คำแถลงถึงรัฐบาลและปวงชนชาวไทย
สภาประชาชนท้องถิ่นผู้ใช้น้ำอย่างยั่งยืน
นับจากที่เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำจืดในเขตภาคตะวันออก ซึ่งเป็นเขตพื้นที่พิเศษภายใต้แผนพัฒนาอุตสาหกรรมตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดแคลนน้ำใน "จังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง" ในช่วงปีนี้
สิ่งที่พบเห็นและเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงในกระบวนการแก้ไขปัญหาวิกฤตครั้งนี้ คือ การกำหนดนโยบายและการวางแผนเพื่อแก้ไขปัญหาของคณะรัฐบาล โดยเฉพาะจากตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ความผิดพลาดนี้เป็นเพราะเหตุผลสำคัญ 2 ประการ คือ
1. รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาและระดมสรรพกำลังที่มีเข้ามาทำงาน เพราะกลัวเสียภาพพจน์และบรรยากาศการลงทุนเป็นสำคัญ โดยเฉพาะกับนักลงทุนข้ามชาติ ที่รัฐบาลได้ใช้ความพยายามต่าง ๆ ทั้งในทางนโยบายและความสัมพันธ์ส่วนตัว เชิญชวนให้คนเหล่านี้เข้ามาลงทุนและแสวงประโยชน์ในประเทศไทย โดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทยทั้งในภาวะปัจจุบันและในระยะยาว
2. คณะรัฐบาลล้วนประกอบไปด้วยนักธุรกิจการเมือง นักการอุตสาหกรรม นักการเงิน และอื่น ๆ ที่เข้าใจเพียงผลประโยชน์ของการลงทุน การทำธุรกิจการค้า จะเห็นได้ว่า ในคณะบุคคลที่บริหารอยู่ในรัฐบาล ไม่มีผู้ทรงคุณธรรมและจริยธรรมทางสังคมที่จะทำให้เกิดความสมดุลและมีความเป็นธรรมในการดำเนินนโยบายและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ รัฐจึงมองไม่เห็นและไม่เข้าใจถึงความเดือดร้อนของผู้คนกลุ่มอื่น ๆ
ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นถูกทำให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่า
-รัฐบาลเลือกใช้วิธีการให้ข้อมูลที่เป็นเท็จแทนการให้ข้อมูลที่เป็นจริงต่อสาธารณะมาตั้งแต่เริ่มต้น สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้รัฐแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง ยังทำให้สาธารณชนเข้าใจปัญหาคลาดเคลื่อนจากสาเหตุที่แท้จริง และมองว่าการคัดค้านของชาวบ้านในภาคตะวันออกไม่มีเหตุผล ไม่เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติ
-รัฐบาลเลือกใช้วิธีการแสดงอำนาจสยบการคัดค้านเคลื่อนไหวของประชาชนท้องถิ่นมาตั้งแต่ เริ่มต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งทหารเข้าไปทำงานมวลชนสัมพันธ์และการก่อสร้างเร่งด่วน วิธีการนี้รบกวนวิถีชีวิตประชาชนถึงในบ้าน และยังเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนที่รุนแรงขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่า รัฐบาลกำลังหลงอยู่ในอำนาจของตน ขาดหลักคุณธรรมของผู้บริหารประเทศที่ควรต้องให้ความสำคัญกับประชาชนทุกฝ่าย โดยเฉพาะชุมชนเกษตรกรรม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่หล่อเลี้ยงคนทั้งประเทศ
สภาพปัญหาและสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น ทำให้ประชาชนในหลายพื้นที่ของภาคตะวันออกและชุมชนท้องถิ่นที่ประสบปัญหาเดียวกัน จำเป็นต้องพึ่งตนเองและรวมตัวกันเป็น "สภาประชาชนท้องถิ่นผู้ใช้น้ำอย่างยั่งยืน" เพื่อช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่นที่กำลังประสบปัญหาความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นและเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนรวม ตามนโยบาย เจตนารมณ์ และอุดมการณ์ 4 ประการ คือ
1. ผลักดันให้ การกำหนดกระบวนการแก้ไขปัญหาการใช้ทรัพยากรน้ำตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลหลายมิติที่เป็นจริง บนฐานของการยอมรับสิทธิชุมชนผู้อยู่ก่อนต่อการตัดสินใจเลือกทางออกการพัฒนาที่ยั่งยืน และการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ของทรัพยากรประจำท้องถิ่น
2. ผลักดันให้ การกำหนดนโยบายและแผนการพัฒนา โดยเฉพาะโครงการใหญ่ ๆ ต้องคำนึงถึงความสมดุลกับศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติและผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง โดยผ่านกระบวนการพิจารณาร่วมระหว่างผู้ต้องการเข้ามาในท้องถิ่น กับประชาชนผู้อยู่ก่อน (ที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ กึ่งรัฐ และนักการเมืองท้องถิ่น)
3. ผลักดันให้ การดำเนินโครงการใด ๆ ต้องไม่มีผลกระทบอย่างรุนแรงและอย่างเฉียบพลันต่อระบบนิเวศของชุมชนท้องถิ่นนั้น ๆ ทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงระบบสังคม วัฒนธรรม และประเพณีของชุมชน
4. ผลักดันให้ มีการเปิดเผยและเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นจริงต่อสาธารณะในระดับประเทศ ในทุกกรณีปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาและในทุกขั้นตอน และร่วมรณรงค์ให้ยกเลิกระบบวิธีการแก้ปัญหาด้วยการโกหกสาธารณะ ให้เป็นวิถีวัฒนธรรมใหม่ของสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบการบริหารราชการแผ่นดินและการดำเนินการทางการเมือง
ในครั้งนี้ สภาประชาชนท้องถิ่นผู้ใช้น้ำอย่างยั่งยืน ขอยื่นข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลต่อปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นคือ
1. ขอให้มีการตั้งคณะกรรมการที่มีความเป็นอิสระและเป็นกลางเพื่อดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิของประชาชนผู้ใช้น้ำในภาคตะวันออกที่กำลังเกิดขึ้นในหลายลักษณะและในหลายจังหวัดโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหารุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จากผลกระทบเรื่องการใช้น้ำที่ไม่เป็นธรรม ปัญหาที่เกิดขึ้นกับแหล่งน้ำ และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายในช่วงที่ผ่านมาของรัฐบาล และขอให้เปิดเผยผลการตรวจสอบต่อสาธารณะ
2. ขอให้รัฐบาลหยุดทุกโครงการที่จะผันน้ำออกไปจากแหล่งน้ำธรรมชาติและที่จัดสร้างขึ้นอิงธรรมชาติของชุมชน รวมถึงการหยุดการสร้างเสริมสิ่งกีดขวางทางน้ำทุกประเภท
3. ขอให้รัฐบาลยอมรับข้อเสนอของภาคอุตสาหกรรมที่เสนอไว้ตั้งแต่ต้นว่า จะหยุดตัวเองและลดการผลิตของโรงงานลง เพราะเวลานี้ ภาคส่วนอื่น ๆ ได้หยุดตัวเองในการใช้น้ำไปหลายเดือนแล้ว เช่น ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนผลไม้ คงเหลือแต่การใช้น้ำอุปโภค บริโภคครัวเรือน และการบริการ ที่จำเป็นกับคนทุกคนไม่ใช่เฉพาะกลุ่ม จึงเป็นความชอบธรรมที่ทุกภาคส่วนต้องหยุดตัวเองเพื่อรอให้ปริมาณน้ำคืนเข้าสู่ภาวะปกติ หรือสามารถใช้น้ำในพื้นที่เพื่อดำเนินกิจกรรมของตนเอง โดยไม่ส่งผลกระทบในระดับท้องถิ่นและภูมิภาค
นาย
ตัวแทนสภาประชาชนท้องถิ่นผู้ใช้น้ำอย่างยั่งยืน
เวทีสัมมนา "วิกฤตและทางออกการจัดการน้ำภาคตะวันออก : กรณีศึกษาจังหวัดระยอง
7 กันยายน 2548