เรียบเรียงโดย อ. อับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ ดินอะ (อับดุลสุโก ดินอะ) shukur2003@yahoo.co.uk
ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตากรุณาปราณีเสมอ มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิพระองค์ผู้ทรงอภิบางแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสดามูฮัมมัด และผู้เจริญรอยตามท่านสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกคน
เหตุการณ์ความรุนแรงภาคใต้
นับตั้งแต่เกิดการปล้นปืนในค่ายทหารไปกว่า 300 กระบอก เมื่อต้นปี 2547 , การสังหารพระภิกษุและสามเณร 3 รูป ที่ยะลา-นราธิวาส-ปัตตานี เมื่อวันที่ 22-24 มกราคม, การบุกสถานีตำรวจเมื่อวันที่ 28 เมษายน จนเกิดการเสียชีวิตที่มัสยิดกรือเซ๊ะ-สะบ้าย้อย และพื้นที่อื่น 112 คน , การหายตัวของทนายสมชาย นีละไพจิตร, การสลายการชุมนุมที่อำเภอตากใบ จนมีผู้เสียชีวิตขณะถูกจับกุม 85 คน, การสังหารนาวิกโยธิน 2 คนที่ตันหยงลิมอร์ , ความตายรายวันของผู้นำชุมชนมุสลิม อุสต๊าซ(ครูสอนศาสนา) และโต๊ะครู จำนวนไม่น้อย, การลอบสังหารเจ้าหน้าที่รัฐระดับล่างฝ่ายต่างๆ จนถึงการฆ่าพระและเผาวัดพรหมประสิทธิ์เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2548 กล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนในพื้นที่กับเจ้าหน้าที่ของรัฐถูกกระทบกระเทือนอย่างถึงที่สุด ขณะที่ความรู้สึกซึ่งผู้คนนอกพื้นที่มีต่อคนต่างศาสนา ต่างเชื้อชาติ ต่างวัฒนธรรม ก็อยู่ในจุดที่อันตราย
พูดให้สั้นที่สุด เรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างสูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ทุกฝ่ายคิดว่าอีกฝ่ายคือ "ฝ่ายตรงข้าม" ที่เป็นฆาตกรโหดร้าย
เจ้าหน้าที่ไม่เชื่อใจมลายูมุสลิม มุสลิมหวั่นระแวงว่าไทยพุทธจะมองในแง่ร้าย ไทยพุทธสงสัยความบริสุทธิ์ใจของมลายูมุสลิม มุสลิมสูญเสียความเชื่อมั่นในความเที่ยงธรรมของฝ่ายบ้านเมือง ฯลฯ ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป สายสัมพันธ์ระหว่างคนทุกฝ่ายในสังคมก็คงพังลงไปอย่างไม่มีชิ้นดี
ในระดับปัจเจกชนนั้น เมื่อพูดว่าเราไม่ไว้เนื้อเชื่อใจใคร นั่นก็แสดงถึงภาวะของความไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร มีพื้นฐานจิตใจ, วิถีชีวิต และความคิดความเชื่อ แตกต่างจากเราขนาดไหน ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจจึงเริ่มต้นจากความ "ไม่รู้" ที่บานปลายจนเห็นคนอื่นเป็น "คนแปลกหน้า" ถึงขั้นที่หวาดระแวงอย่างลึกซึ้ง ขณะที่ในระดับสังคมนั้น ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจก็แสดงถึงความหมางเมินเหินห่าง เป็นร่องรอยของความไม่ผสมกลมเกลียวระหว่างคนแต่ละฝ่ายในสังคม (โปรดดูhttp://www.tjanews.org/cms/index.php?option =com_content&task=view&id=306&Itemid=57 )
หลังจากนั้นคณะสงฆ์จังหวัดปัตตานีได้ออกแถลงการณ์จำนวน 20 ข้อเรียกร้องให้รัฐบาล แก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยหนึ่งในข้อเรียกร้องดังกล่าวมีการเสนอให้ยุติบทบาทการทำงานของ"คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ"หรือ (กอส.) รวมอยู่ด้วย เนื่องจากเห็นว่าไม่มีความเป็นกลางโดยมักเข้าข้างและเห็นใจกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบและมุสลิม
หลังแถลงการณ์อันเป็นที่มาของกระแสความสนใจต่อปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะผลกระทบต่อพระสงฆ์ และชาวไทยพุทธ ที่สำคัญเป็นแรงขับขับเคลื่อนให้คณะสงฆ์จังหวัดนราธิวาสมีมติยอมรับพร้อมทั้งได้ประสานไปยังคณะสงฆ์จังหวัดยะลา เพื่อร่วมกันรับรองว่าแถลงการณ์ของคณะสงฆ์จังหวัดปัตตานีถือเป็นแถลงการณ์ร่วมกันของคณะสงฆ์3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ปรากฏการณ์ดังกล่าวนับเป็นบทสะท้อนความรู้สึกพระสงฆ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อบทบาทการแก้ปัญหาความไม่สงบของรัฐบาล ในฐานะศิษย์ตถาคตผู้เฝ้าดูการแก้ปัญหาความรุนแรงด้วยความนิ่งเงียบมานาน เป็นเสียงสะท้อนที่ทุกฝ่ายไม่อาจดูดาย ...
..."เกิดปัญหาขึ้นแต่ละครั้งจะสอบถามคนไทยพุทธไม่ค่อยจะมี ถามแต่คนมุสลิม หากคนไทยพุทธเกิดปัญหาจะไม่มีอะไรมากนัก เสนอข่าวแล้วก็เงียบไป แต่พอเกิดกรณีกรือเซะ ตากใบ ทำไมยกปัญหาขึ้นมาดีเด่นซึ่งตรงนี้มันก็ดี แต่ยกเป็นเรื่องสำคัญมากเกินไป"
..
"ที่ผ่านมามีชาวบ้านมาบ่นว่าทีคนไทยพุทธโดนทำร้ายทำไมไม่ให้ความสำคัญ บางคนบ่นว่าเขาไปสมานฉันท์แต่ฝ่ายอื่น ส่วนตัวอาตมาไม่ได้คิดอะไรมาก การแก้ปัญหาที่ผ่านมาเป็นระบบที่เอื้อต่อการเมือง แม้ไม่มีใครมาให้ความสนใจแต่เชื่อว่าในหมู่ชาวไทยพุทธจะดูแลไม่ทอดทิ้งกัน"
นี่เป็นเสียงเอ่ยที่ราบเรียบของ "พระมหาภูษิต ฐิตสิริ" พระนักเทศชื่อดังและครูสอนนักธรรมแห่ง "วัดพระศรีมหาโพธิ์" ตำบลโคกโพธิ์ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี แสดงความเห็นถึงการแก้ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ กอส. ช่วงที่ผ่านมา(โปรดดู http://www.tjanews.org/cms/ index.php?option=com_content&task=view&id=297&Itemid=58)
จากความคิดของคณะสงฆ์ดังกล่าวย่อมสะท้อนความตึงเครียด ความหวาดระแวง ความไม่ไว้วางใจกันจนนำไปสู่ความแค้นระหว่างประชาชนมุสลิม-พุทธ(หรือผู้นำศาสนาบางคนทั้งพุทธ-มุสลิม) จนในที่สุดต้องระเบิดอารมณ์การแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงซึ่งในสังคมพุทธก็จะมองว่าประชาชนและผู้นำชาวพุทธ (บางคน) โดนผู้ก่อการมุสลิมรังแกก่อนในขณะประชาชนและผู้นำมุสลิม(บางคน)ก็โดนเจ้าหน้าที่พุทธร่วมมือกับชาวพุทธบางคนรังแกและทำร้ายมุสลิมก่อน
ความสัมพันธ์ เหตุการณ์ความรุนแรงในโลกและในประเทศ
เป็นที่ประจักษ์มาตลอดหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมาเป็นสิ่งยืนยันบ่งบอกให้เป็นที่เข้าใจได้ไม่ยากว่าวิกฤตการณ์ใน 3-4 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะยืดเยื้อและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ในต่างประเทศก็เช่นกัน เช่น กรณีระเบิดรถไฟใต้ดินสามแห่ง และรถประจำทางสองชั้นคันหนึ่งในกรุงลอนดอนเมื่อช่วงเวลารีบด่วนสายวันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม 2548 ทำให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตจำนวนมากและบาดเจ็บอีกเกือบพันคน และเหตุการณ์ระเบิดรถไฟใต้ดินและรถประจำทาง 4 จุด เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2548 กำลังสร้างความไม่พอใจของคนอังกฤษต่อมุสลิมในประเทศอังกฤษจำนวนมาก จนทำให้เกิดการทำลายศาสนสถาน มัสยิดหรือแม้กระทั่งคนมุสลิมเองรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินหรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ก่อร้ายทำลายผู้บริสุทธิในประเทศมุสลิมเอง(อย่างเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ชัรมุลชัค์ประเทศอียิปต์)
ใครที่เป็นมุสลิมจะถูกจับตามองเป็นพิเศษจากตำรวจและหน่วยสืบราชการลับ
เหตุการณ์เหล่านี้เคยเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน หรือแม้กระทั่งคนมุสลิมเองรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและกำลังเกิด
ความรู้สึกเช่นนี้เช่นเดียวกันกำลังประสบในความคิดของคนไทยส่วนหนึ่งหลังวิกฤตการณ์ใน 3-4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยืดเยื้อและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น (แต่เป็นที่หน้ายินดีที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจและส่งกำลังใจช่วยชาวใต้)
คำว่ามุสลิมหัวรุนแรง กลุ่มก่อร้ายมุสลิม เครือข่ายก่อการร้ายมุสลิมสากลถึงแม้มุสลิมส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้เมื่อสื่อไทยหรือเทศรายงานข่าวหลังเหตุการณ์ก่อการร้าย แต่สิ่งหนึ่งที่มุสลิมเองจะต้องยอมรับคือ มีมุสลิมส่วนหนึ่งจริงๆ (ส่วนน้อยของประเทศไทยหรือทั่วโลก) เป็นผู้ปฏิบัติการ
สุดท้ายผู้ที่ได้รับอานิสงส์และผลกระทบอย่างรุนแรงคือมุสลิมส่วนใหญ่ผู้รักสันติ (แนวคิดสายกลาง) ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้ด้านศาสนา อุสตาซ ครู วัยรุ่น เด็กและสตรี
สรุปง่ายๆ คือทุกคนที่เป็นมุสลิม
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากการประกาศสงครามปราบปรามการก่อการร้ายของสหรัฐคือชีวิต และทรัพย์สินของชาวอัฟกานิสถานและอิรักซึ่งไม่ทราบว่ามุสลิมประเทศใดจะเป็นรายต่อไป
ไม่ว่าความรุนแรงจะมีสาเหตุมาจากที่ใดแต่มุสลิมส่วนใหญ่ผู้รักสันติ (แนวคิดสายกลาง โดยเฉพาะบรรดาผู้รู้ด้านศาสนา) จะต้องรีบออกมาแก้ปัญหาของตนอย่างเร่งด่วนก่อนที่ชีวิตและทรัพย์สินจะคืบคลานเข้ามาสู่ตัวเอง
ชัยคฺ ดร.ยุซุฟ อัลก็อรฏอวีย์ (ชาวอียิปต์) ประธานของสหภาพนักปราชญ์มุสลิมนานาชาติ (IAMS) กล่าวว่า ปัจจัยต่างๆ ของปรากฏการณ์ความรุนแรง
1.การขาดแนวคิดสายกลาง เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องให้แนวคิดอิสลามสายกลางเป็นที่แพร่หลายในหมู่คนหนุ่มสาว เพื่อที่พวกเขาจะพบวิถีทางที่ถูกต้องแทนที่พวกเขาจะทำตัวไม่เปิดเผย ซึ่งการขาดแนวคิดเช่นนี้ได้เปิดโอกาสให้แนวคิดสุดโต่งแทรกเข้ามา
2.การขาดอุละมาอฺ(นักปราชญ์อิสลามศึกษา) ที่แท้จริง ซึ่งสามารถให้ความเชื่อมั่น (ต่อแนวทางสายกลาง) ด้วยหลักฐานที่มาจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺ (วจนศาสดา) พวกเขาได้หายไปจากสนามแห่งนี้ จึงเปิดโอกาสให้กับผู้ที่ขาดคุณสมบัติ ที่ถูกเรียกว่าอุละมาอฺซึ่งทำงานเพื่อผู้ที่มีอำนาจ ดังนั้น คนหนุ่มสาวจึงสูญเสียความเชื่อมั่นไป และได้ตั้งตัวพวกเขากันเองให้เป็นชัคย์ (คือเป็นโต๊ะครูหรือนักปราชญ์อิสลามศึกษา) ในการฟัตวา (วินิจฉัยหลักศาสนา) ประเด็นปัญหาที่ซับซ้อน
3.การแพร่กระจายของความชั่วร้ายและเพิ่มขึ้นของการกดขี่ในสังคมเป็นเหตุผลที่สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรง
(โปรดดู : ชัยคฺ ดร.
แนวคิดของมุสลิมสายกลาง
แนวคิดสายกลางในที่นี้หมายถึงแนวคิดที่เข้าใจหลักการและเป้าหมายของศาสนาอิสลามอย่างถูกต้องและใช้แนวคิดสันติวิธีในการแก้ปัญหา
อัลลอฮได้ตรัส ความว่า
และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติสายกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และศาสดาก็จะเป็นสักขีพยานแก่พวกเจ้า (ซูเราะฮอัล บะกอเราะฮฺ 2:143)
จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ทั้งหลาย! จงอย่าปฏิบัติให้เกินขอบเขตในศาสนาของพวกท่าน โดยปราศจากความเป็นจริง และจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกหนึ่งพวกใดที่พวกเขาได้หลงผิดมาก่อนแล้ว และได้ทำให้ผู้คนมากมายหลงผิดด้วย และพวกเขาก็ได้หลงผิดไปจากทางอันเที่ยงตรง (ซูเราะฮอัล มาอิดะฮฺ 5:77)
มุสลิมถูกเรียกว่า อุมมะตัน วะสะฏ็อน(ประชาชาติสายกลาง) นักอรรถาธิบายอัลกุรอานได้อธิบายคำว่า "วะสัฏ" (ในภาษาอาหรับแปลว่ากลาง) คือ "ความสมดุลที่เที่ยงตรง" "สิ่งที่ดีที่สุด" (คิยารฺ หรือ คอยรฺ) (ดูหนังสือตัฟซีรอัฏ เฏาะบะรียฺ, ตัฟซีร อัล กุรฏุบียฺ, ตัฟซีร อิบนุ กะษีร เป็นต้น) ท่านยูซุฟ อลี ได้กล่าวว่า "สารัตถะแห่งอิสลามคือการหลีกเลี่ยงจากความเลยเถิดไม่ว่าด้านใดก็ตาม อิสลามเป็นศาสนาที่เรียบง่ายและสามารถปฏิบัติได้จริง"(เชิงอรรถที่ 143 ของอายะฮฺ : ซูเราะฮอัล บะกอเราะฮฺ 2:143 )
อัลลอฮฺ ได้ทำให้อุมมะฮฺ(ประชาชาติ)นี้เป็นอุมมะฮฺสายกลาง ดังนั้น มุสลิมต้องดำเนินตามทางสายกลาง ทางซึ่งไม่มีการสุดโต่งหรือความเลยเถิดใดๆ เป็นวิถีทางที่จะต้องมีการเข้ามาร่วมกันเป็นความสมดุลที่ประสานกลมกลืน ( www.fidyah.com โดย ชัยคฺ ดร.
จากความรุนแรงของโลกและจังหวัดชายแดนภาคใต้มุสลิมสายกลางโดยเฉพาะอุละมาอ์ของไทยและโลกจะต้องเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาและควรมีจุดยืนดังนี้
(1) สร้างมหาประชามติปฏิเสธการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา
(2) แสดงอุดมการณ์อิสลามเพื่อสันติภาพอย่างเข้มข้น
(3) ศึกษาและเผยแผ่ทรรศนะอิสลามที่ถูกต้องเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกับต่างศาสนิกอย่างสันติและความสมานฉันท์ในสังคมที่มีความหลากหลาย
สิ่งหนึ่งทีทุกคนควรยอมรับในขณะนี้มีดังนี้
1.ความไม่สงบมีผลกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อการ รัฐ ผู้นำศาสนาและ ประชาชนผู้บริสุทธิ
2. เป็นที่ทราบกันดีว่าส่วนใหญ่โดยเฉพาะเยาวชนในวันนี้ไม่มีส่วนร่วมกับอดีตประวัติศาสตร์ชาติไทย ถึงแม้ว่าในอดีตจะสร้างให้คนหลายๆ คนเป็นวีรบุรุษ หลายๆ คนเป็นอาชญากร ในอดีตของการเกิดประเทศไทยยุคปัจจุบันมีหลายรัฐ หลายเชื้อชาติ ต่อสู้กันผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ มีสุโขทัย มีอยุธยา มีกรุงรัตนโกสินทร์ มีล้านนา มีนครศรีธรรมราช มีสงขลา มีปัตตานี ประวัติมีทั้งในแง่ดีและไม่ดีละแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน
แต่ปัจจุบันหลังจากสหประชาชาติได้แบ่งประเทศทุกคนต้องยอมรับความจริง ทุกคนเป็นเจ้าของประเทศ เป็นเจ้าของแผ่นดิน ในประเทศไทยยุคปัจจุบันมีคนหลากหลายเชื้อชาติ มี ไทย, มลายู,จีน, มอญ, ฝรั่ง, ปาทาน หรืออื่นๆ บางคนมีการผสมกันระหว่างมลายูกับไทยหรือจีน จีนกับมอญหรือลาว ที่เป็นไทยแท้ดั้งเดิมจริงๆ ในประเทศไทยมีกี่เปอร์เซ็นต์และทีเป็นมลายูแท้ๆ ใน 3-4 จังหวัดชายแดนใต้มีกี่เปอร์เซ็นต์
อดีตนายกอานันท์ ปันยารชุนเคยยอมรับท่านไม่ใช่เชื่อสายไทยแท้นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรก็ไม่ใช่มาจากเชื้อสายไทยแท้ ท่านลองไปถามลูกของท่านเด่น โต๊ะมีนา คนดังๆ ใน3-4 จังหวัดชายแดนใต้หรือแม้กระทั่งตัวท่านเองดูซิว่า มาจากมลายูดั่งเดิมหรือไทยดั่งเดิม 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นบรรพบุรุษแต่ละคนอาจต่างกัน อาจมาจากแผ่นดินอื่น อาจมีการผสมผสานทางเชื้อชาติกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของคนปัจจุบัน
3. คนทุกคนไม่ว่าจะแตกต่างด้านศาสนาและเชื้อชาติแต่ทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความเป็นมนุษย์ มนุษย์ทุกคนมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีร้อน มีหนาว มีสุขและทุกข์เหมือนกัน
ในภาวะปัจจุบันเราจะต้องมองข้ามในอัตลักษณ์ของตนเอง เราจะต้องมองว่ามนุษย์ทั้งโลกเป็นพี่น้องกัน
ในศาสนาอิสลามและคริสต์มองว่ามนุษย์ทั้งโลกมาจากพ่อและแม่คนเดียวกันคืออดัมและอีฟ
ที่สำคัญมุสลิมโดยเฉพาะเยาวชนหรือเปอร์มูดอลองถามตัวเองซิว่าพระเจ้าทรงส่งศาสดามาเพื่อประทานความเมตตาแก่ใคร?
มิใช่พระเจ้าทรงส่งศาสดามาเพื่อประทานความเมตตาแก่ประชาชาติและสรรพสิ่งทั้งโลกหรือ? ความเมตตามิใช่เฉพาะมุสลิมอย่างเดียวหรือแม้กระทั่งมนุษย์อย่างเดียวเพราะคำว่าสรรพสิ่งนั้นคือทุก สิ่งทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต(โปรดดูอัลกุรอาน ซูเราะฮอัลอัมบิยาอฺ 21 : 107)
เพราะฉะนั้นวิธีการสร้างความสมานฉันท์ของคนในพื้นที่และสำหรับชนรุ่นใหม่อย่างถาวรคือศาสนเสวนามุสลิม-พุทธ หรือสานมลายู-กับมิใช่มลายูในพื้นที่ชายแดนใต้และที่สำคัญคือการสานเสวนาที่มองข้ามของความเป็นเชื้อชาติและศาสนาของตนเองโดยมองทุกคนคือเพื่อนร่วมโลกหรือมนุษย์ทั้งโลกเป็นพี่น้องกันและที่สำคัญเราควรรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง หรือมองเพื่อนมนุษย์ทุกเชื้อชาติภาษาศาสนาและวัฒนธรรมว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายที่พึงมีเมตตาธรรมต่อกัน
เพราะหากไม่รีบทำอาจจะนำไปสู่สงครามระหว่างศาสนา-เชื้อชาติได้ในที่สุด
สุดท้ายขอประณามเหตุการณ์ล่าสุดผู้ที่ฆ่าพระ ทำลายทรัพย์สินของวัดและการก่อการร้ายทุกรูปแบบเพราะเป็นการขัดคำสั่งท่านศาสดาที่ ได้เน้นย้ำไว้อย่างมากคือ อย่าฆ่าสตรี เด็ก คนแก่ หรือนักบวชที่อยู่ ในโบสถ์ของเขา และห้ามตัดต้นไม้
หวังว่าศาสนธรรมและสันติธรรมไม่ใช่เป็นเพียงเป้าหมายเท่านั้น แต่เป็นวิถีทางที่สำคัญในการอยู่ร่วมอย่างสันติและขอดุอาอ์(พร)จากอัลลอฮ ซุบฮานะฮุ วะ ตะอาลาโปรดทรงรวมพลังของพวกเราให้อยู่บนทางนำ และรวมหัวใจของพวกเราอยู่บนความรักฉันท์พี่น้อง และความมุ่งมั่นของพวกเราอยู่บนการงานที่ดีและขอทรงทำให้ วันนี้ของพวกเราดีกว่าเมื่อวาน และให้ พรุ่งนี้ของพวกเราดีกว่าวันนี้ แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยินและทรงอยู่ใกล้ และนำความสงบสุขสู่จังหวัดชายแดนใต้และประเทศชาติทั้งมวลด้วยเทอญ