Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis





แสงไฟหลากสีกระพริบพร่างพรายอยู่ในห้องเล็กๆ ที่แออัดยัดเยียดไปด้วยนักเที่ยวยามราตรีที่เป็นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สายตาทุกคู่จับจ้องมองไปยังเวทีเตี้ยๆ ที่สร้างขึ้นอยู่กลางห้องอย่างใจจดใจจ่อ


 


ร่างที่แทบจะเปลือยเปล่าของชายหนุ่มรูปร่างกำยำ 3-4 คน ในชุดบิกินีตัวเล็กบางจิ๋วที่แทบจะปิดของสงวนไว้ไม่มิด กำลังเต้นยักย้ายส่ายสะโพกไปมาราวกับกำลังยั่วเย้าอารมณ์ของเหล่าท่านผู้ชมให้หลงอยู่ในความกำหนัด ณ บางมุมมืดของห้องเล็ก สายตาที่เปล่งประกายจากชายหนุ่มหน้าตาดีหลายคู่กำลังจับจ้องมาที่แขกเหยื่อเหล่านั้นด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง ทั้งๆ ที่เขาเหล่านั้นทุกคนล้วนแล้วแต่เป็น "ผู้ชาย" ด้วยกันทั้งนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างความกระอักกระอ่วนหรือขวยเขินให้เกิดขึ้นกับชายหนุ่มเหล่านั้นเลย


 


เสียงกระซิบกระซาบชี้ชวนเรียกเด็กเสิร์ฟให้ไปเชื้อเชิญชายหนุ่มบางคนให้มานั่งร่วมโต๊ะ โซฟาที่กว้างขวางกลับดูคับแคบ ลงไปถนัดตาด้วยร่างของชายสองคนที่นั่งอิงแอบแนบชิดกัน ฝ่ายหนึ่งใช้มือข้างหนึ่งเอื้อมข้ามไปโอบไหล่ของฝ่ายตรงข้ามด้วยความเคยชิน อีกฝ่ายหนึ่งก็ใช้มือลูบไล้ไปมาบนต้นขาที่เต็มแน่นไปด้วยกล้ามเนื้ออันสมบูรณ์อย่างเป็นที่รู้กัน เสียงเพลงที่ดังกระหึ่มทำให้ต่างฝ่ายจำเป็นต้องใช้ความพยายามในการสื่อสารกันเป็นอย่างมาก ทั้งน้ำเสียงและท่วงท่าที่เปรียบปานจะกวัดรัดเหนี่ยวกันอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าหล่อคมเข้มของชายหนุ่มที่ปรากฏภายใต้แสงไฟแทบจะไม่มีเค้าเลยว่า แท้จริงแล้วเขาเหล่านี้ แตกต่างไปจากผู้ที่มาเที่ยวแต่อย่างไร มีเพียงสำเนียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาในขณะพูดจาเท่านั้นที่อาจทำให้แขกบางคนรู้สึกแปล่ง หูว่าแตกต่างไปจากสำเนียงคนไทย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การสื่อสารทางภาษากายของทั้งคู่หยุดชะงักลงแต่อย่างใด


 


ผมเป็นคนหนึ่งที่เป็นกลุ่มลูกค้าบาร์เกย์ในจังหวัดเชียงใหม่และสนใจเรื่องราวความเป็นมาของคู่สัมพันธ์ที่มีสำเนียงแปลกหูไปจากคนไทยว่าชายหนุ่มเหล่านี้เดินทางมาจากที่ใดและชีวิตของเขาเป็นอย่างไร ผมจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวความเป็นมาของพวกเขาและอยากนำมาถ่ายทอดให้คนอื่นๆ ได้รับรู้และเข้าใจเรื่องราวชีวิตในมุมมืดให้คนภายนอกได้รับรู้บ้าง


 


การเดินทางอันยาวไกลของบอย


"บ้านเดิมของผมอยู่ที่เมืองหลวงเก่าของรัฐฉาน ประเทศพม่า" เสียงแปร่งๆ พร่าๆ ดังออกมาจากปากของชายหนุ่มวัยยี่สิบปีรูปร่างสันทัดตรงหน้า เขามีชื่อว่า "บอย" (นามสมมติ)


 


ด้วยภัยสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่ดำเนินมายาวนานกว่า 40 ปีทำให้เด็กหนุ่มทุกคนต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อการถูกกองทัพพม่าจับไปเป็นลูกหาบหรือถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารทั้งในกองทัพพม่าและกองทัพชนชาติตนเอง ซึ่งทั้งสองทางเลือกมีแต่ความเสี่ยงต่อชีวิต


 


"ครอบครัวผมไม่อยากให้ผมเป็นทหาร ผมก็ไม่อยากเป็นทหาร เพราะเป็นแล้วมีแต่ตายกับตาย พ่อกับแม่เลยจ้างคนนำทางพาผมมาส่งที่ฝั่งไทย"


 


บอยเริ่มต้นบอกเล่าถึงสาเหตุที่เดินทางมาเมืองไทยและการเดินทางจากรัฐฉานสู่ชายแดนไทยให้ฟังอย่างตื่นเต้นต่อไปว่า "ผมต้องเดินเท้าตั้งแต่เขตชายแดนพม่า-ไทยเป็นเวลา 5 วัน 5 คืน ระหว่างทางต้องคอยหลบทหารพม่าเพราะถ้าถูกจับได้จะถูกฆ่าทิ้ง รวมทั้งยังต้องคอยระวังพวกกับระเบิดที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินอีกด้วย เราไม่รู้หรอกว่ามันฝังอยู่ตรงไหน แต่ถ้าเหยียบพลาดไปมันจะระเบิดขึ้น น้ำท่าก็ไม่ได้อาบ ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ยามหิวก็หาผลหมากรากไม้แถวนั้นกิน เสบียงเราก็เตรียมไปแบบจำกัด เสื้อผ้าก็เอาติดตัวมาชุดเดียว สมบัติมีค่าอะไรก็ไม่ได้เอาติดตัวมาด้วยเพราะมันอันตราย อาจโดนปล้นและฆ่าระหว่างทางได้ เราต้องคิดถึงการเอาชีวิตให้รอดไว้ก่อน"


 


ผมนั่งฟังเรื่องราวการเดินทางอันน่าตื่นเต้นราวกับนิยายจากปากของชายหนุ่มใบหน้าใสซื่อกับคิ้วที่คมเข้มอย่างใจจดใจจ่อ เราพบกันที่บาร์เกย์แห่งหนึ่ง บอยจัดว่าเป็นเด็กใหม่ในวงการนี้ เขาเพิ่งเริ่มงานครั้งแรกที่บาร์แห่งนี้ได้ไม่ถึงเดือน


 


"ผมเพิ่งเคยไปกับแขกมา 3 คนเอง"


 


คืนนั้นผมตกลงออฟหรือซื้อชั่วโมงทำงานของเขาออกมาข้างนอกเพราะอยากได้ยินเรื่องราวชีวิตของเขามากกว่านี้ ผมพาเขาไปทานข้าว จิบเบียร์เย็นๆ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์และสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันและกัน อาจเป็นเพราะมนุษย-สัมพันธ์อันดีของผม รวมทั้งความรู้สึกที่สนใจเขาเป็นพิเศษบวกกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้เขาพูดพร่ำถึงชีวิตส่วนตัวเขาอย่างที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน


 


"ผมข้ามชายแดนพม่าเข้ามาฝั่งไทยทางจังหวัดแม่ฮ่องสอน พอมาถึง พี่ชายของผมซึ่งข้ามมาอยู่ก่อนหน้าผมเกือบ 10 ปีแล้วก็มารับและพาผมไปฝากทำงานแถวอำเภอรอบนอกเชียงใหม่"


 


บอยบอกว่า เขาพยายามทำงานอื่นๆ เฉกเช่นแรงงานชาวไทยใหญ่ทั่วไป แต่ด้วยสถานการณ์หลายอย่างบีบบังคับทำให้เขาต้องเบนเข็มทิศชีวิตเข้าสู่อาชีพที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน


"ผมเริ่มทำงานตามสวนผักผลไม้ ต้องตื่นแต่เช้ามารดน้ำ พ่นยา พรวนดิน ตัดแต่งต้นไม้ เรียกว่ามีงานให้ทำทั้งวันก็ไม่หมด กลางคืนก็นอนเฝ้าสวนอีก นับว่างานหนักมาก แต่ที่แย่กว่านั้นคือ ค่าแรงมันได้ไม่คุ้มกับที่เราลงแรงไป อะไรก็ไม่มีให้ มีแต่ที่ซุกหัวนอนพอคุ้มแดดคุ้มฝน ข้าวปลาก็หากินเองเจ็บไข้อะไรก็ต้องรักษาตัวเองอีก"


 


ความรู้สึกชิงชังกับอดีตและความน้อยเนื้อต่ำใจเริ่มระบายออกมาหลังจากแก้วเบียร์ ถูกยกดื่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ ผมได้แต่นั่งฟังเขาพูดอย่างเงียบๆ ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาอะไรออกมา แต่พยายามแสดงความรู้สึกอ่อนโยนส่งผ่านดวงตาที่กำลังจับจ้องดวงหน้าคมเข้มของเขา ซึ่งหากเขาสังเกตดูคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้


 


"ผมทำอยู่ได้สักสามเดือนก็ทนไม่ไหวจึงลองเข้ามาหางานทำในตัวเมืองเชียงใหม่ มาพักอยู่กับพี่ชายอีกคนหนึ่ง งานที่หาได้ในช่วงแรกเป็นงานก่อสร้าง ได้เงินเป็นวันๆ แต่ค่าจ้างก็ถูกแสนถูกแถมยังใช้งานเราเต็มที่อีก บางทียังแอบมีการเบี้ยวค่าแรงแล้วยังไปแจ้งตำรวจมาจับเราก็มี"


 


ชายหนุ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นเปลี่ยนเส้นทางเดินชีวิตเข้าสู่ถนนสายโลกีย์สายนี้ว่า


 


"ผมลองอดทนทำงานก่อสร้างแบบเดิมต่อไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีที่ไปแล้ว จะไปทำงานอื่นก็ไม่ได้ เขาไม่รับเพราะไม่มีบัตร ไม่มีวุฒิการศึกษา ไม่มีอะไรเลย คนจ้างเขากลัวทำผิดกฎหมายแล้วโดนจับเสียค่าปรับ จนวันหนึ่ง ผมมาเจอเพื่อนเก่าที่เคยมีบ้านอยู่ใกล้กันตอนอยู่ที่บ้านเดิมในรัฐฉาน เห็นเขามีเงินส่งกลับบ้านเดือนละหลายพันก็ถามเขาว่าทำงานอะไร ทำไมได้เงินดีจัง เขาก็บอกว่าทำอาชีพนี้ ผมก็เลยขอตามเขาไปทำด้วย"


 


บอยเล่าถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมเรื่องของเพศสัมพันธ์ในสังคมไทยใหญ่และยังจำได้ดีถึงความรู้สึกครั้งแรกที่ต้องทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปจากขนบธรรมเนียมเดิมว่า

"ผมไม่เคยรู้เรื่องประเภทนี้มาก่อนเลย เพราะแถวบ้านผมไม่มีแบบนี้ ขนาดเรื่องเซ็กส์ธรรมดาทั่วไปยังไม่เคยมีใครพูดถึงกันเลย ครั้งแรกของผมกับผู้ชายน่ะเหรอ ก็แปลกดีครับ คนนั้นเขาทำให้ผมหมดทุกอย่าง ความรู้สึกมันก็แตกต่างจากผู้หญิงนะ มันไม่เหมือนกันแต่ก็เริ่มชินขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เก่งเรื่องนี้ต้องฝึกอีกมาก"


เนื่องจากบอยไม่มีบัตรแรงงานต่างด้าว เวลาตำรวจมาตรวจ จึงต้องหยุดงานไปหลายวันจนทำให้ขาดรายได้ และเขาต้องหาทางออกด้วยการโทรเรียกลูกค้าประจำให้มาซื้อบริการนอกสถานที่ เพื่อนคนอื่นที่ไม่มีบัตรแรงงานก็ต้องดิ้นรนด้วยวิธีเดียวกับเขา ชายหนุ่มคิ้วเข้มบอกเล่าถึงความฝันใกล้ๆ ที่อยากไปให้ถึงว่า


 


"ตอนนี้ผมเริ่มมีเงินใช้ขึ้นมาบ้าง ตอนนี้กำลังเก็บเงินครับ ถ้ามีสักก้อนจะได้ส่งกลับไปให้ที่บ้านเขาคงจะดีใจกันมาก"


 


ในแสงสลัวผมมองเห็นประกายแห่งความหวังสว่างวาบในนัยน์ตาของเขา บอยหนุ่มน้อยที่เดินทางมาแสนไกลเพื่อตามหาความฝันของเขา หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล และเมื่อไรจะถึงจุดหมายปลายทางนั้นคงไม่มีใครตอบเขาได้ เพราะเขากำลังก้าวเดินมาบนถนนสายนี้เพียงสองสามก้าวเท่านั้น แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่อาจรู้ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังดีใจที่ได้เหยียบย่ำอยู่บนแผ่นดินไทยและยังมีชีวิตอยู่เพื่อไล่ตามความฝันของเขา


 


"สักวันหากผมมีเงินเก็บเยอะๆ ผมอยากจะเปิดร้านขายอาหารเป็นของตัวเองแล้วรับพ่อแม่มาอยู่ด้วยครับ"


 


ชีวิตที่พลิกผันของแมน


"ผมเคยเป็นพระมาก่อนครับ"


 


แมน (นามสมมติ) หนุ่มหล่อล่ำบึกที่เพิ่งโชว์ลีลายักย้ายส่ายสะโพกภายใต้กางเกงในตัวจิ๋วบนเวทีเสร็จไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาบอกเล่าประวัติตนเองที่ทำให้ผมรู้สึกนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ผมเคยแอบชำเลืองมองแมนมาหลายครั้งแล้วในยามที่มาเที่ยว ณ บาร์แห่งนี้ ด้วยกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แบบอัดแน่นอยู่บนผิวกายอันขาวเนียนทำให้เขาเป็นที่หมายตาต้องใจของแขกหลายต่อหลายคน และเสน่ห์ของแมนที่มีมากกว่านั้นจนทำให้ผมต้องชวนเขามานั่งข้างๆ คือ ความช่างพูดช่างคุยและช่างเอาอกเอาใจ รวมทั้งแมนยังมีนิสัยที่แตกต่างจากเด็กบาร์หลายคน คือไม่ชอบกินเหล้าสูบบุหรี่


 


"ผมบวชเรียนที่กรุงย่างกุ้งเมืองหลวงของพม่า พอสึกออกมาได้สักเดือนผมก็กลับบ้านแล้วมาเที่ยวตรงฝั่งท่าขี้เหล็ก อยู่ ได้สักเดือนผมก็กลับบ้านแล้วมาเที่ยวตรงฝั่งท่าขี้เหล็ก อยู่ได้สัก 2 วันเพื่อนที่ไปด้วยกันก็ชวนว่ายน้ำข้ามมาฝั่งไทยเลย หลังจากนั้นก็ไปอยู่กับเพื่อน ทำงานเป็นบ๋อยอยู่โรงแรมแถวท่าขี้เหล็กนั่นแหละ ทำได้ 3 - 4 เดือนเพื่อนก็ชวนมาเชียงใหม่ แต่อยู่ได้ไม่ถึงเดือนงานก็ยังหาไม่ได้เพื่อนก็ชวนลงมากรุงเทพฯต่อเลย"


 


แมนเริ่มเปิดฉากเล่าถึงชีวิตอันพลิกผัน ความช่างพูดช่างคุยของแมนทำให้การสนทนาของผมและเขาออกรสออกชาติ ฟังดูเหมือนกำลังนั่งฟังนักเล่านิทานขับกล่อมให้เพลิดเพลิน


 


"อยู่กรุงเทพฯ  ก็มารับจ้างเป็นกรรมการแบกหามทั่วไปตามตลาดนี่ละครับ แต่อย่างว่าเงินมันน้อยไม่พอกับค่าครองชีพที่สูงอย่างในกรุงเทพฯอยู่ได้ไม่ถึงปีก็ผันตัวเองไปเป็นชาวประมงที่ระยองสักพักหนึ่ง แต่เป็นชาวประมงนี่งานหนักมาก ออกเรือไปเป็นอาทิตย์ๆ ทำงานตั้งแต่เช้ายันค่ำ ค่าแรงก็ใช้ได้แต่มันเหนื่อย แสนเหนื่อย ก็ทำได้สัก 3 เดือนก็กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ อีก"


 


ชายหนุ่มร่างบึกบึนสรุปข้อดีของการทำงานแบกหามก่อนเข้าสู่อาชีพนี้อย่างอารมณ์ดีว่า


 


"นี่ก็คงเป็นเพราะการทำงานหนักทำให้ผมมีรูปร่างที่ดีแบบนี้ครับ" ว่าแล้วแมนก็ทำท่าเบ่งกล้ามให้ดู ช่างเป็นมุขตลกน่ารักทำให้ผมยิ้มเอ็นดูเขามากทีเดียว แมนเล่าถึงมรสุมชีวิตที่ผ่านเข้ามาในชีวิตการขายแรงงานในเมืองไทยจนทำให้ชีวิตพลิกผันเข้าสู่เส้นทางขายบริการทางเพศให้ผู้ชายด้วยกันในที่สุดว่า


 


"กลับมาอยู่กรุงเทพ ฯ คราวนี้ผมได้ทำงานเป็นบ๋อยในร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วก็ฝึกเป็นผู้ช่วยพ่อครัวด้วย ถือว่าเป็นงานที่ดีมีรายได้พอสมควร แต่ทำอยู่ได้สัก 6 เดือนก็มาถึงคราวซวย มีตำรวจมาตรวจจับแรงงานต่างด้าวที่หอพัก ผมก็โดนจับไปด้วยติดคุกอยู่ 3 วันเขาก็ส่งมาที่เชียงใหม่ ระหว่างที่รอจะส่งข้ามแดนไปพม่า ก็โทรศัพท์ไปหาญาติให้เขาช่วย เสียเงินไป 3 พันบาท แล้วเขาก็พามาปล่อยไว้ที่หมู่บ้านชาวไทยใหญ่บริเวณชายแดนไทย หลังจากนั้นผมก็รับจ้างช่วยทำสวนทำนาทำไร่ไปเรื่อยๆ พออยู่พอกินไปวันๆ แต่พอมีโอกาสผมก็ลงมาเชียงใหม่อีก ลงมาคราวนี้ผมก็เลยมาทำงานที่บาร์นี้ตามเพื่อนชวน เพราะเพื่อนเคยทำที่นี่มาก่อน ซึ่งรายได้ก็ดีพอสมควร ผมส่งเงินกลับบ้านไปหลายก้อนแล้วตอนนี้"



ชายหนุ่มมาดแมนบอกเล่าถึงความอึดอัดใจที่ต้องมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพศเดียวกันว่า


 


"ผมเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาก่อน พอมาทำงานแบบนี้ก็ต้องทำใจ ถ้าเจอแขกที่ดูเป็นผู้หญิงก็สบายไปสร้างอารมณ์ได้ง่ายกว่า แต่ถ้าแขกที่ดูเป็นผู้ชายเหมือนเราก็ต้องพยายามปลุกอารมณ์หน่อย ที่ต้องยอมทำอย่างนี้ก็เพื่อเงินเพียงอย่างเดียว"


 


ว่าไปพลางมือของแมนก็เริ่มต้นลูบไล้อยู่บนหน้าตักของผมพร้อมหยอดคำหวานจนทำให้ผมต้องเขินอาย


 


"ยิ่งสวยๆ แบบพี่นี่ผมยิ่งชอบ"


 


แวบนั้น ผมอดนึกแปลกใจไม่ได้ว่า ชายหนุ่มซึ่งเคยผ่านการบวชเรียนมาก่อนจะมีชีวิตที่พลิกผันไปได้ขนาดนี้ จากชีวิตที่เรื่องกามารมณ์เคยเป็นสิ่งต้องห้ามกลายเป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสอยู่ทุกค่ำคืน และดูเหมือนจะถลำลึกขึ้นเรื่อยๆ ดังที่หลายคนกล่าวว่าถนนสายนี้มีอาถรรพ์อะไรบางอย่างที่ทำให้คนที่ก้าวเข้ามาไม่สามารถเดินจากไปได้ในเร็ววัน


 


"ผมคงทำงานแบบนี้ไปเรื่อย จนกว่าร่างกายผมจะไม่ไหว อาชีพอื่นผมจะไปทำอะไรได้ แค่อาชีพแบบนี้ยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ เลย แม้แต่ที่บ้านผมญาติพี่น้องยังไม่รู้เลยว่าผมทำงานอะไร ผมบอกแต่เพียงว่าผมทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟ"


 


ชายหนุ่มบอกถึงสิ่งที่กังวลใจมานานว่า


 


"ถ้าที่บ้านผมรู้ความจริงคงรับไม่ได้ เพราะที่บ้านผมไม่มีแบบนี้เลย อย่างมากก็เป็นผู้หญิง แต่ถ้าผู้ชายทำก็คงจะโดนประณาม เพื่อนๆ ผมทุกคนที่ทำอาชีพนี้ไม่มีใครบอกที่บ้านว่าทำงานอะไร มีแต่คนสนิทใกล้ชิดที่อยู่ในแวดวงเดียวกันที่รู้ ไม่มีใครกล้าบอกกัน"


 


แมนเลือกเช่าห้องพักอยู่กับเพื่อนชายที่ทำงานอาชีพเดียวกันเพราะเข้าใจความรู้สึกกันมากกว่าพักอยู่กับเพื่อนต่างอาชีพ เขาใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดโดยรายได้ส่วนหนึ่งจะต้องเก็บไว้ให้ทางบ้านและอีกส่วนหนึ่งใช้ซื้อของต่างๆ ที่ตนเองอยากได้เพื่อเป็นรางวัลให้กับตัวเอง ทุกวันนี้ แมนยังคงมีแฟนเป็นผู้หญิงและอยากสร้างครอบครัวร่วมกัน เขากล่าวถึงความฝันวันข้างหน้าด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง


 


"อนาคตสำหรับผมก็ไม่แน่ครับ ถ้ามีที่ดีกว่านี้ผมก็ไป แต่สิ่งที่อยากได้ คือผมอยากเป็นเจ้าของร้านขายของชำเล็กๆ สักแห่งแต่คงต้องเก็บเงินสักก้อนให้ได้มากกว่านี้ คิดว่าคงจะมีสักวันหนึ่งที่จะทำได้ หากมีแขกน่ารักๆ แบบพี่มาอุดหนุนผมตลอด" เขาป้อนคำหวานก่อนจากลา ชีวิตของแมนคงไม่ได้หยุดและจบลงแต่เพียงเท่านี้


 


ในครั้งหน้าผมอาจจะมาเจอเขาอีกในสถานที่ใหม่ ชีวิตใหม่ และเป็นความทรงจำใหม่ๆ ดั่งใจที่เขาหวังไว้ ผมได้แต่ภาวนาให้เขาก้าวไปถึงฝันที่เขาหวังไว้อย่างมั่นใจและภูมิใจในทางที่เลือกเดิน


 


บิ๊ก....ดาวเด่นในคืนเดือนดับ


"พี่สนใจน้องคนนั้นไหม เขาเคยถ่ายแบบมาด้วยนะ"
"แบบอะไรหรือครับ" ผมถามด้วยความมึนงง
"แหม...ก็แบบโป๊ไงพี่ เห็นหมดเลยนะสุดยอด"



ผมมองไปที่ชายหนุ่มหน้าคมเข้มอายุราว 25 ปี รูปร่างสูงโปร่ง กล้ามอกเป็นมัดๆเอวคอดกิ่ว บ่งบอกถึงการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดีจากผู้เป็นเจ้าของ ช่างเป็นรูปร่างที่สมส่วนชวนเหลียวมองเสียนี่กระไร "บิ๊ก" (นามสมมติ) เป็นชื่อของหนุ่มรูปหล่อคนนั้น ผมพบบิ๊กในสถานที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ


 


บิ๊กทำงานเป็นเด็กนวดในบาร์นวดผู้ชาย ผมมีโอกาสไปส่งเพื่อนขี้เมื่อยที่บาร์นวดแห่งหนึ่ง ระหว่างที่นั่งรอเพื่อนอยู่นั้น บิ๊กเพิ่งเดินเข้ามาทำงาน ผมได้รู้จักกับเขาผ่านพนักงานเชียร์แขก และเขาก็มานั่งคุยกับผม ผมอดแซวเขาไม่ได้ว่า


 


"รูปหล่อขนาดนี้น่าจะไปเป็นดารามากกว่ามาเป็นเด็กนวดนะ"
"แหม ! พี่ใครจะให้เป็นล่ะ คนไม่มีสัญชาติแบบผมไปที่ไหนก็ไม่มีใครเอาหรอกครับ"


"ไม่มีใครเอา พี่เอาเองก็ได้" ผมพูดเล่นๆ แหย่หนุ่มหน้าเข้มจนได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมา


 


บิ๊กเป็นคนไทยใหญ่ที่อพยพจากประเทศพม่าเข้ามาอยู่ประเทศไทยตั้งแต่เด็ก บ้านของเขาอยู่ในเขตอำเภอเชียงดาว


เขาได้เรียนภาษาไทย พูดภาษาไทย เรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นไทย จากโรงเรียนภายในหมู่บ้านที่สอนโดยคนไทย แต่เขาก็ยังไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นราษฎรไทยเต็มขั้น แม้ว่าตอนนี้คนรุ่นปู่ย่าจะได้สัญชาติไทยและมีบัตรประชาชนแล้วก็ตาม


 


"ผมมันตกสำรวจน่ะครับพี่" บิ๊กตอบด้วยสำเนียง
ภาษาไทยให้ผมฟังอย่างฉะฉาน ถ้าไม่บอกผมคงไม่รู้เลยว่าเขาไม่ใช่คนไทย
"ผมเรียนมาแต่เล็กแล้วครับพี่ เลยพูดไทยชัด"
หนุ่มนายแบบเริ่มต้นเล่าเรื่องราวชีวิตก่อนเข้าสู่ถนนสายนี้ให้ฟังว่า
"ผมลงมาทำงานในเมืองตั้งแต่อายุ 17 แล้วครับ อยู่ที่บ้านไม่มีงานให้ทำ สู้มาหากินเอาดาบหน้าดีกว่า มาทำงานในตัวเมืองเชียงใหม่ครั้งแรกก็เป็นเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหารทั่วไป รายได้พออยู่ได้ครับ แต่มีอยู่วันหนึ่ง พี่คนไทยคนหนึ่งที่เป็นลูกค้าประจำของร้านเขาชวนผมมาทำงานด้วย เขาบอกว่าเป็นงานนวดเนื้อนวดตัวอะไรพวกนี้แหละ เขาบอกว่ารายได้ดีกว่าเด็กเสิร์ฟอีก ตอนนั้น ผมก็เชื่อเลยตัดสินใจลองไปฝึกนวดดูก่อน แล้วก็ทำได้ ต่อมาปิดปรับปรุงกิจการใหม่ โดยเปิดเป็นบาร์นวดเฉพาะผู้ชาย ผมก็ยังรอที่จะทำงานกับพี่คนนี้ต่อ ระหว่างที่รอปรับปรุงร้านก็ว่างงานอยู่ พอดีเพื่อนชวนไปทำงานบาร์เกย์ (บาร์โชว์และออฟ) ด้วยก็เลยลองไปทำดู ดีกว่าอยู่เฉยๆ และตอนที่ทำงานในบาร์นวดก็เคยพบกับลูกค้าเกย์อยู่ทุกวัน"


 


บิ๊กบอกถึงสาเหตุที่ทำให้เขามีหุ่นมัดใจชายรักชายจนถูกทาบทามให้ถ่ายแบบว่า


 


"พอดีผมชอบเล่นกีฬาชอบออกกำลังกายยกน้ำหนักอะไรพวกนี้หุ่นก็เลยดี มีอยู่วันหนึ่งแขกที่มาเที่ยวชวนไปถ่ายแบบได้ค่าตัวมาหมื่นกว่าบาท ถือว่าเยอะมากสำหรับผม"


 


บิ๊กกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างการทำงานในบาร์โชว์และบาร์นวดว่า "ตอนทำงานที่บาร์โชว์ แขกติดเยอะ แต่ผมไม่ค่อยชอบเพราะมันวุ่นวาย คนก็เยอะเดี๋ยวคนนี้เข้าคนนี้ออกน่ารำคาญ ผมเลยออกมาอยู่แบบนี้ดีกว่าสบายใจดี ก็มีแขกที่รู้จักและติดใจตามมาใช้บริการบ้าง ซึ่งมีรายได้พออยู่ได้ แถมเรายังคิดไปถึงอนาคตแบบว่าถ้าแก่ตัวไปก็ยังมีวิชาชีพติดตัว ยังสามารถไปทำมาหากินได้อยู่ ตอนนี้ผมทำงานแบบนี้มา 5 ปีกว่าแล้วก็ไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไร ทุกวันนี้ก็พออยู่พอกินดีแล้ว เรายังไม่มีบัตรจะไปทำอะไรไกลเกินตัวก็ไม่ได้"


 


บิ๊กไม่ได้บอกอาชีพที่แท้จริงกับทางบ้านเช่นเดียวกัน เพราะสิ่งที่เขาคิดว่าสำคัญไปกว่า "ความจริง" ก็คือ "ความสุข" ที่เขาได้ทำให้สมาชิกครอบครัว


 


"ผมบอกแต่เพียงว่าผมทำงานบริการ ทำนวดอะไรพวกนี้ ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยสงสัย เพราะพอผมได้เงินก็เอาไปให้เขา เวลาเห็นพ่อแม่ยิ้มเราก็มีความสุขแล้ว"


 


ชายหนุ่มสรุปถึงเหตุผลที่เพื่อนร่วมอาชีพใช้ตัดสินใจก้าวเดินบนถนนต้องห้ามสายนี้ว่า


 


"คนที่มาทำอาชีพนี้ส่วนใหญ่ทำเพื่อเงินทั้งนั้นแหละครับ หน้าตาดีไม่ดียังไงถ้าทำแล้วได้เงินดีก็ทำกัน เพราะอย่างพวกเรา ไปทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ ยิ่งงานดีๆ มีเงินเยอะๆ เหมือนคนไทยทั่วไปยิ่งไม่ต้องพูดถึง แล้วแต่ละคนก็มีภาระหน้าที่ที่จะต้องใช้จ่ายเงิน บางคนต้องส่งกลับบ้าน เลี้ยงครอบครัว ค่ากินอยู่ของตนเอง ทุกอย่างมันต้องใช้เงิน แต่มันไม่มีงานอะไรให้ทำ งานที่มีให้ทำก็เงินน้อย เลยต้องหันมาทำงานแบบนี้กันมากขึ้น"


 


ก่อนจากกัน เขาบอกถึงความตั้งใจที่ไม่ต่างไปจากเพื่อนร่วมทางว่า


 


"ทุกคนถ้าเลือกชีวิตได้ก็ไม่อยากเดินทางสายนี้หรอกครับ ผมก็เหมือนกันเก็บเงินได้สักก้อนแล้วก็คงเลิก"


ผมมองแววตามุ่งมั่นบนใบหน้าหล่อเหลาแล้วพลันอดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตของชายหนุ่มตรงหน้าในวันนี้ไม่แตกต่างอะไรกับดวงดาวจรัสแสงท่ามกลางคืนเดือนดับที่เต็มไปด้วยเมฆหมอก เขาไม่สามารถเปิดเผยตัวตนกับสังคมภายนอก และยังต้องมีชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ เนื่องจากไม่มีสถานะที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีใครรู้ว่าอีกนานเท่าไหร่สายลมจะพัดพาเมฆหมอกที่บดบังดาวดวงนี้ได้เปล่งประกายอย่างเต็มที่เสียที


 


0 0 0



ข้างต้นเป็นเรื่องราวของชายหนุ่มสามคน  ที่ผมได้มีโอกาสได้เข้าไปรับรู้ พวกเขาเดินทางข้ามพรมแดนประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเดินบนถนนสายโลกีย์สายนี้ด้วยความไม่ตั้งใจ และยังไม่สามารถก้าวเดินออกไปได้ดังใจหวัง  เพราะตกอยู่ภายใต้อาถรรพ์เงินตราที่ถนนสายอื่นไม่สามารถตอบสนองความฝันเพื่อครอบครัวและอนาคตที่ดีกว่าของพวกเขาได้ บนเส้นทางเดินของทุกชีวิต บางครั้งเราอาจเป็นผู้กำหนดหรือเลือกได้ แต่สำหรับบางชีวิต โชคชะตาอาจลิขิตเอาไว้ให้เขาไม่มีสิทธิ์เลือก และต้องก้าวเดินไปในทางที่มืดมิดที่ยังไม่รู้ว่าจะเจอแสงสว่างให้มองเห็นทางแยกของชีวิตใหม่เมื่อใด
………………………………………………………


เรื่องโดย  กีรติกานต์


ที่มา : เรื่องจากปก  สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 26 (1 ตุลาคม - 15 พฤศจิกายน 2548) http://www.salweennews.org


 


กลับหน้าแรกประชาไท









ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net