Skip to main content
sharethis

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในการแถลงนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเร่งด่วนของประเทศ ในงานกาล่าดินเนอร์ครบรอบ 72 ปี มงฟอร์ตวิทยาลัย ณ หอประชุมกองทัพเรือ เมื่อคืนวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา

เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่พี่น้องคนไทยทั้งประเทศเป็นห่วง เป็นห่วงกันตลอดเวลาว่า เอ๊! เศรษฐกิจเราจะไปอย่างไร จริงๆ แล้วยิ่งดูตัวเลขมาตรฐาน แน่นอนครับเราไม่ประมาท แต่อย่าตกใจ ถ้าเราขี้ตกใจ เสร็จ!

คำว่าเศรษฐกิจทุนนิยม ผมพยายามย้ำตลอดเวลาเพื่อให้คนทุกคนเข้าใจว่า เราเป็นประเทศและโลกนี้ทั้งโลกอยู่ภายใต้เศรษฐกิจทุนนิยม ชอบหรือไม่ชอบเราก็อยู่ในเศรษฐกิจทุนนิยม ไม่ใช่คำถามว่าเราชอบหรือไม่ชอบ แต่เป็นสิ่งที่เราอยู่ในเศรษฐกิจทุนนิยม

เศรษฐกิจทุนนิยมนั้น คำว่า "ความน่าเชื่อถือและไว้วางใจ" เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ หรือที่เรียกว่า Trust and Confidence ใครเชื่อเราเขาก็ให้เรากู้ คนเขาไม่เชื่อเราเขาก็ไม่ให้เรากู้ ถ้าตัวผมเองวันที่คนเขาไม่เชื่อผม แลกเช็คแสนหนึ่งเขายังไม่ให้แลกเลย ถ้าจะให้แลกเขาต้องขอดอกแพงหน่อย เพราะความเสี่ยงสูง ถ้าวันนี้ถ้าบอกว่าอยากได้ตังค์ซัก 100 ล้าน รับรองว่านายธนาคารที่นั่งอยู่นี่ให้ผมกู้ได้ไม่ต้องมีอะไรค้ำประกัน เพราะฉะนั้นความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

เพราะฉะนั้นประเทศไทย ถ้าเราไม่เชื่อถือพวกเรากันเอง เราดูถูกประเทศไทย เราดูถูกความน่าเชื่อถือของประเทศ เราดูถูกบรรยากาศเศรษฐกิจของประเทศ อันตราย เพราะถ้าเราไม่เชื่อแล้วจะให้คนอื่นมาเชื่อมันยาก

ตอนนี้ผมเดินสายออกไปทั่วโลกเพื่อต้องการให้ทุกคนได้เข้าใจและเชื่อถือประเทศไทย การเชื่อถือไม่ใช่เป็นการโกหกหลอกลวง การเชื่อถือคือการที่เอาความจริงทุกด้านมาตีแผ่ แน่นอนทั้งข้อดีและข้อไม่ดีต้องเปิดเผย ถ้าปิดบังข้อไม่ดีแต่เปิดเผยแต่ข้อดีวันหลังความหน้าเชื่อถือนี้ก็จบ

ความน่าเชื่อถือคือความตรงไปตรงมา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องขยายสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถือออกไปจนมากเกินไป ดังนั้นจะต้องมีการเข้าใจว่าความน่าเชื่อถือเป็นเรื่องสำคัญ ผมเลยต้องขออธิบายให้ฟังว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศวันนี้เป็นอย่างไร

ท่านทั้งหลายเชื่อไหมครับว่า 6 เดือนแรก ส่งออกโต 13.6 % เราส่งออกปีนี้ไปแล้ว 52.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เราตั้งเป้าไว้ว่าปีนี้จะส่งออกประมาณ 117 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าปีทีแล้วเกือบ 20% ประมาณ 19 % เชิญบรรดาผู้ส่งออกรายใหญ่ๆ มาพบแล้ว ทำได้ครับ ดังนั้นส่งออกไม่มีปัญหาเลย นำเข้าเราโตประมาณ 11 % ที่ผ่านมา ถ้าเราไม่นับน้ำมัน ถ้าเอาน้ำมันออกทั้งของปีที่แล้วและของปีนี้ เทียบเฉพาะส่งออกนำเข้า เราเกินดุล

ตัวเดียวที่เราโดนเท่านั้นคือน้ำมัน และน้ำมันก็เป็นอะไรที่เราก็คาดไม่ถึงว่ามันจะไปเยอะขนาดนี้นะครับ เดี๋ยวจะกลับมาพูดเรื่องน้ำมันอีกครั้งหนึ่ง

การว่างงานของเราลดลงจากปีที่แล้ว ตอนนี้อัตราการว่างงานเราเหลือ 2.29% เท่านั้นเอง การใช้กำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเครื่องจักรทั้งหลาย 71.4 % เราเก็บภาษีเพิ่มได้ถึง 19.7 % แสดงว่ารายได้ของภาคนิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่มยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นกำลังซื้อยังมีอยู่ เศรษฐกิจยังเติบโตอยู่

ราคาสินค้าเกษตรน่าสนใจครับ เวลานี้มูลค่าสินค้าเกษตรโตขึ้นถึง 19% รายได้ของเกษตรกรเพิ่มขึ้นเกือบ 10% การลงทุนภาคเอกชนก็เพิ่ม เพราะฉะนั้นปีนี้เราคาดว่าจะขาดดุลการค้าอย่างมากก็ประมาณ 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐ

แต่นับเอาดุลบริการเข้ามาด้วยคือดุลบัญชีเดินสะพัด เราจะขาดเพียงไม่เกิน 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่เกิน 2% ของจีดีพี ถือว่าน้อยมาก ในภาวะที่โดนน้ำมันกระหน่ำอย่างนี้ถือว่าน้อยมาก

แต่ที่น่าปลื้มใจเราสามารถทำให้งบประมาณกลับมาสมดุลแล้ว เพราะฉะนั้นอัตราเสี่ยงที่เกิดขึ้นนั้นถือว่าต่ำมากครับ

พอมานับถึงดุลการชำระเงินเรายังเป็นบวกอยู่แน่นอน เพราะว่าเงินไหลเข้าเนื่องมาจากเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมีเยอะ เพราะฉะนั้นสรุปแล้วว่า balance of payment หรือว่าดุลการชำระเงินของเราไม่ขาดดุล เงินทุนสำรองของเรายังอยู่ในระดับสูง 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะฉะนั้นไม่เดือดร้อนเลย อย่าตกใจ ตัวเลขที่เป็นเศรษฐกิจมหภาคเหล่านี้ยังแข็งอยู่มาก

สิ่งที่น่าตกใจอย่างเดียวคือน้ำมัน ถ้าตกใจแล้วช่วยกันประหยัดด้วย ถ้าตกใจแล้วยังไม่ประหยัดอยู่ก็ก็อย่างนั้นตกใจก็ไม่มีประโยชน์ ช่วยกันตกใจเรื่องราคาน้ำมันดีกว่าแล้วประหยัดน้ำมัน อย่างอื่นไม่ต้องตกใจนะครับ ถ้าเราตกใจราคาน้ำมันผมว่าดีขึ้น

หนี้เสียในสถาบันการเงินทั้งระบบ ลดลงจากเมื่อปี พ.ศ. 2542 หนี้เสียอยู่ 38.6% วันนี้เหลือแค่ 10.9% หนี้เสียในธนาคารที่คนว่ากันมากคือธนาคารออมสิน รวมธนาคารประชาชนเข้าไปแล้วมีหนี้เสียแค่ 2.4% เท่านั้น รวมแล้วนะครับ ถ้าธนาคารประชาชนอย่างเดียวน่าจะมากกว่านี้หน่อย ธนาคาร SMEs ก่อนที่ผมจะเข้ามาในปี 42 นั้น หนี้เสียอยู่ 52% ครับ วันนี้เหลือ 21 %

ธนาคารอาคารสงเคราะห์มีหนี้เสียปี 42 22% กว่า ปีนี้เหลือ 9% ธกส. ปี 43 หนี้เสีย14%กว่า ปีนี้เหลือ 6% กว่า เพราะฉะนั้นไม่เป็นเรื่องให้ตกใจเลย

เอาล่ะ ตกใจไม่ตกใจไม่เป็นไร รัฐบาลขออธิบายให้ฟังว่า วันนี้เมื่อเศรษฐกิจเกิดการไม่ลื่นเท่าที่ควรเพราะว่าน้ำมันราคาแพง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมาเติมเงินในกระเป๋าให้ประชาชน

ผมเคยเล่าแล้วว่าเหมือนวิธีที่หมอใช้รักษาคนเป็นโรคเบาหวาน บางหมอบอกว่าคุมอาหาร ให้อินซูลิน ในที่สุดคนไข้ก็ผอมเดี๋ยวก็ตาย อีกส่วนหนึ่งบอกว่าให้อาหารเถอะแต่เพียงแต่คุมน้ำตาลหน่อย และให้อินซูลินคนไข้ โดยวิธีหลังนี้เริ่มก็อ้วนท้วน และในที่สุดตับอ่อนฟื้น บางคนหายจากเบาหวานได้ เพราะฉะนั้นผมจะใช้วิธีทั้งคุมอินซูลินและให้อาหาร

นั่นก็คือเราจะลดรายจ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นให้กับประชาชน แล้วจะเติมรายได้ให้ประชาชน เพราะถ้าเราไม่ลดรายจ่าย เติมรายได้อย่างเดียวก็ไม่พอ แต่รายจ่ายมันลดได้เท่าที่จำเป็น มันลดหมดไม่ได้ มันเหมือนเราอยากจะลดน้ำหนัก เราลดความอ้วนเอาไขมันออกได้ แต่เราจะลดน้ำหนักด้วยการตัดแขนขาออกไปไม่ได้ เพราะเราเดินไม่ได้ เราได้แค่ลดเอาไขมันเอาความอ้วนออกไป เท่าที่มันลดได้ แล้วเราก็ฟิตร่างกายเติมความแข็งแรง

เพราะฉะนั้นมาตรการที่จะเติมเงินในกระเป๋าประชาชน ประชาชนมีหลายกลุ่ม

มาตการที่ 1
ผมกลับมาดูคนที่รับราชการ ข้าราชการในประเทศไทยเป็นข้าราชการที่เงินเดือนน้อยแต่ถูกคาดหวังมาก หนึ่งคุณต้องทำงานหนัก สองคุณทำงานต้องให้ได้ผล สามคุณต้องทำงานโปร่งใสแต่เงินเดือนเอาน้อยหน่อยแล้วกันเพราะรัฐบาลยังไม่มีตังค์ ตรงนี้ผมคิดว่าขณะนี้เขาเดือดร้อน

ขณะนี้พี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ๆ หรือคนที่ทำงานในเงินเดือนระดับหมื่นบาท อยู่กรุงเทพฯ เหนื่อย ถ้าอยู่กับพ่อแม่ยังพอไหว ถ้าเช่าบ้านอยู่ค่าเช่าบ้านกินไปแล้ว 4,000-5,000 บาท 4,000-5,000 บาทนี่อยู่ไม่สบายนะครับ แล้วค่ารถ ค่ากิน อยู่ไม่ได้ครับ แล้ววันนี้จะหาทางว่าทำอย่างไร

เรื่องแรก ผมขอเพิ่มเงินเดือนให้กับข้าราชการ ซึ่งข้าราชการบัญชีเงินเดือนไม่เคยเปลี่ยนไม่เคยเพิ่มเลยเป็นเวลา 10 ปี จนผมปรับเพิ่มให้เมื่อปี 2547 ปีนี้ 2549 ตั้งใจไว้ว่าจะให้เงินเดือนข้าราชการเอาประมาณเดือนกรกฎาคมปี 2549 แต่เมื่อมีเหตุการณ์น้ำมันแพงอย่างนี้ เลยต้องขอดึงขึ้นมาและให้เริ่มต้นตั้งแต่ 1 ตุลาคม ตามปีงบประมาณ 2549 คือ 1 ตุลาคม 2548 จะเพิ่มเงินเดือนให้กับข้าราชการอีก 5% ทุกระดับชั้น

อันที่ 2 ผมเห็นใจข้าราชการบำนาญครับ เพราะส่วนใหญ่บางคนเกษียณมานานแล้วบำนาญไม่ได้ปรับ เพราะฉะนั้นก็ขออนุญาตปรับให้อดีตท่านประธานศาลฎีกาด้วยเป็นศิษย์เก่ามงฟอร์ต ก็ปรับให้อีก 5 % ของข้าราชการบำนาญ เริ่ม 1 ตุลาคม 2547 เช่นกัน

2 เรื่องนี้ก็ใช้เงินไป 20,000 กว่าล้าน ไม่น้อยนะครับ ก็ต้องขออภัยที่ให้มากกว่านี้ยังไม่ได้ เดี๋ยวถ้าหาเงินได้อีกจะเพิ่มให้อีก แต่วันนี้ให้แค่นี้เอาแค่นี้ก่อนนะครับ

อันที่ 2 ผมจะขอให้คณะกรรมการไตรภาคีไปเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้กับพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ผมได้ข่าวว่าปกติเพิ่มทีละบาท 2 บาท 3 บาท ผมได้ข่าวว่าเขาคุยกันเบื้องต้นว่า 6 บาท บางคนบอกว่า 6 บาทมันนิดเดียว แต่ว่ามันเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ถ้าสมมติว่าเพิ่มมากเกินไปบางอุตสาหกรรมอยู่ไม่ได้ แต่เป็นเรื่องการตกลงกันเองในไตรภาคี คือ นายจ้าง ลูกจ้าง และภาครัฐ อันนี้จะมีการตกลงกันเพื่อให้มีการเพิ่มแรงงานขั้นต่ำ มีผลวันที่ 1 ส.ค.ปีนี้

เราจะเพิ่ม 2 ระดับ ระดับหนึ่งคือแรงงานไร้ฝีมือคือแรงงานขั้นต่ำ ระดับสองรัฐบาลจะจูงใจให้ภาคเอกชนเอาพนักงานลูกจ้างของเขาไปฝึกไปพัฒนาเพื่อให้เกิดความชำนาญขึ้น เช่น ภาคการท่องเที่ยวก็เอาไปฝึกภาษาอังกฤษ พอภาษาอังกฤษดีขึ้นมาก็จ้างแพงขึ้นกว่าแรงงานขั้นต่ำ เพราะฉะนั้นก็จะเป็นการทำ skill improvement ถ้าค่าแรงสูงขึ้นตามที่ต้องการในทุกระดับอุตสาหกรรมต่างๆ จะอยู่ไม่ได้ การฝึกอบรมที่นายจ้างจัดให้นำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการลดหย่อนภาษีได้ 200% คือ 2 เท่า จากเดิมให้แค่ 1.5% ตอนนี้ขอปรับเป็น 2 เท่าคือ 200 %

เพราะฉะนั้นต้องการส่งเสริมให้ภาคเอกชนได้มีการลงทุนเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานให้แก่คนไทย เราไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีแรงงานพอใช้ เพราะว่าแรงงานไร้ฝีมือนั้นหาได้ไม่ยากนัก ถ้าหากว่าเรามีแรงงานไร้ฝีมือจากต่างประเทศที่มาอยู่ในประเทศเราอยู่พอควร

อันต่อไป ผมจะให้แรงจูงใจแก่ภาคธุรกิจเอกชนเช่นกัน ในการเพิ่มเบี้ยยังชีพให้แก่ลูกจ้างพนักงานที่เงินเดือนน้อย ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับที่ผมได้ทำกับข้าราชการ ฟังให้ดีนะครับ คนที่เงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท เพิ่ม 1,000 บาท จนถึง 10,000 ถ้ามีคนเงินเดือนน้อย เพิ่มไป 1,000 แล้วยังไม่ถึง 7,000 ก็ขอให้ถึง 7,000 เงินส่วนที่เพิ่มนี้นำมาลดหย่อนได้ 150 % จากเดิมที่ลดหย่อนได้ 100%

จะเอา 200% แต่เสียงสู้เขาไม่ได้ แต่กำลังจะชักจูงใจต่อไป เพราะ ผมต้องการให้เห็นค่าครองชีพเพิ่มค่าครองชีพให้แก่บรรดาลูกจ้างพนักงานที่เงินเดือนต่ำกว่าหมื่นบาท เพราะฉะนั้นสรุปแล้วก็คือว่า เราต้องการให้จ้างงานในอัตราที่ต่ำสุดคือ 7,000 บาท จะเงินเดือนเท่าไหร่ไม่ว่ากัน แต่ส่วนที่เพิ่มนั้นต้องเพิ่ม และส่วนที่เพิ่มเอามาหักภาษีได้มากขึ้น

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นห้ามเปลี่ยนแปลงเงินเดือนเป็นเบี้ยยังชีพ อันนี้เราจะต้องใช้บัญชีเดิม แล้วเอามาโปะเข้าไป ก็จะทำให้พนักงานลูกจ้างบริษัทเอกชนได้รับค่ายังชีพที่อยู่ได้

ต่อไปก็คือคนชรา ผู้สูงอายุทั้งหลาย มีอยู่ประมาณซัก 5- 6 ล้านคนโดยประมาณ แต่ปรากฏว่าเป็นผู้ยากไร้ประมาณ 1.1 ล้าน ขณะนี้ได้รับเบี้ยเลี้ยงค่ายังชีพคนชราผู้ยากไร้อยู่เดือนละ 300 บาทต่อคนต่อเดือน เพียงครึ่งเดียว 5 แสนกว่า ดังนั้นรัฐบาลจะจัดให้อีก 5 แสนกว่า ให้ครบทั้งหมด 1. 1 ล้านคนสำหรับผู้ที่ยากไร้ครับ

มาตรการต่อไปครับ จะเป็นการเพิ่มเงินให้ผู้ที่ทำงานให้ภาครัฐคือ อสม. ผู้อาสาทั้งหลาย อสม.ได้รับเงินปีนึง 7,500 บาท ปีหน้าจะเพิ่มให้อีก10,000 บาท แต่จากนี้ไปถึงเดือนตุลาคมเนื่องจากว่าเหลืออีก 2-3 เดือน รัฐบาลจะเพิ่มให้หมู่บ้านละ 2,500 บาท จากที่ได้ไปแล้ว 7,500 จะเป็น 10,000 บาท พอถึง 1 ตุลาคมเป็นต้นไป ก็ได้เพิ่มอีก 10,000 บาท ตามกติกาที่ได้บอกไว้นะครับ

ผมจะประสานกับกรมปกครองท้องถิ่นและองค์กรปกครองท้องถิ่น คณะกรรมการกระจายอำนาจเพื่อหาทางที่จะจัดเงินเพื่อสนับสนุนการทำกิจกรรมของแม่บ้านในหมู่บ้านต่างๆ เพราะว่ากิจกรรมของแม่บ้านนั้นช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชุมชนและช่วยเพิ่มอาชีพให้แก่ชุมชนนะครับ เพราะฉะนั้นก็อยากจะให้ตรงนี้เป็นประโยชน์ก็จะจัดเงินให้ครับ

ส่วนเรื่องที่แปด ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย จะเกิดวันศุกร์นี้คือ การจัดงบประมาณภาคประชาชน ซึ่งปกติแล้วประชาชนไม่เคยมีงบประมาณ วันศุกร์นี้จะมีการโอนงบประมาณให้ประชาชนหมู่บ้านละเฉลี่ย 250,000 บาท เพื่อให้เขาไปบริหารการแก้ปัญหาของตัวเอง ไปสร้างรายได้ให้กับตัวเอง โดยไม่ผ่านองค์กรใดๆ ตรงเข้ากับคณะกรรมการของชุมชนหมู่บ้านนั้นๆ ทันทีจะไม่ผ่านกลไกของราชการเลย เพราะฉะนั้นไม่เหมือนไม้ไอติมแน่นอน
ไอติมที่ละลายระหว่างทาง เพราะฉะนั้นไปถึงประชาชนทั้ง 2.5 แสนบาท ไม่หายแม้แต่สลึงเดียวนะครับ เพราะฉะนั้นก็จะเกิดขึ้นในวันศุกร์นี้ ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทครับตัวนี้

มาตรการต่อไป คือการเพิ่มรายได้ให้กับสินค้าเกษตรครับ เพื่อให้รายได้ของเกษตรกรดีขึ้น เรื่องแรกคือเรื่องข้าว เดือนสิงหาคมนี้ผมได้เชิญ รมต. เกี่ยวกับเรื่องข้าวของประเทศผลิตข้าวทั้งหลายมารับประทานอาหารกับผมที่ประเทศไทย เพื่อจะดึงราคาข้าวขึ้น เพราะน้ำมันเขาจับมือกันดึงขึ้น วันนี้เราขอเอาสินค้าเกษตรดึงขึ้น เราเป็นผู้ส่งข้าวออกใหญ่ที่สุดในโลก เราจะเป็นเจ้าภาพเชิญผู้ผลิตข้าวทั้งหลายมาคุยกัน เพื่อดึงราคาข้าวขึ้นอีกนะครับ

เรื่องต่อไปคือเรื่องกุ้ง ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรตัวใหญ่ กุ้งนั้นเรามีปัญหาเรื่องเรามีปัญหาเอดีซีวีดีที่สหรัฐอเมริกา ผมได้พูดกับรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ 2 วันนี้ กับรัฐมนตรีช่วยที่เขามาก่อนหน้านั้น แนวโน้มเดือนส.ค.นี้ จะมีการประชุมเพื่อทบทวนเรื่องของเอดีประเทศไทยใหม่ ซึ่งคงจะมีข่าวดีมีผลประมาณเดือนกันยายน พร้อมกับที่สหภาพยุโรป ผมได้โทรคุยกับผู้นำประเทศหลายประเทศในยุโรป และในที่สุดเขาจะจัดเซคชั่นพิเศษ คอร์สพิเศษให้ประเทศไทยให้มีผลเดือนกันยายนนี้ ในการที่เราจะได้รับการสิทธิพิเศษทางภาษีเรื่องกุ้ง เพราะฉะนั้นในเดือนกันยายนนี้ เกษตรกรด้านกุ้งคงจะมีข่าวดีที่เข้าได้ทั้งตลาดยุโรป และก็แข่งขันได้ในตลาดสหรัฐอเมริกาต่อไปนะครับ

ส่วนยางพารานั้น ผมได้ไปประชุมที่เชียงใหม่ ได้บอกกับพวกประเทศผู้ผลิตยางพาราทั้งหลายว่า ในเมื่อยางสังเคราะห์ราคาแพงกว่ายางพาราดิบธรรมชาติไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องไล่ราคาไปให้ได้ ซึ่งผมส่งสัญญาณวันนั้นราคาขึ้นไปจาก 40 กว่าบาท วันนี้เป็น 60 กว่าบาทนะครับ แล้วเราจะต้องรักษาราคา เพราะน้ำมันแพง ยางสังเคราะห์แพง และยางสังเคราะห์แพงยางดิบต้องแพงตาม เพราะฉะนั้นก็จะทำให้ราคาสินค้าเกษตรเหล่านี้ดีขึ้น

ส่วนลำไย ผมได้ไปเมืองจีนเที่ยวนี้ ไปบุกตลาดจีนไปคุยกับรัฐบาลจีน รัฐบาลจีนสนับสนุนเต็มที่เพราะเราเป็นมิตรที่ดีกับจีน แล้วตลาดจีนประเทศเดียวเท่านั้นแหละครับที่กินลำไยมากที่สุด เพราะเขามองว่า ลำไยแปลว่าตามังกร เป็นตามังกรนะครับ เพราะฉะนั้นคนจีนนิยมกินลำไยมาก เพียงแต่ว่าเราไปเจอสิ่งที่ไม่ดี เจอมาเฟีย เจอพวกพ่อค้า ต่อไปนี้จะดีขึ้นนะครับ ช่วงนี้เราได้ส่งเสริมกันเต็มที่เราต้องช่วยคนไทยถ้าเราไม่ช่วยกันเองแล้วใครจะช่วยเรา

เมื่อถึงยามจำเป็นอาจต้องรบกวนคนไทยทั้งแผนดิน สมมติว่าช่วงที่สินค้าเกษตรบางตัวออกมาระบายไม่ทัน คงต้องขอร้องยกตัวอย่าง กุ้ง ฝากท่านเก็บไว้บ้านละกิโลได้ไหม นิดเดียวครับ ถ้า 15 ล้านครอบครัว เก็บไว้บ้านละกิโล 15,000 หายวับกับตาครับ ข้าวสารฝากได้มั๊ยครับ ข้าวหอมมะลิช่วยเก็บไว้บ้านละ 5 กิโลได้ไหม ครับ 5กิโลนี่ไม่กี่ตังค์เลยครับ หายไปปึ๊บทันทีครับ 7.5 หมื่นตัน เพราะฉะนั้นผมจะมีการขอร้องพี่น้องเป็นระยะว่าเรามาช่วยกันเถอะ ถ้าไทยไม่ช่วยไทยใครจะช่วยไทย

ผมจะขยายตลาดโอท็อปจะมีการจัดนิทรรศการ จัดตลาดโอท็อปส่งเสริมโอท็อป เพราะโอท็อปทำให้ชาวบ้านมีเงินเยอะขึ้นเยอะ เชื่อไหมว่าการเก็บภาษีสัดส่วนที่เพิ่มต่างจังหวัดเพิ่มกว่ากทม.ครับ แสดงให้เห็นถึงว่าการเติบโตในต่างจังหวัดยังมีอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องส่งเสริมเศรษฐกิจทางด้านชนบทด้วยเช่นกันเพื่อให้มาส่งเสริมกรุงเทพตามมา นะครับ ผมจะเดินทางไปอีกหลายประเทศเพื่อขยายตลาด

พี่น้องครับมีเรื่องน่ารักๆอยู่เรื่อง มีศูนย์บ่มเพาะของม.ศิลปากร ผอ.ศูนย์บ่มเพาะคนนี้เป็นนักเคมี ชื่อ ดร.สุพรรณี เป็นอาจารย์เคมีเพื่อศิลปะของมหาวิทยาลัยศิลปากร ความที่ ความรู้เดี๋ยวนี้มันผสมผสานกัน รัฐบาลโดยตอนนั้นรัฐมนตรีสุธรรม แสงปทุม ได้เอาเงินไปตั้งศูนย์บ่มเพาะตรงนี้ที่ มหาวิทยาลัยศิลปากร 10 ล้านบาท วันนี้เกิดอะไรขึ้นนะครับ นักเคมีกับนักศิลปะเจอกัน เขาสามารถผลิตสีน้ำ สีโปสเตอร์ สีอะไรทั้งหลาย โดยความเป็นนักเคมี บวกกับการเอาความเป็นนักศิลปะมาเจอกัน วันนี้คุณภาพอย่างงี้ครับ ทำเป็นอิงค์เจ็ทใส่ เลเซอร์ปรินเตอร์ได้ ราคา ถูกกว่าที่เรานำเข้าจากญี่ปุ่น 5 เท่า เพราะฉะนั้นคนไทยมีหัวเพียงแต่ต้องให้โอกาสคนไทยด้วยกัน ซื้อของที่ผลิตในประเทศไทยเยอะๆครับ ตรงนี้เราจะสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยมากขึ้น นะครับ

มาตรการต่อไปที่จะนำรายได้ให้สู่ประชาชนก็คือการปล่อยเม็ดเงินออกสู่ระบบ ผมได้มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณค้างซึ่งอยู่ในท่อ 3 แสนกว่าล้าน พร้อมกับเงินที่อยู่ในท่อของรัฐวิสาหกิจอีกส่วนหนึ่ง ผมได้บอกกับรัฐมนตรีไปเรียบร้อยว่า แนวคิดในการบริหารงบประมาณมันเปลี่ยนไป สมัยก่อนหมายความว่าโครงการนี้ได้ตัวเลขเท่าไรกอดไว้ ใช้ไม่ทันก็กอดไว้ ผมบอกไม่ได้ โครงการนี้ตัวเลขเท่าไหร่ก็เท่านั้นไม่ว่ากันแต่ใช้เท่าไหร่ก็กอดไว้เท่านั้น ไม่ได้ใช้ต้องให้คนอื่นใช้ ไม่งั้นเงินมันไม่ออกสู่ระบบ ผมย้ำไปแล้วครับว่า ท่านกลับไปทบทวนให้ดี คุยกับปลัดกระทรวงและอธิบดีท่านให้ดี ยามนี้งบประมาณไม่ออกเพราะว่าท่านกอดไว้ถือว่าไร้ประสิทธิภาพอย่างรุนแรง เพราะยามนี้เราต้องการเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจก็ขอให้ท่าน ท่านปลัดกระทรวงและอธิบดีร่วมกันรับผิดชอบคุมเม็ดเงินที่มีอยู่ให้ใช้เป็นไปตามงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติ ถ้าท่านคิดว่าใช้ไม่ทันในปีพ.ศ. 2548ขอให้คืนมาแล้วเราจะจัดการใหม่เพื่อให้เม็ดเงินเหล่านั้นได้ไปพัฒนาประเทศและนำเม็ดเงินอัดฉีดสู่ระบบเศรษฐกิจได้ อันนี้ก็จะมีเม็ดเงิน ออกอีก 3.7 แสนล้านจากภาครัฐครับงั้นสบายๆ เศรษฐกิจครึ่งปีหลังไม่มีปัญหา

ผมจะเร่งรัดการส่งออกปลายปีนี้ให้ได้ 20 เปอร์เซ็นต์ เหมือนที่บอกไว้เมื่อกี้ได้คุยเรียบร้อยแล้ว ผู้ส่งออกยืนยันว่าทำได้ เราจะได้ให้มีการจัดจ้างงานในชนบท โดยเอางบที่มีอยู่แล้วอยู่ที่ผู้ว่าซีอีโอส่วนหนึ่ง งบท้องถิ่นส่วนหนึ่ง และงบกลางส่วนหนึ่ง นำไปพัฒนาพื้นที่ในต่างจังหวัดเพื่อให้ให้เกิดการจ้างงานและเงินอัดฉีดอยู่ในต่างจังหวัด อาทิ เช่น แหล่งท่องเที่ยว พัฒนาทัศนียภาพของถนน ไปทำเรื่องของสุขา ไปจัดการเรื่องขยะ น้ำทิ้ง ไปทำท่อระบายน้ำ ไปทำเรื่องถนน ที่มีฝุ่นเป็นถนนลาดยางใช้ไม้ไผ่ขัดแตะ บางคนที่เป็นคนกรุงเทพฯมองว่าทำไมถนนต้องใช้ไม้ไผ่ ตอนสมัยผมเด็กๆ ผมจำได้ว่าพ่อผม สร้างโรงหนังวันนั้น ปูปูนซีเมนต์ที่โรงหนังใช้ไม้ไผ่ทั้งนั้นเลยครับ เพราะว่าประหยัด ใช้ไม้ไผ่ขัดแตะ เทปูนเข้าไป ปรากฏว่าตอนเอาเก้าอีไปใส่ ตอกซีเมนต์ แต่ตะปูที่ตอกซีเมนต์ยังงอเลยครับ แข็งมาก ขนาดจราจรในเขตชนบท ปูนซีเมนต์ใช้ไม้ไผ่ไม่ต้องเสียค่านำเข้าเหล็ก ตรงนี้จะเกิดการจ้างงาน 1 กิโล จะจ้างงานคนได้ 22 คน เป็นเวลา 3 เดือน ยังไม่นับหัวหน้าคนงาน เพราะฉะนั้นเราก็จะมีการจ้างงานในชนบทแล้วซื้อของในท้องถิ่น เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียนในท้องถิ่นโดยงบประมาณที่มีแล้วแต่กลับ แชลแนลใหม่ ก็จะทำให้เกิดการสร้างงานในชนบท เว้นแต่บางที่มันไม่มีแรงงาน บางหมู่บ้านไม่มีแรงงานเลยครับ เพราะว่าไปทำโอท็อปหมดบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าหมู่บ้านไหนมีแรงงานเราก็จะใช้งบตรงนี้มาจ้างงานในชนบทเพื่อให้การการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในต่างจังหวัด

อีกเรื่องคือบรรดาผู้รับเหมาในโครงการของรัฐ เมื่องานเสร็จแล้วแต่ยังตรวจรับไม่ได้ ท่านอยากได้เงินใช่มั๊ย ท่านเอาแบงก์การันตีมาวางเลยแล้วเอาเงินสดไปเลย เงิน เมื่อตรวจรับเสร็จเรียบร้อยค่อยเอาแบงก์การันตีคืนไปคืนแบงก์เงินก็จะออกจากระบบได้เร็วขึ้น แต่รัฐไม่เสี่ยง เพราะแบงก์รู้จักลูกค้าเค้าดี แบงก์เค้าจะคุมลูกค้าดี แบงก์เอาออก แบงก์การรันตีให้ พอรัฐบาลจ่ายเงินให้ แบงก์ก็เอาเงินที่รัฐบาลจ่ายไปใช้หนี้ให้ลูกค้า ไปใช้หนี้ให้ลูกค้าเป็นหนี้แบงก์อยู่ ที่เหลือก็ส่งก็ให้ลูกค้าเอาไปใช้ แต่ว่ารัฐไม่เสี่ยงเพราะเนื่องจากว่าถ้าเมื่อไรเกิดตรวจรับมีปัญหาก็หักจากแบงก์การันตรีๆได้ ก็จะทำให้เม็ดเงินออกสู่ระบบได้เร็วขึ้น

ทีนี้เรามาพูดกันถึงเรื่องการลดรายจ่ายครับ เพราะขณะนี้รายจ่ายของประชาชนที่เป็นปัญหาที่สุดก็คือน้ำมัน

พี่น้องครับน้ำมันนี่ ต้องขออภัยที่วันนี้มีการปล่อยให้ดีเซลลอยตัวแล้วตามปกติแล้ว แต่ผมทราบว่านักธุรกิจก็บ่นว่าน้ำมันที่ขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้กะราคาไม่ถูก แต่ก็ต้องขอเรียนว่าอยากให้เป็นไปตามต้นทุนที่แท้จริงแลกลไกตลาดทั้งหมดเราซื้อเค้ามา ผมจะยกตัวอย่างราคาน้ำมันให้ฟังนะครับ ราคาน้ำมันดีเซลที่มาเลเซียถูกสุดเพราะเขาส่งออกน้ำมัน เวียดนามก็ส่งออกน้ำมันก็ถูกตามลงมา
ไ ทยกับฟิลิปปินส์ใกล้เคียงกัน ฟิลิปปินส์อุดหนุน ของไทยวันนี้ 22 บาท ฟิลิปปินส์21 มาเลเซีย 12 บาทเพราะมาเลเซียเค้าผลิตเองได้ แต่หันกลับมาลาวครับ 24 บาท 50 เขมร 24.90 สหรัฐ 25.40 สิงคโปร์ 27.90 ไปโน่นเลยครับ ฮ่องกง 42 บาท ของเรา 22 ฮ่องกง 42 ฝรั่งเศส 52 อังกฤษ 67.50 ครับ ลิตรนึงเพราะฉะนั้นราคาน้ำมันแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ถ้าประเทศที่ถูกก็คือประเทศที่ส่งออกน้ำมัน ประเทศของเราถือว่าระบบโครงสร้างภาษีนั้นค่อนข้างต่ำ ถ้าเปรียบเทียบกับราคาประเทศของหลายประเทศ แต่ว่าเราซื้อเค้ามาทั้งร้อยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์คือต้นทุนสูงต้องขายสูง แต่ขณะนี้ถึงแม้ว่าน้ำมันดีเซลล์ลอยตัวแล้ว รัฐก็ยังให้การอุดหนุนผ่านกระบวนการภาษีสรรพสามิต ถูกกว่า ปกติ ไป 1 บาท เท่ากับช่วยไปหนึ่งบาท

นอกจากนั้น รัฐก็จะหาทางช่วยเรื่องน้ำมันในหลายๆอย่างราคาน้ำมันที่ขึ้นไปนี้ นอกจากเรื่องของกำไร ขาดทุน อุปสงค์ อุปทานแล้ว มันเป็นเรื่องของการเก็งกำไรจากเฮจด์ฟันทั้งหลาย ผมไปเมืองจีนได้พูดกับนายกจีนแล้วก็ไปประชุมผู้นำอนุกลุ่มประเทศ ภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ก็ได้พูดที่นั่น แล้วเมื่อวาน วันก่อนนี้ได้พบกับ รมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ได้พูดอีกว่า ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันให้ชะลอเฮจด์ฟัน เมื่อก่อนนี้มาโจมตีค่าเงิน แต่วันนี้กำลังปั่นราคาน้ำมัน อันตรายต่อประเทศกำลังพัฒนามาก ขอให้ช่วยกัน ขอให้จีนช่วย ขอให้สหรัฐช่วย เพราะว่านักธุรกิจที่ค้าขายทั่วไปเราบอกว่าคุณจะต้องมีหนี้ต่อทุนประมาณ 2 ต่อ 1 เป็นหนี้ได้สองเท่าแต่ไอ้พวกเฮจด์ฟันที่เก็งกำไรนี้มันให้เป็นหนี้ได้ถึง 8 เท่า ทุนเท่าเดียว เพราะฉะนั้นเก็งกันเพลินเลย ปรากฏว่าการค้ากระดาษมากกว่าในยุคที่น้ำมันจะแพงถึง 3 เท่า วันก่อนประธานบริษัทแทบล่อน กับประธานบริษัทยูโนแคลมาพบผม ผมบอกว่า ยูรู้มั๊ยพวกยูนี่มือต้องเปื้อนน้ำมันดิบ แล้วต้องสำรวจ แล้วต้องไปอาบเหงื่อ ได้กำไรน้อยกว่าพวกค้ากระดาษเฉย ๆ เค้าหัวเราเลย เพราะฉะนั้นต้องเรียกร้องกันต่อไป เรื่องของเฮ็จด์ฟัน ถ้าเฮจด์ฟันชะลอ ผมเชื่อว่าราคาจะอ่อนไปอีกเยอะ อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องต่อสู้ต่อไป

หันกลับมาดูภายใน รัฐบาลวันนี้ออกมาตรการเพิ่มอีก 2 มาตรการ คือ มาตรการที่ 1ก็คือ ปิดปั๊มมาที่สี่ทุ่มจากเที่ยงคืน เว้นถนนบางสายที่มีความจำเป็น อันนี้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดในการตัดสิน และนอกจากนั้นก็จะมีการปิดป้ายโฆษณา ถามว่าจริงๆแล้วช่วยได้มากมั๊ย จริงๆแล้วช่วยได้นิดหน่อย แต่ต้องการเป็นสัญลักษณ์บอกประชาชนว่าช่วยกันประหยัดหน่อยเถอะ ช่วยกันประหยัดหน่อยเถอะ เพราะเรานำเข้า เมื่อเรานำเข้าเราเสียเงินตราต่างประเทศ เมื่อเสียเงินตราต่างประเทศมาก เราขาดดุล การขาดดุลทำให้เสถียรภาพของค่าเงินมันเบาลง มันอ่อนลง เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามเพื่อให้รักษาศักยภาพของค่าเงินบาทเรา เพื่อรักษาทุนของเรา เพราะฉะนั้นเราต้องประหยัดกันหน่อย อันนั้นคือสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ที่อยากจะบอก

พี่น้องเชื่อมั๊ยครับว่า สำนักงานสถิติพบว่า การสำรวจประชาชน พบว่า ประชาชนไม่ขัดข้องเลย ที่จะมาตรการต่างๆ ที่จะให้เป็นการมีสัญลักษณ์ในการประหยัดพลังงาน ว่าเรื่องจำกัดความเร็ว กำหนดเวลาปิดสถานบันเทิง จัดอะไรพวกนี้เค้ายอมหมด เป็นความน่ารักของประชาชนที่พร้อมจะร่วมมือ ก็อยากจะขอความร่วมมือต่อไปว่า ขอให้ประหยัดพลังงานกันเถอะ ขณะนี้ ปตท.กำลังร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน และร่วมมือกับปั๊มอื่นๆด้วย จะเปิดขายเอ็นจีวีมากขึ้น จะเปิดให้บรรดารถทั้งหลายได้มาติดตั้งถังแก๊ส เพราะเอ็นจีวี หรือแก๊สธรรมชาติเราผลิตได้เองเป็นของเราในอ่าวไทย ไม่ต้องเสียเงินตราต่างประเทศ เพราะฉะนั้นมันถูกลิตรหนึ่ง 9 บาทเปรียบกับดีเซล 22 บาท เอ็นจีวี 9 บาท ประหยัดไปเยอะ เอาไปจ่ายค่าถังไม่ถึงปีก็ได้ทุนคืนแล้ว ฉะนั้นตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนให้รถบรรทุก รถเมล์ เท็กซี่เปลี่ยนไปแล้ว และจะเปลี่ยนอีกมากมาย เราจะเร่งระดมทำ เพื่อลดการนำเข้าน้ำมัน ก็จะทำให้ประชาชนมีทางเลือก

นอกจากนั้นเรื่องแก็สโซฮอล เรื่องของไบโอดีเซลกำลังทำเป็นร่ำเป็นสัน ถ้าพื้นที่เพาะปลูกในประเทศไทยไม่พอ จะขอใช้ประเทศเพื่อนบ้าน เขาเต็มใจ ในที่สุดเราจะชดเชยการนำเข้าด้วยการปลูกน้ำมันแทนที่จะต้องซื้อ อันนี้จะพยายามเร่งให้เร็วที่สุด

โครงการประหยัดอีกอันคือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ช่วงนี้มีข่าวหาว่าเราจะรวมกองทุน ไม่มี เพียงแต่เป็นการป้องกันการซ้ำซ้อนของการใช้ของบริการ เช่น บางคนไปใช้บริการในฐานมีประกันพ.ร.บ.บุคคลที่ 3 ไว้แล้วขี้เกียจไปกรอก ไปแจ้งความก็เลยใช้ 30 บาท ทำให้ 30 บาทเสียค่าใช้จ่ายและประกันก็ได้ตังค์ไปฟรีๆ ไม่มีการเคลม อันนี้เราจะให้ระบบการจ่ายเงินมารวมกัน แต่ไม่ได้รวมกองทุน คงไม่มีเวลาพูดยาว ก็ขอให้รู้ว่าไม่มีการรวมกองทุนใดๆ ทั้งสิ้น

เมื่อประหยัดเสร็จเรียบร้อย 30 บาทจะขยายบริการเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อลดค่าใช้จ่ายของประชาชน บริการแรกที่จะขยายก็คือ บริการทันตสุขภาพให้นักเรียนชั้นประถมปีที่1 ทั่วประเทศเน้นเคลือบหลุมร่องฟัน เพื่อวันหน้าวันหลังฟันจะได้ไม่ผุ อันที่สองก็คือ คัดกรองโรคขาดไทรอยด์ฮอร์โมนในเด็กแรกคลอด เพื่อป้องกันความบกพร่องของพัฒนาการในสมองเด็ก อันที่สามคือ ตรวจสุขภาพพนักงานขับรถสาธารณะ เช่น รถแท็กซี่ สามล้อ มอเตอร์ไซด์ทั้งหลาย ประมาณ 1 แสนคน ตรวจสุขภาพเพื่อหาความเสี่ยงและให้บริการส่งเสริมสุขภาพแก่ข้าราชากรและคนงาน ตรวจมะเร็งปากมดลูก ตรวจหลอดเลือดในผู้สูงอายุ ตรวจสุขภาพและทำฟันเทียม ขึ้นทะเบียนผู้พิการ และเอชไอวี เอดส์เข้าสู่โครงการ 30 บาทแล้ว เวลาเป็นโรคเอดส์ ซีดีโฟร์ในเม็ดเลือดต่ำว่า 400 ก็จะทรีตยาพิเศษที่เราผลิตได้เอง อันนี้ก็จะเป็นการลดรายจ่ายของประชาชน

ต่อไปคือทุนการศึกษา เลข 3 ตัว 2 ตัว แก่โรงเรียน 1 อำเภอ 1 ทุน นั้นได้ทำไปแล้วและทำต่อเนื่องจนเรียนจบ แล้วจะทำรุ่นที่สองสำหรับเด็กที่เรียนอยู่ชั้นม.6 ในปีนี้ เมื่อจบก็จะมีการสอบ 1 อำเภอ 1 ทุนต่อไป ส่วนเด็กที่ได้ทุนเรียงความ ได้ทุนข้าราชการ ลูกจ้างผู้มีรายได้น้อย ผู้ทำคุณประโยชน์ทั้งหลาย เช่น ชั้นประถม 6,000 ชั้นมัธยมศึกษา 10,000 ชั้นอุดมศึกษา 20,000 ก็จะได้ต่อไปถ้าหากยังอยู่ในระบบการศึกษาแล้วมีความประพฤติดี ซึ่งเป็นเงินประมาณ 6 พันล้านบาท และหากลูกหลานคนไหนมีความเดือนร้อน แล้วยังไม่ได้รับทุนก็ให้ทำขอมาที่กระทรวงศึกษาจะพิจารณาเพิ่มเติมให้อีก

นอกจากนี้ ครม.เพิ่งอนุมัติให้ คณะกรรมการกู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นองค์กรที่จะจัดการเรื่องกู้ยืมเงินการศึกษาโดยเชื่อมกับรายได้ในอนาคต หรือไอซีแอล อันนี้จะเริ่มปีการศึกษา 49 ก็เตรียมเงินไว้เพื่อการศึกษาของลูกหลาน

โครงการลดค่าใช้จ่ายอีกอันคือ โครงการตั้งหน่วยเคลื่อนที่ซ่อมเครื่องไม้เครื่องมือประจำบ้าน ประจำฟาร์ม ให้กับประชาชนทั่วไป โดยอาศัยนักเรียน นักศึกษา อาจารย์จากอาชีวะ ราชมงคลทั้งหลายออกฟิลด์วันหยุด ปิดเทอม หรือเสาร์อาทิตย์ เพื่อให้เด็กเหล่านี้มีงานทำ มีรายได้ช่วยพ่อแม่ และไปช่วยซ่อมพัดลม มอเตอร์ไซด์ หม้อหุงข้าว ที่เสียทั้งหลายให้ฟรีหมด นอกจากซ่อมให้แล้วของเก่าที่เสียก็เอากลับมาใช้งานใหม่ได้เป็นการลดต้นทุน และเอาสินทรัพย์ที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ต่อไปได้

ต่อไปก็จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน ตอนนี้กำลังเตรียมการ เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจที่แล้วเราปรับโครงสร้างหนี้ภาคธุรกิจแล้ว แต่ตอนเลือกตั้งเราบอกว่าคนละ 1 เสียงเท่ากัน ตอนนี้นักธุรกิจบางคนได้รับการปรับโครงสร้างหนี้หลายหมื่นล้านบาท ในขณะที่คนที่เราบอกถึงเวลา 1 เสียงเท่ากันนั้น เป็นหนี้ไม่กี่หมื่นบาท กำลังลำบากอยู่ วันนี้เราจะมีการปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชนในทุกกลุ่ม เกษตรกร ลูกจ้าง ข้าราชการ

ต่อไปจะมีการกระตุ้นการลงทุนต่อของภาคธุรกิจ คนที่เอาเงินไปปันผล เอาเงินมาขยายการลงทุนได้ไหม เราจะใช้สิทธิทางภาษีเพื่อเป็นการกระตุ้น

และจะมีการส่งเสริมให้มีบริษัทและรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนมากขึ้น เพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์มีเสถียรภาพมากขึ้น เป็นที่น่าสนใจมากขึ้น

นอกจากนั้นยังมีที่น่าจะทำ คือ เรื่องบ้าน บ้านเอื้ออาทรจะเร่งผลิตให้เร็วขึ้น บ้านมั่นคงทำมากขึ้น และอีกอันคือบ้านน็อกดาวน์ บ้านที่ประกอบเสร็จ 48 ชั่วโมง ถ้าหลังเล็ก 2 ห้องนอน ผ่อนวันละ 25 บาท หรือเดือนละ740 บาท12 ปีผ่อนหมด ถ้าหลังใหญ่ขึ้นมานิดผ่อนวันละ 30 บาทหรือเดือนละ 900 บาท 12 ปีหมด

ผมจะเริ่มต้นด้วยเศรษฐีปลูกบ้านให้คนจนอยู่ คล้ายๆ กรณีซึนามิ คนหนึ่งบริจาค 1 ล้านบาท สร้างบ้านให้คนอยู่ได้ 10 หลัง

ส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจ ฉะนั้นเข้าใจให้ดี จะมีการลงทุนเพื่ออนาคตทั้งรถไฟฟ้า น้ำ โรงพยาบาล สถานศึกษา จะลงทุน 3-4 ปีนี้ ทุกอย่างที่พูดมานี้จะเริ่มต้นในปีนี้ บางอย่างแล้วเสร็จ 3-4 ปี บางอย่างแล้วเสร็จภายในปีนี้ เพราะวันนี้ได้สั่งการให้เตรียมการหมดทุกอย่างแล้ว เงินจะเดิมสะพัด

เพราะฉะนั้น ขอเรียกร้องให้พี่น้องคนไทยทุกคนขอเชื่อมั่นในประเทศของตัวเอง ไม่ต้องรักผม ไม่ต้องชอบผม แต่ขอให้รักประเทศไทยของเรา แล้วเรามาช่วยกันสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง แล้วผมจะทำให้ดีที่สุด

ผมมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยพื้นฐานยังเข้มแข็ง วันนี้เราเพียงแต่หยอดน้ำมันไปอีกนิดเดียว วิ่งฉิว ขออย่างเดียวอย่าท้อถอย อย่าท้อแท้ อย่าท้อใจ นี่ผมพูดไปเตือนตัวเองด้วยนะ

เพราะฉะนั้นถ้าคนไทยทุกคน หนึ่ง ช่วยกันเอง ถึงเวลาเรามีน้ำใจต่อกัน สอง เรามีความเชื่อมั่นในประเทศของเรา สาม ปล่อยผม ผมทำเต็มที่ ผมไม่ขี้เกียจ ผมไม่ดูดาย ผมนั่งดูตัวเลขทุกตัว ต่อไป นี้ประเทศไทยจะใช้คำว่า attention economy คือการบริหารเศรษฐกิจทุกตัว แล้วไปหาประสิทธิ ภาพสูงสุดของมันในทุกๆ ด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าเรามีประสิทธิภาพสูงสุดในทุกๆ ด้าน

แน่นอน คนทำงานต้องมีข้อบกพร่องมีข้อตำหนิบ้าง

สุดท้ายก่อนจะจบ เรื่องท่องเที่ยว เป็นเรื่องสำคัญ เป็นหัวใจในการทำเงินให้ประเทศ เราจะเพิ่มงบประมาณในการโปรโมทการท่องเที่ยว จะกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะให้งบในการจัดสัมมนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคราชการ ไปแถวจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากซึนามิ เพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมา ก็จะทำให้การท่องเที่ยวเราฟื้น และจะเร่งเปิดสนามบินสุวรรณภูมิโดยเร็วที่สุด เพราะนั่นคือ แม่เหล็กก้อนใหญ่ในการจะดึงการท่องเที่ยวสู่ประเทศไทย

และสุดท้ายจะลงทุนเพื่อการศึกษาอย่างเต็มที่ เพื่อจะให้คนไทยเป็นคนไทยที่มีคุณภาพ พร้อมที่จะนำประเทศไทยเข้าสู่สังคมฐานความรู้ เป็นสังคมที่อาศัยเศรษฐกิจบนพื้นที่แห่งความรู้และปัญญา ก็ต้องพูดเป็นจรวด เนื่องจากเวลามีน้อย ขอขอบคุณผู้ฟังทางบ้าน และผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย ที่ได้มาร่วมกันทำบุญด้านการสร้างปัญญาให้กับสังคมไทย ผ่านมงฟอร์ตผ่านภาวะครบ 70 ปี ขอได้รับการขอบคุณจากศิษย์เก่ามงฟอร์ตคนนี้ด้วยครับ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net