Skip to main content
sharethis

แผนการจัดการตลาดลำไยประจำปีการผลิตปี 2548 ดูมีความชัดเจนและเป็นที่พออกพอใจกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ผู้ปลูกลำไยใน 8 จังหวัดภาคเหนือเป็นอย่างมาก เมื่อ "คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" ประกาศย้ำว่าปีนี้จะเน้นใช้กลไกตลาดเป็นสำคัญ รัฐจะไม่เข้ามาแทรกแซงอย่างเด็ดขาด แต่จะเปิดทางให้ผู้ซื้อพบผู้ขาย มุ่งเข็นลำไยทั้งสดและแห้งไปขายตลาดต่างประเทศให้ได้มากที่สุด ล่าสุด ได้ออร์เดอร์ลำไยสด ส่งไปขายให้จีนแล้ว 230,000 ตันและลำไยแห้งอีก 70,000 ตัน

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่เพื่อประชุมร่วมกับตัวแทนเกษตรกรและกลุ่มสหกรณ์ผู้ปลูกลำไยใน 8 จังหวัดภาคเหนือ จำนวนกว่า 1,000 คน ณ โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่เพื่อรับทราบถึงผลผลิต แนวทางการขนส่งเพื่อกระจายลำไยจากสวนจนกระทั่งส่งออกทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ราคาต้นทุน เพื่อนำมากำหนดเป็นราคาขายที่มีความเหมาะสมทั้งลำไยสดและลำไยแห้ง ทั้งการจำหน่ายภายในประเทศ และต่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องที่เกษตรกรต้องมีความเข้าใจในการเตรียมการเพาะปลูก

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า แผนการระบายลำไยปี 2548 นี้ จะเน้นการใช้กลไกตลาดเป็นสำคัญ รัฐจะไม่ซื้อแทรกแซง แต่จะอำนวยความสะดวกระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ขยายช่องทางตลาดเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ แก้ไขปัญหาด้านการขนส่ง และด้านอื่นๆ และจะเน้นสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันเกษตรกรเข้ามาดำเนินการทั้งส่งออกลำไยสดและอบแห้ง

โดยรัฐจะสนับสนุนให้กู้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 หากเป็นภาคเอกชนจะให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน หรือซอฟต์โลน เพื่อดำเนินการรับซื้อลำไยสดจากเกษตรกร และนำไปดำเนินการทำลำไยสดและอบแห้งเพื่อจำหน่ายกับผู้ซื้อโดยตรงตามออเดอร์ที่ภาครัฐหาตลาดรองรับให้

"ขณะนี้ตัวเลขจำนวนการส่งออกลำไยสดที่แน่นอนมีประมาณ 230,000 ตัน และลำไยอบแห้งกว่า 70,000 ตัน ซึ่งเราได้ไปเจาะตลาดทางตอนเหนือของจีน ส่วนตัวเลขการบริโภคลำไยสดภายในประเทศคาดว่าจะมีประมาณ 100,000 ตัน ไม่รวมกับการแปรรูปลำไยกระป๋องและลำไยอบแห้งสีทองที่มีอยู่ประมาณหลายหมื่นตัน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่รัฐบาลสามารถใช้หลักบริหารจัดการ ให้เกิดความต้องการของตลาดได้มากกว่าการเข้าไปทุ่มซื้อหรือแทรกแซงราคาอย่างเช่นที่ผ่านมา"

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวต่อไปอีกว่า ในการประชุมร่วมกับเกษตรกรผู้ปลูกลำไยในครั้งนี้เป็นการชี้แจงและทำความเข้าใจกับเกษตรกรโดยตรง ให้รับทราบถึงความต้องการของตลาดที่มีอยู่ทั้งลำไยสดและอบแห้ง หากเกษตรกรเลือกที่จะจำหน่ายเป็นลำไยสดก็น่าจะได้ราคาที่ดีกว่า ขณะเดียวกันก็ได้เน้นย้ำกับเกษตรกรถึงคุณภาพของลำไยทั้งสดและอบแห้งนั้นต้องได้มาตรฐาน มีคุณภาพที่ดี ไม่มีสารตกค้าง เนื่องจากตลาดที่รองรับนั้น จะเป็นตลาดที่สามารถขายได้ในระยะยาวและมีความมั่นคง

ดังนั้น เรื่องการตรวจสอบคุณภาพ ความปลอดภัยด้านอาหาร และมาตรฐานของผลผลิตถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ โดยประมาณสัปดาห์หน้าจะจัดหลักสูตรอบรมการอบแห้งลำไย และการเก็บรักษาลำไยอย่างมีคุณภาพเพื่อการส่งออกให้กับเกษตรกร

อย่างไรก็ตาม สำหรับจำนวนลำไยสดที่จะส่งออกไปยังจีนอีกประมาณ 2 แสนตัน ที่รองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้เจรจากับทางการจีนซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจานั้น ในสัปดาห์หน้าตนจะเดินทางไปจีนเพื่อติดตามความคืบหน้า และเก็บข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม ถึงการซื้อขายลำไยสดจากไทย

สำหรับตลาดตะวันออกกลางซึ่งเป็นตลาดใหม่ที่มีแนวโน้มที่ดีนั้น จากที่ได้มีการประชุมร่วมกับทูตทุกประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง พร้อมทั้งได้จัดส่งตัวอย่างสินค้าลำไยอบแห้งสีทองไปยังประเทศเหล่านั้นแล้ว ก็ได้รับคำตอบที่น่ายินดีในการให้ไทยเข้าไปจัดการส่งเสริมการขายได้ พร้อมทั้งยินดีจัดหาสถานที่ในการเจรจานักธุรกิจด้านการส่งออกผลไม้ให้กับฝ่ายไทยประมาณเดือนตุลาคมอีกด้วย

สำหรับในเรื่องของการขนส่งนั้นไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากขณะนี้ได้รับแจ้งว่าบริษัทเดินเรือสามารถรับลำไยสดได้ 2.5 ตัน เพียงพอกับจำนวนการสั่งซื้อที่มีอยู่ประมาณ 2.3 แสนตัน
รวมถึงตู้คอนเทนเนอร์ก็ไม่มีปัญหา

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงการจัดการปัญหาผลผลิตลำไยปี 45 ว่าจะมีการทำลายทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในเดือนนี้ แต่จะเป็นการเผาทำลายหรือดำเนินการอย่างไรนั้น คงต้องมีการพิจารณาถึงกระทบด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ส่วนของลำไยปี 47 ที่ยังอยู่ในโกดังที่มีระบบการเฝ้าระวังไว้อย่างดีนั้น จะยังไม่มีการจำหน่ายหรือดำเนินการใด ๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับผลผลิตปี 48 ที่จะออกมา

ส่วนการดำเนินการทางกฎหมายสำหรับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกรณีทุจริตลำไยปี 47 นั้น ความคืบหน้าที่ได้รับรายงานจาก พล.ต.อ. เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส จเรตำรวจแห่งชาติ ซึ่งแจ้งว่าภายใน 2-3 สัปดาห์นี้จะดำเนินคดีกับบริษัทเอกชน 6 บริษัท ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 27 ราย ซึ่งตัวเลขความเสียหายส่วนหนึ่งภาครัฐจะได้รับคืนจากการดำเนินคดีกับบริษัทเหล่านี้

ส่วนกรณีของข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้นยังไม่ได้มีการส่งสำนวนยังกระทรวงเกษตรฯแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับทราบในเร็ว ๆ นี้

การบริหารจัดการลำไยที่จะออกสู่ตลาดตั้งแต่ ก.ค.- ส.ค. ในส่วนของตลาดภายในประเทศนั้น ก็ได้ขอความร่วมมือและการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยได้มีการหารือกับกระทรวงมหาดไทยร่วมจัดงานเทศกาลลำไย 76 จังหวัด ขณะเดียวกันยังได้รับความร่วมมือที่ดีจากภาคเอกชน ทั้งในส่วนของ Modern Trade อาทิ เดอะมอลล์ เซ็นทรัล ท็อปส์ซุปเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ ที่จะร่วมจัดกิจกรรมเพื่อประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการบริโภคลำไย ซึ่งจะเริ่มคิกอ๊อฟเทศกาลลำไยตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม นี้ พร้อมทั้งยังจะได้ขอความร่วมมือจากสถานีรถไฟ ปั๊มน้ำมันต่างๆ เป็นส่วนเสริมในการส่งเสริมการบริโภคลำไยให้มากขึ้นสอดคล้องกับปริมาณผลผลิต ซึ่งจะได้มีการหารือในรายละเอียดกันอีกครั้ง

ทั้งนี้ เกษตรกรต้องมีความเข้าใจในการเตรียมการเพาะปลูก หรือปรับปรุงคุณภาพผลผลิตให้สามารถส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศได้ ซึ่งตลาดหลักที่รัฐบาลได้ไปเปิดไว้แล้วคือ จีน และในอนาคตจะเร่งเปิดตลาดลำไยสีทองไปยังตลาดอินเดียและกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ที่มีความต้องการลำไยชนิดนี้มาก ขณะเดียวกันจะเร่งพัฒนาการผลิตลำไยนอกฤดูกาล

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net