แม้การประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ณ เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ได้ปิดม่านจบลงไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา แต่คำยืนยันถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าเสรีของประเทศสมาชิกเอเปคจากการประชุมครั้งนี้กำลังจะเริ่มขึ้น
เรื่องสำคัญที่หลายฝ่ายแม้แต่ประเทศนอกกลุ่มเอเปก ให้ความสนใจ ย่อมหนีไม่พ้นทิศทางการผลักดันของประเทศสมาชิกในกลุ่มต่างๆ ต่อความคืบหน้าในการประชุมระดับรัฐมนตรี ในการเจรจาการค้าแบบพหุภาคีรอบโดฮาขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นอีกครั้งในวันที่ 13-18 ธ.ค. 2548 นี้
ถ้อยคำที่ถูกระบุลงไปใน 'ปฏิญญาปูซาน' หลังเสร็จสิ้นการประชุมเอเปก ณ เมืองชายทะเลฝั่งตะวันออกของเกาหลีใต้ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความเป็นไปหลายด้านในความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ และไม่ใช่เฉพาะแต่ความร่วมมือในเขตเอเชีย-แปซิฟิกเท่านั้น แต่ผลจากความร่วมมือที่สำคัญของการประชุมครั้งนี้ ยังมีวัตถุประสงค์หนึ่งนอกจากการต่อสู้กับไข้หวัดนก การต่อต้านการก่อการร้าย คือ การร่วมกันผลักดันให้บรรลุผลการเจรจาการค้ารอบโดฮา ที่ค้างคามาตั้งแต่ปี 2544
ในปฏิญญาปูซานซึ่งผู้นำทั้ง 21 ประเทศสมาชิกเอเปกลงนามรับรองแล้ว ได้ระบุถึงความสำคัญของการเจรจา WTO ที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้าที่ฮ่องกงว่า "ถึงเวลาแล้วที่ความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อให้เกิดความสำเร็จต่อการบรรลุผลของการเจรจารอบโดฮาต้องถึงบทสรุปภายในสิ้นปี 2549"
เนื่องจากการรอบโดฮานั้นมีความสำคัญต่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของกลุ่มเอเปก ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือที่มีตัวแทนในเวทีการค้าโลกกว่า 50% และเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญต่อการเติบโตและการพัฒนาในระดับนานาชาติ เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่มีสัดส่วนจีดีพีกว่า 60% ของโลก
แน่นอนว่า ผลที่เกิดขึ้นหลังการเจรจารอบโดฮาเสร็จสิ้น ย่อมสะท้อนมาจากความต้องการของประเทศพัฒนาแล้วและต้องมีประเทศกำลังพัฒนาร่วมอยู่ในหลักการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการเจรจาด้วย
อย่างไรก็ตามการประชุมเอเปกที่เพิ่งผ่านพ้นไป ก็ถูกมองด้วยสายตาดูแคลนในหลายประเด็นทั้งจากนักวิเคราะห์และสื่อมวลชนหลายสำนัก เช่นหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ ยังแสดงความเห็นกับผลการประชุมเอเปกว่า "ผู้นำทั้ง 21 ประเทศรังสรรค์ถ้อยคำในแถลงการณ์ที่คลุมเครือ และเบากว่าสิ่งที่สหรัฐ ออสเตรเลีย และแคนาดาต้องการเสียด้วยซ้ำ"
บทวิเคราะห์นี้อ้างถึงข่าวที่ระบุว่า สหรัฐ ออสเตรเลียและแคนาดา ต้องการให้มีถ้อยคำที่ระบุถึงอียูอย่างชัดเจนลงไปในแถลงการณ์ของที่ประชุมระดับผู้นำเอเปกว่า อียูคืออุปสรรคสำคัญต่อความก้าวหน้า อันจะนำไปสู่การบรรลุผลการเจรจาการค้าทวิภาคีรอบโดฮา เนื่องจากอียูปฏิเสธการตัดกำแพงภาษีและการลดการอุดหนุนสินค้าเกษตรกรรมมาตลอด
แต่ข้อเรียกร้องของทั้ง 3 ประเทศ กลับถูกคัดค้านจากผู้นำอีก 18 ประเทศสมาชิกเอเปกในระดับทางการ ขณะที่นอกห้องประชุมประธานาธิบดีวิเซนเต ฟอกซ์ แห่งเม็กซิโก ยังให้ความเห็นถึงอียูกับผู้สื่อข่าวว่า "ตอนนี้ถึงเวลาที่ยุโรปต้องทบทวนตัวเองและถอนตัวได้แล้ว" และไม่รีรอที่จะพุ่งเป้าไปที่สเปนและฝรั่งเศส ในฐานะประเทศที่มีฐานเสียงทางการเมืองพึงพิงอยู่กับภาคการเกษตร
ทั้งนี้ ความคิดของประธานาธิบดีวิเซนเตยังสอดคล้องกับความเห็นของนาย
ดังนั้น ระยะเวลาอีก 2-3 สัปดาห์ก่อนการเจรจารอบโดฮาครั้งที่ 6 จะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ สหภาพยูโรปย่อมตกเป็นเป้านิ่งของการกดดันจากหลายประเทศ ในฐานะผู้แข็งข้อเพื่อยืนยันรักษาตลาดและผลประโยชน์ด้านการค้าการเกษตรภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม เมื่อการค้าเสรีเดินทางมาเคาะประตูบ้าน หลายประเทศย่อมต้องเปิดประตูต้อนรับแม้จะโดยเต็มใจหรือไม่ก็ตาม แม้แต่อียูก็มิอาจจะอยู่นิ่งและวางเฉยต่อไปได้ ดังนั้นเมื่อวันที่ 21-22 พ.ย. กรรมาธิการสหภาพยุโรปจึงจัดการหารือ 2 นัดสำคัญ
นัดแรกเกิดขึ้นในวันจันทร์ที่ 21 โดยรัฐมนตรีการค้าของอียูจัดการประชุมร่วมกับตัวแทนสมาชิก 25 ประเทศถึงความจำเป็นที่จะต้องตัดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคทางการค้าด้านเกษตรกรรมในกลุ่มสมาชิกอียู ออกไปอีกหลายข้อ ทั้งที่ก่อนหน้านี้อียูได้ลดอุปสรรคทางการค้าในสินค้าประเภทนี้ไปแล้ว 46% แต่ยังไม่เพียงพอและยังห่างไกลจากข้อตกลงในกรอบการค้า WTO
อย่างไรก็ตาม ท่าทีแข็งขืนของฝรั่งเศสในเรื่องการลดอุปสรรคทางการค้าและการลดการอุดหนุนการเกษตร ยังคงดำเนินอยู่อย่างไม่ลดละ
รายงานข่าวจากสำนักข่าวเอพีในบรัสเซลส์ระบุถึง วิวาทะระหว่างนาย ฟิลิปเป ดูสต์-บลาซี รมต.ต่างประเทศฝรั่งเศสกับนาย
ส่วนการประชุมของอียูอีกนัด เริ่มต้นในวันอังคารที่ 22 เป็นการประชุมเพื่อปฏิรูปการค้าน้ำตาล ซึ่งอียูถูกเรียกร้องให้ปรับปรุงกฎระเบียบทางการค้าจากสมาชิก WTO มาตลอด โดยอียูมีแผนจะตัดการรับประกันราคาน้ำตาลไม่ให้เกิน 39% ไปตลอด 2 ปีนับตั้งแต่ปี 2550 และยินดีจ่ายเงินชดเชยแก่ผู้ผลิตน้ำตาลที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิรูปด้วย
อย่างไรก็ตาม นโยบายน้ำตาลของอียูกลับส่งผลกระทบกับผู้ผลิตและผู้ค้าน้ำตาลในกลุ่มประเทศ ACP (African,Caribbean and
ดังนั้น ก่อนการเจรจารอบโดฮาอย่างเป็นทางการจะเริ่มต้นขึ้น ระยะทางสู่ความสำเร็จของการบรรลุข้อตกลงรอบนี้ ยังคงอยู่บนเส้นด้ายที่มีแต่ความไม่ชัดเจน และแกว่งไกวอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากการตกลงกันไม่ได้ในหลายระดับและหลายประเด็น พร้อมกับคำถามก้อนโตในประเด็นการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติกับการสร้างความร่วมมือในทางการค้าโลก ยังเป็นสิ่งที่ทั้งที่ประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาต้องตอบคำถามให้ได้ ก่อนก้าวเท้าเข้าสู่ห้องเจรจา