ชาวอุบลประท้วงเวนคืนที่ทำถนน

ประชาไท—10 พ.ย. 2548 ศูนย์ข่าวประชาสังคม จ.อุบลราชธานี-- ชาวชุมชนวัดท่าวังหิน เบญจะมะ 3 ปากมูลน้อย ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัด เหตุได้รับความเดือดร้อนจากการเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างถนน 2 สาย แกนนำระบุถูกขู่อย่าออกจากบ้าน เผยถนนเอื้อโรงแรม 5 ดาว ส.ส.เจ้าของโครงการลั่นต้องสร้างอย่าขัดขวางการพัฒนาบ้านเมือง


 

ประชาชนกว่า 100 คนจาก ชุมชนวัดท่าวังหิน เบญจะมะ 3 ปากมูลน้อย เข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับ นายกฤษเพชร ศรีปาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กรณีกระทรวงคมนาคม ตราพระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินในที่จะเวนคืน ในท้องที่ อ.เมืองอุบลราชธานี และ อ.วารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ลงวันที่ 15 กันยายน 2548 เพื่อก่อสร้างถนนตามผังเมืองรวม เมืองอุบลราชธานี

 

นางฉวีวรรณ รามสันเที๊ยะ ประธานชุมชนท่าวังหิน เปิดเผยว่า ประชาชนไม่เคยทราบมาก่อนว่าจะมีการก่อสร้างถนนสายใหม่นี้ ประกอบกับในระหว่างที่มีการวางผังเมือง ไม่มีการประกาศให้ประชาชนได้รับทราบ หรือแสดงข้อคิดเห็น ความต้องการหรือข้อโต้แย้งใดๆ เมื่อมีการจัดทำผังเมืองรวมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการนำผังเมืองไปปิดประกาศในบริเวณพื้นที่ที่จะดำเนินการ ให้ประชาชนได้รับทราบล่วงหน้าก่อน รวมทั้งเขตพื้นที่ที่พระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตเวนคืนนั้น เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนที่อยู่กันอย่างหนาแน่น โดยมีระยะเวลาการเข้ามาบุกเบิกไม่ต่ำกว่า 90 -100 ปี ซึ่งราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนในครั้งนี้ มีประมาณ 800 ครัวเรือน

 

นอกจากนี้ในเขตพื้นที่ของชุมชนมีโรงเรียนอยู่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นที่ศึกษาเล่าเรียนของบุตรหลาน คือ โรงเรียนวัดท่าวังหิน โรงเรียนสามัคคีวิทยาคาร โรงเรียนเบญจะมะมหาราช มีวัดท่าวังหิน และวัดกุดคูณ มีตลาดของชุมชน ที่เป็นแหล่งค้าขาย ประกอบกับอาชีพเลี้ยงครอบครัว และชุมชนใกล้เคียง

 

นางฉวีวรรณกล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ยังมีถนนเดิมที่สะดวกอยู่แล้ว นั่นคือ ถนนพโลชัย จากอุบลพลาซ่า ถึง สำนักงานประกันสังคม ถนนนิคมสายกลาง จากแยกร้านสันติโภชนา ถึงวัดท่าวังหิน ถนนสรรพสิทธ์ จากแยกไฟแดงหน้าโรงเรียนสามัคคี ถึงแยกไฟแดงตัดกับสะพานข้ามมูลน้อย ถนนสรรพสิทธิ์ ซอย 11 ซึ่งถนนทั้งหมดนี้สามารถสัญจรไปมาเชื่อมต่อระหว่างชุมชนได้ดีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทำถนนสายนี้ขึ้นใหม่ ไม่ทราบว่าเพื่อประโยชน์อะไร ซึ่งมันสร้างความเดือดร้อนให้ราษฎรมากกว่า หากสร้างอีกเราคงจะไม่มีที่อยู่ ในระหว่างที่รอรับฟังเรื่องจากราชการ นั้น เราคงไม่หยุดอยู่แค่ตรงนี้ จะพยายามเคลื่อนชุมชนเพื่อให้รัฐยกเลิกการก่อสร้าง ถนนเส้นนี้ให้ได้

 

ด้านนายบรรพต มั่นจิตร ประธาน อสม.ชุมชนเบญจะมะ 3 กล่าวว่า ตนไม่เคยได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนมาก่อน และได้รู้เมื่อมีขึ้นป้ายก่อสร้างถนนเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2548 ที่ผ่านมา ตนจึงกระจายข่าวให้สมาชิกได้รับทราบ ถึงความเดือดร้อน จึงได้มาเข้าพบกับผู้เกี่ยวข้องในวันนี้ ที่ของตนในบริเวณตลาดหากสร้างจริงจะเหลือไม่กี่ตารางวา ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร

 

นายบรรพตระบุว่าก่อนหน้านี้เคยมีนักการเมืองรายหนึ่งบอกกับชาวบ้านว่าจะจัดที่รองรับไว้ให้อยู่ที่ อ.นาจะหรวย อ.น้ำยืน อ.บุณฑริก แต่จะให้ชาวบ้านเข้าไปอยู่คงเป็นไปได้ยาก เพราะชาวบ้านอยู่ที่นี่และมีความผูกพันกับสถานที่มานับร้อยปีแล้ว รวมทั้งไม่มีความชัดเจนด้วยว่าจะมีการเวนคืนเท่าไหร่กันแน่ ทำให้ประชาชนสับสนกันมาก ถนนเส้นนี้คงจะอันตรายมาก หากต่อไปในอนาคตมีรถบรรทุกวิ่งผ่านไปมา ซึ่งอันตรายต่อบุตรหลานบริเวณนี้มาก ตนเองขอย้ำว่า ตรงที่อยู่ปัจจุบันเป็นซอยไม่ใช่ถนนสายหลัก ไม่สมควรที่จะมาขยายเลย ซึ่งตรงกันข้ามจากที่ชาวบ้านเคยรับทราบว่าจะมีถนนเลียบลำน้ำมูล แล้วไปขึ้นที่บุ่งกาแซว เมื่อมาก่อสร้างในเขตชุมชนเช่นนี้เท่ากับว่าไม่ให้เกียรติประชาชน

 

ด้านนางเบญจวรรณ บุญสว่าง ชาวบ้านจากชุมชนมูลน้อย กล่าวว่า รู้สึกตกใจมากเมื่อได้ทราบว่ามีการสำรวจทรัพย์สินเพื่อการเวนคืนที่ดิน เนื่องจากเพิ่งซื้อบ้านในบริเวณดังกล่าว ไปในราคา 2 ล้าน 5 แสนบาท ซึ่งต้องหาเงินมาทั้งชีวิต และตั้งใจเอาไว้ว่า เมื่อสามีเกษียณอายุราชการแล้วจะมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นตนเองจึงไม่ยอมและอยากให้รัฐทบทวนใหม่อีกครั้ง

 

นายสมานศิลป์ ทวีวุฒิ นายช่างโยธา กล่าวว่า จะรับเรื่องจากชาวบ้านทั้งหมดไปเสนอเพื่อขอทราบรายละเอียดจากกรมฯอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้รับทราบว่าเขตถนนที่แท้จริงอยู่ตรงไหนบ้าง ระยะที่จะเวนคืนมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งตนเข้าใจว่าบางที่มีการปักเขตไว้แล้ว และคาดว่าบริเวณดังกล่าวจะเวนคืนเข้าไปประมาณ 18 เมตร แต่ที่อื่นๆ ขอทรายละเอียดอีกครั้ง

 

นายบรรพต มั่นจิตร ประธาน อสม.ชุมชนเบญจะมะ 3 กล่าวว่า จากที่ทราบข่าวเรื่องจะมีการเวนคืนที่ดินของราษฎรชาวชุมชนของตนเพื่อก่อสร้างถนนนั้น ชาวบ้านได้ตื่นตัวเพื่อออกมาเรียกร้องสิทธิของตนเอง และมีการเคลื่อนไหวกันอยู่ตลอด หากพูดถึงกรณีการเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวนี้ ชาวบ้านได้ยื่นขอครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน จากที่ดินจังหวัด ซึ่งได้รับ สค.1 เรียบร้อยแล้ว

 

นายบรรพตกล่าวด้วยว่าล่าสุดสุดตนได้รับโทรศัพท์ลึกลับ โทรเข้าเครื่องมือมือของตน เป็นเสียงของผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งมีข้อความว่า ไม่อยากให้ตนเองออกจากบ้านตอนในเย็นนี้ เพื่อความปลอดภัย และเมื่อตนถามไปว่าเป็นใครแต่ได้รับคำตอบว่าไม่จำเป็นต้องรู้จัก โดยนายบรรพตระบุว่าเสียงดังกล่าวไม่คุ้นหูมาก่อน

 

ทั้งนี้ข้อมูลจากแหล่งข่าวคนหนึ่งในชุมชนกล่าวว่า การก่อสร้างถนนดังกล่าวอาจเป็นเพราะภาครัฐเอื้อให้กับนายทุนที่มีที่ดินโดยที่ดินดังกล่าวมีโฉนดถูกต้องติดกับบริเวณที่มีถนนตัดผ่าน ซึ่งคาดว่าจะมีการก่อสร้างโรงแรมระดับ 5 ดาวในระยะอันใกล้นี้

 

อนึ่งโครงการดังกล่าวเป็นโครงการก่อสร้างถนน 2 สายด้วยกันคือ สาย ข 5 เริ่มจาก ถนนเลี่ยงเมืองบ้านท่าบ่อ ผ่านห้วยม่วง แยกประปาส่วนภูมิภาค ตัดผ่านชุมชนวัดท่าวังหิน สิ้นสุดที่สี่แยกสำนักงานประกันสังคม ซึ่งถนนมีขนาดกว้าง 18-20 เมตร ระหว่างผ่านชุมชนวัดท่าวังหิน จากสี่แยกประปาส่วนภูมิภาค ถึง สี่แยกสำนักงานประกันสังคม จะก่อสร้างเป็นถนน 4 เลน กว้างเลนละ 3.50 เมตร รวมทั้งระหว่างแยกตลาดวัดท่าวังหิน จะมีรัศมีให้เลี้ยวซึ่งวัดจากจุดกึ่งกลางประมาณ 20 เมตร

 

และถนนสาย ง ผ่านจากหมู่บ้านเสาวลักษณ์ ไปตามเลียบแม่น้ำมูลน้อย ไปจรดกับถนนเลี่ยงเมือง ฝั่ง อ.วารินชำราบ ซึ่งมีความกว้างของถนน 10 เมตร ยกสูงขึ้นจากพื้นเดิม 6 เมตร ระหว่างที่ข้ามแม่น้ำมูลจะมีสะพานที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ 2 แห่ง โดยมีความยาวของสะพาน 520 เมตร และ 90 เมตร ซึ่งทั้งสองสายมีระยะความยาวรวมกันทั้งสิ้น 7.299 กม.

 

ด้านนายกฤษเพชร ศรีปาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่เจ้าหน้าที่กำลังสำรวจพื้นที่และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวณคืน และราษฎรที่มาวันนี้ไม่เห็นด้วยกับการสร้างถนนของ โครงการดังกล่าว ซึ่งตนคิดว่าภาครัฐก็หวังดีในการที่จะทำให้บ้านเมืองเจริญ แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปทำความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน ซึ่งได้รับเรื่องจากชาวบ้านไว้เรียบร้อยเพื่อนำปรึกษากับส่วนกลาง คาดว่า 15 วันคงจะรู้ผลความคืบหน้า

 

อย่างไรก็ตามนายเกรียง กัลป์ตินันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า ถนนเส้นนี้ตนผลักดันมาด้วยความยากลำบากหลายปี กว่าจะได้มา บ้านเมืองต้องพัฒนาทำเพื่อรองรับอนาคต จะมีคนถูกเวนคืนก็ต้องเสียสละเพื่อบ้านเมืองบ้าง อย่าไปเชื่อคนยุยงปลุกปั่นว่าจะช่วยเหลือได้เพราะออกเป็นพระราชกฤษฎีกาแล้ว ผ่านกระบวนการทุกอย่างสอบถามประชาชน ไม่มีคนคัดค้าน มาถึงขั้นนี้ทำไมเพิ่งตื่น การขัดขวางจะทำให้การดำเนินการช้าไป แต่ในที่สุดก็ต้องทำอยู่ดี

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท