คณะกรรมาธิการภาคประชาชนตรวจสอบนโยบายความยากจนและสังคม ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2548 หลังการชุมนุมของสมัชชาคนจน ณ หน้ารัฐสภา ได้ร่วมกับนักวิชาการและพี่น้องคนจนตรวจสอบนโยบายประชานิยมของรัฐบาลผ่านการจัดเวทีสาธารณะ เมื่อวันที่ 25-26 สิงหาคม 2548 โดยมีข้อค้นพบดังนี้ |
ประชานิยมกับปัญหาฐานคิด "ความยากจน"
ฐานคิดเรื่องคนจนและความยากจนในการปฏิบัติการแก้ปัญหาความยากจน ประชานิยมรัฐบาลทักษิณมองปัญหาและสาเหตุความยากจนเป็นเพียงเรื่องรายได้ ด้วยการใช้เส้นความยากจน และเกณฑ์จปฐ. เป็นตัวชี้วัดความยากจน คนจนคือ คนที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อคนต่อปี (มีรายได้พอซื้ออาหารราวมื้อละ 18 บาทก็พ้นความยากจนแล้ว) เกณฑ์ความยากจนตามจปฐ.เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ปรากฏอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ของการบริหารจังหวัดแบบบูรณการ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญหาความยากจนจึงถูกลดทอนให้เหลือว่า เป็นปัญหาความบกพร่องของปัจเจกบุคคล กล่าวคือ ความยากจนเกิดจากการขาดความสามารถในการบริหารจัดการชีวิต ไม่รู้จักใช้จ่าย ดังนั้น มาตรการแก้ไขปัญหาจึงดำเนินการผ่านการรณรงค์และโฆษณาให้คนจนรู้จักทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ดังคำขวัญว่า "ถ้าเราสู้ เราจะไม่ยากจน" "ร่วมต่อสู้ความยากจน ชีวิตพ้นภัย"
คาราวานแก้จนของรัฐบาลที่กำลังระดมกันอยู่ในขณะนี้จึงปรากฏแต่กิจกรรมการอบรมให้ชาวบ้านลด-ละ-เลิกอบายมุข อบรมอาชีพ และอบรมการทำบัญชีครัวเรือน (กิจกรรมสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การฉายวีซีดีของนายกรัฐมนตรีสาธิตการแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นรายครัวเรือนเพื่อเป็นตัวอย่าง ณ บ้านตีนธาตุ ต.ป่าไหน่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2548)
งานวิจัยของ พฤกษ์ เถาถวิล อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ศึกษาภาพชีวิตของชาวบ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี และเสนอให้เห็นภาพว่า ชีวิตของคนจนไม่ใช่มีสาเหตุมาจากปัญหาท่าทีในชีวิต และความบกพร่องส่วนบุคคล การขาดความสามารถในการบริหารจัดการ
หากแต่เป็นปัญหาการตกอยู่ในโครงสร้างแบบเศรษฐกิจการตลาดซึ่งเกษตรกร คนจนถูกเอารัดเอาเปรียบ ในขณะที่ชีวิตการผลิตในฐานะเกษตรกรรายย่อยล่มสลาย ชีวิตการขายแรงงานในเมืองก็ไม่ได้รับค่าจ้างและสวัสดิการที่พึงควร เช่นเดียวกับบทเรียนความยากจนของพี่น้องสมัชชาคนจนสะท้อนจากเวทีสัมมนาให้เห็นว่า ความยากจนไม่ได้มีสาเหตุมาจากปัญหาเรื่องท่าทีต่อชีวิต และความบกพร่อง
รัฐบาลประกาศว่าคนจนจะหมดไปภายใน 6 ปี จึงเป็นสิ่งซึ่งเกิดขึ้นได้ค่อนข้างแน่ แต่ได้สร้างมายาคติเกี่ยวกับฐานคิดและตัวชี้วัดความยากจน ว่าใครคือคนจนด้วยความกลวงและความไม่เพียงพอ
มายาคติเรื่องเกณฑ์ชี้วัดความสำเร็จ
รัฐบาลพรรคไทยรักไทย "ตีปี้บ" โฆษณาว่า ประชานิยมประสบความสำเร็จในการสร้างความนิยมจากประชาชน สิ่งที่สังคมกับให้ความสนใจน้อยมากก็คือ การตั้งคำถามกับเกณฑ์ชี้วัดความสำเร็จ ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้
-การโฆษณาความสำเร็จโดยการสำรวจความพึงพอใจของประชาชน ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติที่มีการสำรวจทุกนโยบายประชานิยม งานวิจัยเชิงสำรวจความคิดเห็น(ซึ่งควรเป็นแบบฝึกหัดการเก็บข้อมูลสำหรับนักเรียนมัธยมฯ )เช่นนี้ เป็นเพียงความคิดเห็นว่าประชาชนชอบหรือไม่ ไม่ใช่เป็นการประเมินผลความสำเร็จ/ล้มเหลว แต่รัฐบาลมักนำมากล่าวอ้างว่าเป็นความสำเร็จ
-เกณฑ์และตัวชี้วัด ซึ่งมีการลดทอนและความกลวงดังนี้
นโยบายประชานิยม | ตัวชี้วัดความสำเร็จ | ความกลวง |
1.โครงการหนึ่งผลิตภัณฑ์ หนึ่งตำบล | -ยอดจำหน่ายสินค้า เพิ่มขึ้นจาก 243 ล้านบาท เป็น 50,000 ล้านบาท -ผู้รับประโยชน์จำนวน 3,600 ชุมชน -รายได้จากการจำหน่ายในจังหวัดเพิ่มขึ้นปีละ 5% | -การรวมยอดจำหน่ายสินค้าที่เกิดขึ้นก่อนโอทอป(ร้อยละ 86) และจดทะเบียนเข้ามาโดยไม่แยกแยะ -สินค้าส่วนใหญ่คือ SMEs ผู้รับประโยชน์คือลูกจ้างไม่กี่รายในหนึ่งตำบล -ไม่สนใจยอดจำหน่ายมาอย่างไร แต่ขอให้ยอดรวมเพิ่มขึ้น |
2.กองทุนหมู่บ้าน | -ผู้กู้สามารถคืนเงินกู้ได้ตามระยะเวลาไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95.5 | -ชาวบ้านคืนเงินกู้แบบผลัดผ้าขาวม้า -ไม่สนใจการกู้ยืมเพื่อไปใช้ในการผลิตหรือไม่ -ไม่สนใจคนจนในหมู่บ้านได้กู้หรือไม่ แต่ให้ความสำคัญกับผู้มีเครดิตในการคืนเงิน |
3. SML | -สามารถจัดประชาคมโดยมีประชาชนอายุ 15 ปี จำนวนร้อยละ 70 เข้าร่วมกำหนดกิจกรรม | -ไม่สนใจความยั่งยืนของประชาคม -ไม่สนใจประเภทกิจกรรม(เช่น บางหมู่บ้านใช้เงินไปซื้อโลงศพติดแอร์) |
4.คารานแก้จน | -วัดความสำเร็จโดยจำนวนครั้ง และความครอบคลุมพื้นที่ | -กิจกรรมสำคัญคือ บริการตัดผมฟรี อบรมการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย อบรมลด-ละ-เลิกอบายมุข |
5.การแก้ปัญหาหนี้สิน | -การจัดให้มีเวทีเจรจาระหว่างเจ้าหนี้-ลูกหนี้โดยการประสานงานของสำนักงานอำเภอ | -ไม่สนใจว่าการเจรจาจะเกิดผลในทิศทางอย่างใด |
6.การแก้ไขปัญหาคนจนให้หมดไปใน 6 ปี | -เกณฑ์จปฐ. คนจนคือผู้มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อคนต่อปี | -ลดทอนสาเหตุความยากจนเหลือเพียงมิติรายได้เพื่อการบริโภคที่จำเป็น |
ประชานิยมกับการแก้ไขปัญหาสมัชชาคนจน
ในขณะที่สมัชชาคนจนเป็นการ "จนอำนาจ จนโอกาส" ความยากจนเกิดจากปัญหาความไม่มั่นคงในฐานทรัพยากรดิน น้ำ ป่า พี่น้องในสมัชชาคนจนประสบกับปัญหาที่ดินทำกินในเขตป่า ปัญหาพื้นที่สาธารณะของชุมชนถูกแย่งชิงทำลาย
ประชานิยมที่มุ่งแก้ไขปัญหาโดยการหาแหล่งเงินทุนด้วยการพักชำระหนี้ และกองทุนหมู่บ้านภายใต้นโยบายประชานิยมจึงเป็นการแก้ปัญหาให้กับคนจนเพียงส่วนเสี้ยว และที่สำคัญ ปัญหาดังกล่าวนี้ถูกบดบังด้วยมาตรการแก้ปัญหาแบบลดทอน
นอกจากนี้ เราไม่เห็นการผลักดันกฎหมายลูกเพื่อให้อำนาจ ช่องทางและกลไกในการปกป้องฐานทรัพยากรของชุมชน การกระจายการถือครองที่ดินและทรัพยากรที่จะทำให้คนจนเข้าถึงทรัพยากร ในทางตรงกันข้าม นโยบายการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน เขตเศรษฐกิจพิเศษ หมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่ ฯลฯ กลับจะยิ่งทำให้ปัญหาเหล่านี้รุนแรงมากยิ่งขึ้น
ประชานิยมมีลักษณะปิดกั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาสังคม และกลุ่มพลังทางสังคมการเมืองที่อยู่นอกแถวและการจัดตั้งดังกรณีสมัชชาคนจน
นิทานการเมืองเรื่องประชานิยม
ประชานิยมมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองโดยอาศัยการสร้างลัทธิชาตินิยมผ่านการรณรงค์สร้าง "ความเป็นสุดยอด" และ "เป็นหนึ่ง" (เช่น สุดยอดสินค้า สุดยอดนักเรียน ฯลฯ) การระดมผู้คนและมวลชนเพื่อเข้าร่วมโครงการรัฐ เช่น การระดมผู้คนให้มาร่วมออกกำลังกาย ฯลฯ) เราจึงเห็นการสร้างชาตินิยมแบบฉาบฉวยผ่านการโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางภายใต้รัฐบาลประชานิยม
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)