"เกลือ ปลา นาข้าว คือรากเหง้าของชาวอีสาน" สามารถอธิบาย หรือบ่งบอกถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ความอุดมสมบูรณ์ สภาพภูมินิเวศ ฐานการผลิตของคนอีสานได้เป็นอย่างดี ที่ได้พึ่งพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ตามพื้นถิ่นแล้วมีการสั่งสม สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ขณะเดียวกันก็ยึดหลักการทำมาหากินที่พอเพียง ใครมีอะไรก็นำมาแลกเปลี่ยน จุนเจือซึ่งกันและกัน นำมาสู่สังคม
วัฒนธรรมของชาวอีสานจนถึงปัจจุบัน
แต่เดิมนั้น การทำเกลือของชาวอีสานมีกรรมวิธีที่มองดูเรียบง่ายแต่แฝงเร้นด้วยภูมิปัญญาของชุมชน โดยการขูดเอา "ดินเอียด" หรือคราบเกลือบนผิวดินมาผสมกับน้ำ ซึ่งจะมีบ่อพักเจาะรูใต้พื้นรางที่ทำจากไม้ไผ่เพื่อรองรับน้ำเกลือที่กลั่นเก็บไว้ในบ่อเล็กๆ ที่เตรียมไว้ จากนั้นก็เป็นการเคี่ยวจากบ่อน้ำเล็กที่เตรียมไว้ทำให้ตกตะกอน 2-3 วัน น้ำที่ได้จากการเคี่ยวเกลือนี้จะใสสะอาดจริงๆ เพราะทำการกลั่นแล้ว หลังจากนั้นก็นำไปต้มแล้วจึงได้เกลือมาเพื่อการบริโภคในครัวเรือน ปรุงอาหาร ทำปลาร้า ปลาแดก รวมทั้งเป็นสินค้าใช้แลกเปลี่ยนกับสินค้าในแต่ละท้องถิ่น เช่น เครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผา ข้าว ปลา เป็นต้น
ส่วนใหญ่จะมีการรวมกลุ่มญาติ พี่ น้อง ทำร่วมกันในเนื้อที่ของตนเอง ทั้งนี้ การทำเกลือ ต้มเกลือจะมีทำเฉพาะช่วงหน้าแล้งหลังเสร็จจากการเก็บเกี่ยว ไปจนถึงต้นฤดูฝน คือ ช่วงเดือนมกราคม-เดือนพฤษภาคม พอเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนก็ทำนา ปลูกข้าว หาปลา ดินเอียดก็จะถูกน้ำชะล้างค่อยหายไป ซึ่งเป็นวงจรของการดำรงอยู่ ทำมาหากินอย่างนี้เรื่อยมา ปัจจุบัน ยังสามารถพบเห็นการทำเกลือ
ต้มเกลือได้ในบางพื้นที่
นางจันทร์ บำรุงภักดี ชาวบ้านนาม่วง ต.นาม่วง กิ่งอ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี กล่าวว่า ตนไม่รู้ว่ามีการต้มเกลือมาตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่เพียงว่าพอเกิดมาก็เห็นพ่อ แม่ต้ม แล้วได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ ซึ่งถ้าคนไม่รู้จริง จะทำไม่เป็น หรือทำออกมาแล้วก็ได้เกลือไม่ดี เค็มไปบ้าง จืดไปบ้าง เมื่อนำไปมักปลาร้าเนื้อปลาก็จะเน่าเปื่อยเสียไป เป็นต้น
การต้มเกลือจะทำเฉพาะช่วงเสร็จจากการทำนาซึ่งเป็นช่วงหน้าแล้ง ที่มีดินเอียดขึ้นมาขาวโพลนเต็มไปหมด ทำร่วมกับญาติๆ ในที่นาของตนเอง ก่อนทำการต้มเกลือก็จะมีการทำพิธีกรรมเซ่นไหว้ ผีปู่ตาเสียก่อน ตามความเชื่อที่นับถือสืบต่อกันมา เกลือที่ได้ก็เก็บเอาไว้กินเป็นปีๆ หากมีชาวบ้านจากที่อื่นนำของมาแลก ไม่ว่าจะเป็น กระติบข้าว เสื่อกก ปลา ฯลฯ ก็จะแลกเขาไป ทั้งนี้
เป็นการลดค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวได้อีกทางหนึ่งด้วย
ในเวลาต่อมา ซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเกลือที่ซื้อตามท้องตลาดเพียงกิโลกรัมละไม่กี่สตางค์เพื่อนำมาบริโภคนั้น จะมีมูลค่ามหาศาลต่อภาคอุตสาหกรรม และมีนัยทางประวัติศาสตร์ ตำนานการต่อสู้ของกระบวนการภาคประชาชน
การต้ม-ตากเกลือเพื่ออุตสาหกรรม
ในปี 2514 เกิดน้ำท่วมใหญ่ในภาคกลาง ทำให้โกดังเก็บเกลือเสียหายหมด เกลือทะเลจึงมีราคาแพงขึ้น 10 เท่าจาก 100 บาท/ ตัน เป็น1,000 บาท/ตัน นายทุนเกลือทะเลจากอ่าวไทยจึงเริ่มมาผลิตเกลือในภาคอีสาน กรมทรัพยากรธรณี ได้ขุดเจาะหาน้ำบาดาลแต่ได้น้ำเกลือที่เค็มมาก โดยเฉพาะในเขตต้นน้ำเสียว อ.บรบือ จ.มหาสารคาม จึงมีการนำน้ำเกลือที่ได้มาต้มดูและได้เกลือคุณภาพดี จึงเริ่มขุดเจาะเอาน้ำเกลือมาต้มกันอย่างแพร่หลายก่อนจะเปลี่ยนเป็นการสูบน้ำเกลือขึ้นมาตากในนาเกลือเพื่อลดต้นทุน จนมีผู้ผลิตนับพันรายอยู่บริเวณหนองบ่อ ลุ่มน้ำเสียว เกิดปัญหาน้ำเค็มดินเค็ม สัตว์น้ำตาย ความอุดมสมบูรณ์ลดลง
ชาวบ้านออกมาเรียกร้องให้ยุติการทำนาเกลือเป็นผลให้รัฐบาล มีคำสั่งปิดกิจการผลิตเกลือสินเธาว์ในเขตลุ่มน้ำเสียวทั้งหมดในปี 2523 เป็นต้นมา แต่การทำเกลือที่น้ำเสียวหยุดไประยะหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้น ก็มีการลักลอบทำนาเกลืออีกรวมทั้งมีการขยายพื้นที่ทำนาเกลือไปยังจังหวัดอื่น ๆ ทำให้สภาพแวดล้อมตลอดลำน้ำเสียว ที่ไหลบรรจบแม่น้ำมูน กว่า 240 ก.ม. เสื่อมโทรมอย่างหนัก น้ำเค็มกว่าน้ำทะเลถึง 2 เท่า กุ้ง หอย ปู ปลาและสัตว์น้ำ วัวควายล้มตาย นาข้าวสองฝั่งลำน้ำเสียวเสียหายจากน้ำเค็ม ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน จึงรวมกลุ่มต่อต้านการทำนาเกลืออีกครั้ง
เรียกร้องให้ยุติการทำนาเกลือและฟื้นฟูลุ่มน้ำเสียวใหญ่โดยเร็วที่สุด จนมีคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 3/2532 ห้ามมิให้ทำนาเกลือในลุ่มน้ำเสียว แต่ยังคงมีการลักลอบทำนาเกลืออยู่อีก จนชาวบ้านต้องมาชุมนุมยืดเยื้อที่ จ.มหาสารคามแต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุม
ภายหลังจากเหตุการณ์นี้มีผลให้การลักลอบทำนาเกลือในพื้นที่น้ำเสียวหยุดไป แต่กลุ่มนายทุนเคลื่อนย้ายไปผลิตในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วอีสาน โดยมีการเสนอให้แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510
ให้ขุดเจาะน้ำเกลือใต้ดินทำเกลือได้ กฎหมายนี้บัญญัติขึ้นเพื่อรองรับเหมืองเกลือหินให้ถูกกฎหมาย เปิดให้ขอใบอนุญาตทำเกลือได้ง่าย ๆ แม้ว่าชาวบ้านจะรวมตัวกันเรียกร้องให้ยุติการทำเกลือทั่วอีสานแต่ก็ไม่เป็นผล
จนถึงปัจจุบันการทำเกลือโดยการสูบน้ำเกลือขึ้นมาต้มและตากได้กระจายไปทั่วภาคอีสาน
มีพื้นที่รวมกว่า 15,000 ไร่มีกำลังการผลิต 4 - 5 แสนตัน/ปี ทุกวันนี้กับระบบเศรษฐกิจทุนนิยม สังคมแห่งการบริโภค ทรัพยากรธรรมชาติต่างถูกผลาญไปเพื่อตอบสนองทุนอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
การผลิตเพื่อยังชีพได้ถูกทำลายโดยการผลิตเพื่อเข้าสู่ตลาดการแข่งขัน
"เกลือ" หรือ "ดินเอียด" ที่เคยเป็นฐานการผลิต และแหล่งรวมวัฒนธรรมของชุมชน ได้ก้าวเข้าไปสู่เหมืองแร่ขนาดใหญ่เหมืองละลายเกลือ (Solution Mining) เหมืองเกลือพิมาย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่ปี 2507 ดำเนินการผลิตโซดาไฟ กรดเกลือ คลอรีน และผลิตภัณฑ์เคมีอื่น ๆ ซึ่งเดิมใช้เกลือทะเลเป็นวัตถุดิบ
จนปลายปี 2515 เริ่มผลิตเกลือสินเธาว์มาใช้ โดยทำเหมืองละลายเกลือหิน ซึ่งเจาะลงไปจนถึงชั้นเกลือหินเพื่ออัดฉีดน้ำเพื่อละลายเกลือหินที่อยู่ใต้ดิน นำน้ำเกลือที่ได้มาตากในนา แต่ไม่พอต่อความต้องการ เพราะสามารถผลิตเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง บริษัทจึงเริ่มนำเทคโนโลยีสมัยใหม่จากยุโรป มาพัฒนาทำเหมืองละลายเกลือหิน (Solution Mining) โดยอัดน้ำจืดไปเพื่อละลายเกลือหินนำน้ำเกลือที่ได้จากการละลายเข้าสู่การแยกสิ่งเจือปนด้วยสารเคมีจนได้น้ำเกลือบริสุทธิ์ส่งไปเคี่ยวให้เดือดและระเหยไอน้ำออก ทำให้น้ำเกลือมีความเข้มข้นจนเกิดผลึกเป็นเม็ดเกลือ ผ่านไปสู่เครื่องสะบัดแห้งเป็นเม็ดเกลือมีความบริสุทธิ์ถึงร้อยละ 99.9 เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรม
เหมืองแร่โปแตชและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
คนไทยบริโภคเกลือประมาณ 27 กก./คน/ปี เป็นการบริโภคโดยกิน (รวมอาหารสัตว์ ประมาณ 7.5 กก./คน/ปี หรือร้อยละ 28 อีก 19.5 กก./คน/ปี เป็นการบริโภคผ่านอุตสาหกรรม ส่วนคนอเมริกันใช้เกลือสูงถึง 214 กก./คน/ปี การพัฒนาอุตสาหกรรมทำให้ความต้องการใช้เกลือในยุคนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีนโยบายแผนงาน และโครงการพัฒนาเกี่ยวกับเกลือเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเกลือ วางแผนทำเหมืองแร่โปแตช จังหวัดชัยภูมิ อุดรธานี สกลนคร ขอนแก่น มหาสารคาม 20 ปีมาแล้ว
ปัจจุบัน มีการทำแผนแม่บท "ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง" เชื่อมโยงกับการพัฒนาอุตสาหกรรมโปแตชและเกลือหิน โดยตั้งเป้าผลักดันโครงการเหมืองแร่โปแตช 3 แห่ง ที่อุดรธานีของบริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด จากประเทศแคนาดา โครงการเหมืองแร่โปแตชบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ ของบริษัทเหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด และโครงการเหมืองแร่โปแตช จ.สกลนคร ของบริษัทไชน่า หมิงต๋า โปแตช คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด จากประเทศจีน ภายในเวลา 3 ปี (พ.ศ. 2548 - 2550) เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและจำหน่ายปุ๋ยโปแตชและเกลือในภูมิภาคอาเซียน และส่งเสริมให้มีการผลิตและใช้เกลือที่ได้จากเหมืองละลายเกลือ (บริษัทเกลือพิมายฯ) และเกลือที่เป็นผลพลอยได้จากเหมืองแร่โปแตช ซึ่งจะทำการผลิตเกลืออย่างน้อย 7 - 10 ล้านตัน/ปี
การผลักดันเหมืองแร่โปแตชและการทำอุตสาหกรรมเกลือขนาดใหญ่จะทำให้การผลิตเกลือแบบต้มและตากให้หมดสิ้นไปเนื่องจากเป็นการใช้เทคโนโลยีราคาถูก มีผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เกลือจากการทำเหมืองแร่โปแตชจะเกินความต้องในประเทศถึง 3 - 5 เท่าตัว
ดังนั้นแผนส่งออกเกลือสู่ต่างประเทศและพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องโดยใช้เกลือและโปแตชจึงถูกกำหนดขึ้น ที่จ.อุดรธานีมีแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมเคมีโดยใช้แร่โปแตชและเกลือเป็นวัตถุดิบถูกผลักดันโดยนักธุรกิจที่ร่วมกันจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมโนนสูง อยู่ติดโรงงานโปแตชแหล่งอุดรใต้ โดยวางแผนก่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเคมี ซึ่งได้กำหนดผังเมืองให้พื้นที่ขอบเขตเหมืองแร่โปแตชอุดรธานี เป็นเขตพัฒนาอุตสาหกรรมของ จ.อุดรธานี และมีแผนผลักดันอุตสาหกรรมในภาคอีสานให้เชื่อมต่อกับประเทศลุ่มแม่น้ำโขง
ทั้งนี้ มีข้อเสนอการจัดการเกลืออีสาน จากงานศึกษาวิจัยการจัดการทรัพยากรเกลือในภาคอีสานของโครงการการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำร่างแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติโดยนายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ คณะผู้วิจัยฯ กล่าวว่า รัฐมุ่งโอบอุ้มการทำเหมืองเกลือและเกลือจากเหมืองแร่โปแตช แต่กลับละทิ้งผู้ประกอบการรายย่อย ที่ทำเกลือทะเล ทำเกลือตาก-ต้ม และเกลือพื้นบ้าน ไร้มาตรการรองรับ จึงขอเสนอแนะเพื่อแก้ปัญหา ดังนี้
1. ให้ยึดแนวทางการผลิตเกลือให้พอดีกับความต้องการใช้ภายในประเทศ เพราะประเทศไทยผลิตและใช้เกลือเฉลี่ยประมาณ 1.7 ล้านตัน/ปี จากเกลือทะเล เกลือพื้นบ้าน เกลือต้มและตาก และเกลือจากเหมืองเกลือพิมาย เป็นปริมาณเกลือที่พอดีกับความต้องการใช้ในประเทศ หากมีการผลิตเกลือจากการทำเหมืองแร่โปแตช จะมีเกลือมากถึง 7 - 10 ล้านตัน/ปี เกินความต้องการในประเทศ 3 - 5 เท่า ซึ่งจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการแพร่กระจายของเกลือ
2. ควบคุมผลกระทบจากการผลิตเกลือสินเธาว์โดยวิธีการต้มและตาก ต่อสิ่งแวดล้อมเป็นมิตรกับชุมชนท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อมให้ได้
3. สืบสานภูมิปัญญาการทำเกลือพื้นบ้านในชุมชน เพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหารและลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
4. เปลี่ยนทัศนคติการกิน "เกลือฟอกขาว" ให้มาบริโภคที่เกลือพื้นบ้าน เกลือทะเลที่มีแร่ธาตุจำเป็นต่อร่างกายเพื่อสุขภาพของประชาชน
ข้อเสนอดังกล่าวถือเป็นข้อเสนอเบื้องต้นเพื่อนำไปสู่กระบวนการสร้างนโยบายสาธารณะขึ้นมาเพื่อดูการผลิตและใช้เกลือทั้งระบบ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันของสังคมจนเกิดความเข้าใจและเห็นคุณค่า แผ่ขยายวงกว้างทุกกลุ่มคน สร้างการมีส่วนร่วมเพื่อเสนอประเด็นต่างๆ ของนโยบายจากทุกๆ ฝ่าย มีเวทีคิดร่วมกันว่าจะจัดการผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างไร หรือตั้งประเด็นคิดและศึกษาวิจัยร่วมกันว่าระหว่างการนำเกลือขึ้นมาให้พอดีกับความต้องการกับนำขึ้นมาจนล้นกับความต้องการอย่างไหนจะดีกว่ากัน ? โดยหวังว่ากระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะดังกล่าวจะสามารถชี้นำการเมืองและภาคราชการในการกำหนดนโยบายได้.
เดชา คำเป้าเมือง
สำนักข่าวประชาธรรม
แผนงานพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)