่เป็นธรรม) หรือจากการให้การสนับสนุนต่อบทบาทของสหรัฐในอิรัก หรือจากการผูกมิตรกับผู้นำของรัฐบาลเผด็จการพม่า เป็นต้น

คุณทักษิณได้ใช้ความพยายามหลายวิธีที่จะสกัดกั้นการวิภาควิจารณ์ตรวจสอบนโยบายและผลงานของเขาในเวทีสาธารณะ วิธีที่ใช้บ่อยคือการใช้อารมณ์และคำพูดที่คมคายโจมตีนักวิชาการหรือตัวแทนภาคประชาชนที่เป็นผู้วิจารณ์ (เช่นเรียกเป็น "พวกขาประจำ" หรือใช้คำพูดที่ส่อว่าเป็นพวกไม่ติดดิน ไม่รู้จริง ไม่รักชาติ รับใช้ต่างชาติ เป็นต้น) ซึ่งได้ผลครบสามด้านคือในด้านการเบนประเด็นออกไปจากเรื่องที่ตนถูกวิจารณ์ ด้านการลดความน่าเชื่อถือของผู้วิจารณ์ และด้านการป้องปรามไม่ให้คนอื่นกล้ามาวิจารณ์เขาอีก

"ผมรู้ว่า ไอ้พวกนี้ไม่เลือกเบอร์ 9 ทั้งนั้น แต่ไม่มีปัญหา ไม่ใช่ไม่เลือกแล้วผมไม่ฟัง แต่ขอให้มีแนวคิดเสนอมาด้วย ติอย่างเดียวไม่ได้ อย่างอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคน แม่ง.. ออกมาติอยู่นั่นแหละ ติแล้วไม่มีแนวคิด แล้วถามว่า ชีวิตเขาทำอะไรเป็นมั่ง มันต้องติแล้วเสนอแนวคิดบ้าง นี่แนวคิดก็ไม่มี ติ ติ ติ อยู่นั่น …"

"คนบางคนเห็นผมพูดหรือทำอะไรก็ขอค้านไว้ก่อน ทั้งๆ ที่เลือกตั้งเสร็จมาใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ และประชาชนก็ให้ความไว้วางใจผมเป็นจำนวนมาก ก็น่าจะให้เวลาในการแก้ปัญหาบ้าง แต่ว่าก็วิจารณ์มันทุกเรื่อง และก็ไม่ได้รู้จริงเลย ข้อมูลก็ไม่มี"
"วันนี้เกลียดผมหรือไม่ชอบผม ไม่เป็นไร แต่อย่าเกลียดประเทศไทยเลย เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่ท่านอาศัยแผ่นดินอยู่..."

พรรคพวกของคุณทักษิณได้ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้สื่อมวลชนทำหน้าที่ตรวจสอบผลงานของรัฐบาลโดยอิสระ โดยเฉพาะสื่อวิทยุโทรทัศน์ซึ่งถูกควบคุมอย่างเข้มงวดภายใต้กลไกของรัฐ แม้แต่หนังสือพิมพ์เอกชนก็ยังหนีไม่พ้นการถูกบีบคั้นด้วยอิทธิพลทางอำนาจและเศรษฐกิจของคนในรัฐบาล

"สิ่งที่ผมเสียใจคือว่ามีความพยายามที่จะบิดเบือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ไม่ค่อยชอบผมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน ประเทศไทยเราโชคร้ายมีสื่อมวลชนภาษาอังกฤษสองฉบับ ที่ทำภาษาอังกฤษจนไม่รู้ว่าความเป็นคนไทยลดน้อยลงหรืออย่างไร ไม่ทราบ จึงทำความเสียหายมากพอสมควรในการที่เสนอข่าวข้างเดียว อย่างไม่มีความเป็นมืออาชีพ …" (ความเห็นของคุณทักษิณต่อการเสนอข่าวกรณีตากใบ)

ทำไมเขาจึงมีความจำเป็นต้องปิดกั้นการตรวจสอบและวิภาควิจารณ์ ในเมื่อเขามีคะแนนสนับสนุนท่วมท้นทั้งจากประชาชนและในสภา ? คำตอบน่าจะอยู่ที่ว่าหากช่องว่างระหว่างความฝันที่เขาได้วาดไว้กับความเป็นจริงบนพื้นดินหรือหากเรื่องสกปรกบางอย่างในรัฐบาลของเขาได้ปรากฏตัวอย่างชัดเจน อาจมีผลทำให้ลูกโป่งแห่งความศรัทธาของประชาชนแตกได้ และเมื่อแตกไปแล้วจะไม่มีอะไรที่แน่นอนเหลืออยู่ในกอไผ่ พูดง่ายๆ เขาจะต้องป้องกันไม่ให้ "ขาลง" เกิดขึ้นกับเขา นี่เป็นเรื่องที่ไม่แตกต่างจากภารกิจของนักขายหรือนักมายากลหรือนักต้มตุ๋นที่จะต้องทำให้ผู้ที่เป็นเป้าหมายของตนคงอยู่ในสภาพที่ถูกสะกดจิตตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยหรือเกิดการรู้ทันความเป็นจริง

เนื่องจากคุณทักษิณยังขาดความรู้สึกมั่นคงในตัวเองและมองเห็นศัตรูคู่อริรอจิกหัวของเขาอยู่รอบด้าน เขาจึงยังต้องแสดงบทบาทเป็นฝ่ายรุกทางการเมืองตลอดเวลา และจะต้องรักษาภาพลักษณ์ของการเป็นฮีโร่ของประชาชนให้คงเส้นคงวา แต่ตัวเขาเองก็ขาดความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในประชาชนที่ให้อำนาจแก่เขา ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องจำกัดบทบาทของผู้ที่อาจกลายเป็นอุปสรรคต่อความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อเขา ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักการเมือง สื่อมวลชน องค์การภาคประชาชน หรือพรรคการเมืองฝ่ายค้านก็ตาม และเรื่องนี้เขาก็ทำได้สำเร็จพอสมควร

การจำกัดบทบาทของพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่สำคัญคือการจำกัดการรายงานข่าวกิจกรรมและความเห็นของพรรคฝ่ายค้านทางสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งอยู่ในการควบคุมของรัฐบาลของเขาทั้งหมด ในประเทศประชาธิปไตยเช่นประเทศอังกฤษ เมื่อใดที่นายกรัฐมนตรีได้ออกวิทยุหรือโทรทัศน์แถลงต่อประชาชน วันรุ่งขึ้นผู้นำฝ่ายค้านจะได้โอกาสเหมือนกันและเท่าเทียมกันที่จะแสดงความเห็นต่อถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี แต่ที่นี่ประเทศไทยนายกรัฐมนตรีมีโอกาสกล่อมประชาชนทุกวันเสาร์เช้าทางสถานีวิทยุทั่วประเทศ แต่ผู้นำฝ่ายค้านของประเทศไทยซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ กลับไม่ได้โอกาสโต้ตอบเลย นี่คือระบบการสื่อสารมวลชนที่ทำให้ประชาชนได้ฟังความข้างเดียวเท่านั้น แต่ผมไม่เคยเห็นคุณทักษิณเดือดร้อนเรื่องนี้เลย

ผมขอฟันธงว่าคุณทักษิณไม่ใช่ผู้ที่มีความชัดเจนในอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไม่ใช่ผู้ที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนตามเจตนาของรัฐธรรมนูญ และไม่ใช่ผู้ที่ให้ความสำคัญนักกับสิทธิมนุษยชนหรือแม้แต่หลักนิติธรรมขั้นพื้นฐาน ลึกๆ แล้วผมคิดว่าเขาคงไม่เห็นด้วยกับหลักการสำคัญบางส่วนของรัฐธรรมนูญ แต่บังเอิญเขาได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ว่าจะปฏิบัติตามและรักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ

รัฐธรรมนูญมาตรา ๗๖: "รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบาย การตัดสินใจทางการเมือง การวางแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมทั้งการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ"

ทักษิณ: "โดยระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดีและสวยงาม แต่ไม่ใช่เป็นเป้าหมายสุดท้ายของการบริหารประเทศ แต่เป็นเพียงเครื่องมือในการบริหารประเทศ โดยเป้าหมายของการบริหารประเทศ คือ การทำงานให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี มีความผาสุก ประเทศมีความก้าวหน้า ตรงนี้คือเป้าหมาย ส่วนประชาธิปไตยเป็นเพียงเครื่องมือ และต้องดูเครื่องมือด้วย อย่างสมมติเราจะขับรถไปแก้ปัญหาให้ชาวบ้านในชนบท บางทีต้องใช้รถปิกอัพออฟโรด ไม่ต้องเอารถโรลสรอยซ์ไปหรอก"

รัฐธรรมนูญมาตรา ๓๓ : "ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้"

ทักษิณ: "แน่นอนว่าการเคารพในสิทธิมนุษยชนนั้นก็ต้องเคารพ แต่ลำดับความสำคัญนั้นต้องอยู่ที่ผู้บริสุทธิ์ก่อน เพราะถ้าจะพูดให้เท่มันก็พูดได้ง่าย แต่พูดแล้วก็ต้องทำด้วย และทำในสิ่งที่ควรทำ ขอบอกว่าผมไม่แคร์หรอกที่ต่างประเทศออกมาพูดนั้น ผมฟังแล้วดูเหมือนว่าไปให้ความสำคัญกับคนที่ก่อความไม่สงบมากกว่าคนบริสุทธิ์ที่ถูกทำร้ายทุกวัน แต่ผมถือว่าจะให้ความสำคัญกับคนบริสุทธิ์ที่ถูกทำร้ายทุกวันก่อน"

เป็นที่ชัดเจนว่าคุณทักษิณไม่ใช่นักปฏิรูปการเมืองตามความหมายของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นผู้ที่เคยมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญหรือเคยโบกธงเขียวทั้งหลายไม่น่าจะมีความสงบทางจิตใจภายใต้ดวงตะวันของเขา แต่เขาก็เป็นนักปฏิรูปตัวจริงเหมือนกัน เป็นทั้งนักปฏิรูปทางเศรษฐกิจและทางด้านการบริหารประเทศ และดูเหมือนเขาได้พยายามบริหารประเทศในสไตล์ที่เลียนแบบนายลี กวน ยู (อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ที่เขานับถือ) ซึ่งเป็นการบริหารประเทศในแบบระบบอุปถัมภ์ แต่ถ้าจะให้พูดตรงๆ แม้ทั้งสองคนจะนิยมการบริหารประเทศด้วยลักษณะ "ผู้นำย่อมรู้ดีกว่าประชาชน" แต่ในด้านบุคลิกของความเป็นรัฐบุรุษและความพยายามที่จะส่งเสริมธรรมาภิบาลและความซื่อสัตย์สุจริตในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ก็ยังห่างกันเป็นโยชน์

(โปรดติดตามตอนต่อไป: "ผลงานของคุณทักษิณ" ในสัปดาห์หน้า)

หมายเหตุ:

๑. บทความนี้ดัดแปลงเล็กน้อยจากบทความชื่อเดียวกันที่ตีพิมพ์ในหนังสือ "อยู่กับทักษิณ" - บรรณาธิการ : เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายแล้วตามร้านหนังสือทั่วไป
๒. รายได้ทั้งหมดที่ผู้เขียนได้รับจากบทความ "ภายใต้ดวงตะวันของคุณทักษิณ" ที่ตีพิมพ์ในหนังสือ "อยู่กับทักษิณ" ผู้เขียนจะมอบให้คุณสุภิญญา กล้าณรงค์ เพื่อใช้ในการต่อสู้คดีที่ถูกฟ้องหมิ่นประมาท ๔๐๐ ล้านบาทโดยบริษัทชินคอร์ป

จอน อึ๊งภากรณ์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net