เมื่อเส้นแดนมิอาจแบ่งเส้นใจ
เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของประเด็นทางการเมือง ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนชีวิตของผู้คนในวันวานมากนัก หากแต่ได้ติดค้างและสำแดงเดชในปัจจุบัน อย่างที่ชีวิตเล็กๆ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะผู้คนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน ซึ่งไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นคนต่างด้าวที่แท้จริง เพราะในประวัติศาสตร์ พื้นที่นี้ก็เป็นดินแดนของประเทศไทย
ขณะที่ ชาวบ้านชุมชนทุ่งเศรษฐี ม.5 บ้านห้วยแห้ง ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ไร้รัฐที่เข้าข่ายอยู่บนพื้นที่สูงและเสี่ยงภัยต่อความตายหากส่งกลับประเทศพม่า ซึ่งจากการสำรวจโดยโครงการเด็กไร้รัฐ พบว่าทั้งชุมชนนี้มีตกสำรวจทั้งหมด 21 ครอบครัว มีจำนวนประชากร 73 คน
อ.วุฒิ บุญเลิศ ปราชญ์ชาวบ้าน ประธานประชาคม อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี กล่าวต่อคณะกรรมาธิการศึกษามาตรการในการแก้ไขปัญหาเด็กไร้สัญชาติ ในคณะกรรมาธิการกิจการสตรี เยาวชนและผู้สูงอายุ วุฒิสภา วันนี้ ว่า โดยสายสัมพันธ์คนไทยกับคนกลุ่มน้อยเหล่านี้มีการติดต่อกันอยู่แล้ว แต่บางองค์กรมักมองข้ามหรือใช้แผนที่เป็นตัวตั้ง ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ต้องการเป็นคนไทย เพียงแต่ต้องการความปลอดภัยเท่านั้น
นอกจากนี้ อ.วุฒิ ได้กล่าวไว้ในรายงานการวิจัยและพัฒนาในห้องทดลองทางสังคม เกี่ยวกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า ที่พวกเขาอยู่แต่เดิมเป็นดินแดนของประเทศไทย แต่ไทยได้เสียกินแดนส่วนนี้ให้แก่ประเทศพม่าตั้งแต่พ.ศ. 2367-2368 ในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยพื้นที่ดังกล่าวถูกระบุว่าเป็นของประเทศพม่า ในสนธิสัญญาปักปันเขตแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศอังกฤษ ซึ่งเข้ามาเป็นเจ้าอาณานิคมเหนือพม่า ในปีพ.ศ. 2400-2407
สำหรับในทางข้อเท็จจริง การที่ประเทศไทยเสียดินแดนมะริด ทะวาย และตะนาวศรีนั้น อ.วุฒิ กล่าวว่าเป็นเพียงเรื่องทางการเมืองเท่านั้น จึงไม่ได้กระทบถึงวิถีชีวิตทางวัฒนธรรมเดิมของชาวบ้านในเขตพื้นที่ดังกล่าว ดังนั้นความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างคนตามแนวชายแดนยังดำเนินต่อไป โดยไม่ได้เกิดความแปลกแยกทางวัฒนธรรมระหว่างกันแต่อย่างใด ซึ่งเด็กในพม่าก็เดินทางเข้ามาเรียนในประเทศไทยได้ตามปกติ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการสู้รบระหว่างรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อย จึงมีชาวบ้านทั้งในพม่าและชนกลุ่มน้อยได้เข้ามาหนีหลบภัยความตายในประเทศไทยมากขึ้น โดยตั้งแต่ปี 2528 คนเหล่านี้ได้เข้ามาประเทศไทยเรื่อยๆ บางส่วนออกทะเลไปแล้วไม่กลับเข้ามาอีกก็มี โดยเฉพาะในปี 2535-2536 ที่มีโครงการสร้างท่อก๊าซไทย-พม่า คนเหล่านี้ได้เข้ามาเป็นจำนวนมาก และ เกิดปัญหาชายแดนทะลักปี 2538
"ตอนนี้ยังไม่มีการสำรวจคนไร้สัญชาติเหล่านี้ ภายหลังได้หลุดเข้ามากับนายจ้างมากขึ้น ทหารก็บอกสั่งระงับไป และเมื่อพวกเขาจดทะเบียนเป็นแรงงานต่างด้าว มีบัตรสีแต่ทำให้ออกนอกพื้นที่ไม่ได้ สุดท้ายเมื่อในเขต อ.สวนผึ้งไม่มีงานทำ ปัญหาก็เกิดขึ้น การจดทะเบียนก็จะเสียค่าใช้จ่าย ทั้งยังมีปัญหาด้านความปลอดภัยอีกด้วย" อ.วุฒิ กล่าวทิ้งท้าย
กะเหรี่ยงตกสำรวจ
ในปี 2542 กรมการปกครองได้สำรวจจัดทำทะเบียนประวัติและบัตรสำรวจชุมชนบนพื้นที่สูงตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ เนื่องจากรัฐตระหนักดีว่า มีชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่มาแต่เดิมตามแนวชายแดนไทย-พม่าในบริเวณอ.สวนผึ้ง ก่อนที่จะมีเส้นเขตแดนระหว่างกันอยู่จำนวนมาก จึงได้ดำเนินการสำรวจตามแผนแม่บทดังกล่าว เพื่อให้ชาวบ้านที่ยังไม่มีเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลโดยรัฐใดในโลก หรือประสบปัญหาความไร้รัฐนั่นเอง
ทว่า หลังจากที่กรมการปกครองสำรวจเมื่อเดือน ก.ย. 2542 ชาวบ้านในชุมชนทุ่งเศรษฐี หมู่ที่ 5 บ้านห้วยแห้ง กลับพบว่าชุมชนของตนตกสำรวจในการจัดทำทะเบียนประวัติดังกล่าว เนื่องจากไม่มีการประชาสัมพันธ์ที่ดี อีกทั้งยังเปิดเวลาลงทะเบียนจริงเพียงครึ่งวันเท่านั้น ชาวบ้านเหล่านี้จึงตกสำรวจทั้งชุมชน
อย่างไรก็ตาม เมื่อ16 กันยายน 2545 ประธานประชาคมอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อขอความช่วยเหลือกรณีชาวบ้านดังกล่าว ตกสำรวจตั้งแต่ปี 2542 เพื่อขอให้แก้ไขปัญหาตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2545 ให้ดำเนินการสำรวจและจัดทำทะเบียนให้บุคคลบนพื้นที่สูงที่ตกสำรวจในช่วงที่ผ่านมา
แรงงานต่างด้าวจำเป็น
ทั้งนี้ หลังจากนั้นกลับไม่มีการดำเนินการใดๆ ในแก้ปัญหาคนไร้รัฐจากที่ตกหล่นจากทะเบียนราษฎร จนในที่สุดในเดือน ก.ค. 2547 ชาวบ้านได้ไปรับการสำรวจเป็นแรงงานสัญชาติพม่า ทั้งที่พวกเขาไม่ใช่แรงงานที่มีนายจ้างและไม่ใช่คนสัญชาติพม่าด้วย ทั้งยังไม่มีเอกสารรับรองตัวบุคคลใดๆ โดยเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนจากการไร้สถานะและสิทธิ ชาวบ้านจึงจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวดังกล่าว แทนที่จะต้องถูกผลักดันออกไปจากประเทศไทยและต้องเสี่ยงภัยกับความตายในประเทศพม่า
เมื่อชาวบ้านกลุ่มนี้ ได้รับคำแนะนำให้ไปขึ้นทะเบียนเป็นแรงงานต่างด้าว ทำให้ปัจจุบันชาวบ้านจึงมีรายชื่อในแบบรับรองรายการทะเบียนประวัติของคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ (ท.ร.38/1) และมีเลขประจำตัวคนต่างด้าว 13 หลักในฐานทะเบียนราษฎร ทั้งที่ไม่ได้มีสัญชาติพม่า โดยมีกำหนดระยะเวลา 1 ปี เท่านั้น และจะสิ้นสุดสถานะดังกล่าวในวันที่ 30 ส.ค. นี้
ทางออกที่ไร้ทางเลือก
ขณะที่ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านห้วยแห้งที่ไปจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่มีสัญชาติพม่า และไม่ได้เป็นชาวพม่าด้วยนั้น กำลังจะถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่เวลาได้มากำหนดสถานะของพวกเขาในเร็ววันนี้ ขณะที่ต้องเผชิญปัญหาอย่างอื่นอีกนานัปการ
สำหรับปัญหาในขณะนี้ ลูกจ้างเหล่านี้ทั้งที่มีรายได้เพียงพอและไม่เพียงพอที่จะชำระค่าขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว (1,900บาท) จึงอาจต้องถูกผลักดันออกนอกราชอาณาจักรภายหลังวันที่ 31 ส.ค. 2548 เนื่องจากยังไม่มีรัฐใดการันตีในตัวของพวกเขา
นอกจากนี้ ชาวบ้านก็ไม่อาจกลับไปอาศัยอยู่ที่ประเทศพม่าได้ในปัจจุบัน และบางส่วนมีครอบครัวที่ผูกพันอย่างเข้มข้นกับประเทศไทยและมีสิทธิขอสถานะอาศัยอยู่ถาวร โดยพวกเขาหวังว่าอาจจะขอสัญชาติไทยได้ ตามยุทธศาสตร์การขจัดปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ตามมติคณะรัฐมนตรี 18 ม.ค. 48
ขณะที่ "ยุทธศาสตร์กำหนดสถานะของบุคคลที่มีปัญหาในเรื่องสถานะและสิทธิ" ภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อ 12 ม.ค. 2548 และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อ 18 ม.ค. 2548 นั้น ได้กำหนดดำเนินการสำรวจบุคคลในเดือนก.ย.และต.ค. ปีนี้
โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะมีขึ้นเพื่อสำรวจและจัดทำทะเบียนประวัติบุคคลที่ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร เพื่อให้ทราบที่มาและสถานการณ์ดำรงอยู่ของคนกลุ่มนี้ อันจะนำไปสู่การพิจารณากำหนดสถานะที่เหมาะสม ทั้งนี้ ได้กำหนดกรอบการพิจารณากำหนดสถานะให้แก่บุคคลที่มีปัญหาในเรื่องสถานะและสิทธิดังนี้
1.กรณีบุคคลที่อพยพเข้ามาในประเทศ 2.กรณีเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาในประเทศไทย แต่ไม่มีสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมาย 3.กรณีบุคคลที่ไร้รากเหง้า 4.กรณีบุคคลที่มีคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ 5.กรณีแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ได้รับการจดทะเบียนแต่ไม่สามารถเดินทางกลับได้เนื่องจากประเทศต้นทางไม่ยอมรับ และ 6.กรณีคนต่างด้าวอื่นๆ ที่ไม่มีคุณสมบัติตามข้อ1.-5.และหรือไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทาง
อย่างไรก็ดี ชาวบ้านที่ห้วยแห้งเข้าข่ายในกรณีที่ 6 ซึ่งจะได้รับสิทธิอาศัยอยู่ชั่วคราวทั้งในส่วนที่ได้รับการจดทะเบียนไว้แล้วและที่จะมีการสำรวจจดทะเบียนเพิ่มเติม และต้องไม่มีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ทั้งยังกำหนดให้มีอนุกรรมการที่มาจากภาคราชการ วิชาการ และประชาชน พิจารณากำหนดแนวทางการให้สถานะที่เหมาะสมต่อไป
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สิ้นเดือนส.ค.นี้ พวกเขากำลังจะสิ้นสุดสถานะของแรงงานต่างด้าว แล้วรอให้ถูกผลักดันออกนอกประเทศไทย โดยที่แผนยุทธศาสตร์ที่จะมารองรับในเดือน ก.ย.- ต.ค.นี้ก็ยังไม่ใช่หลักประกันที่แน่นอนสำหรับชีวิตของพวกเขา แล้วช่วงเวลาระหว่างนี้ชาวห้วยแห้งจะอยู่อย่างไร
หรือจะรอให้สิ้นสิงหา คือวันชี้ชะตาของพวกเขา
หมายเหตุ
เรียบเรียงจากรายงานการวิจัยและพัฒนาในห้องทดลองทางสังคม ณ หมู่บ้านห้วยแห้ง ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เสนอต่ออนุกรรมาธิการศึกษามาตรการในการแก้ปัญหาเด็กไร้สัญชาติ ในคณะกรรมา ธิการกิจการสตรี เยาวชนและผู้สูงอายุ วุฒิสภา และติดตามคนไร้สัญชาติได้ที่ www.archanwell.org
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)