พล.ต.
ปกรณ์ พึ่งเนตร, อาทิตย์ เคนมี : ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
แม่ทัพภาคที่ 4 ดูจะเป็นบุคคลที่ต้องสังเวยกับปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้มากที่สุด โดยหากขีดเส้นนับเฉพาะตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืน 400 กระบอก จากกองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 เป็นต้นมา จะพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงตัวแม่ทัพภาคที่ 4 ไปแล้วถึง 3 คน
กลายเป็นเก้าอี้ปราบเซียนสำหรับวงการทหารไปเรียบร้อยแล้ว!
โดยนายทหารรายแรกที่ต้องหลุดจากเก้าอี้ตัวนี้ไปแบบน้ำตาคลอเบ้า เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2547 ก็คือ พล.ท.
และผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งแทน พล.ท.พงษ์ศักดิ์ ก็คือ พล.ท.
เมื่อผลการสอบสวนของคณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งขึ้นสรุปออกมาเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 ว่าเขามีความผิดพร้อมกับนายทหารระดับสูงในพื้นที่อีก 2 นาย พล.ท.พิศาล ก็แสดงสปิริตด้วยการขอย้ายตัวเองเข้าไปประจำกองทัพบกด้วยหัวใจอันบอบช้ำ
จากนั้นรัฐบาลได้ตั้งให้ พล.ต.
ยังไม่ทันข้ามปี พล.ท.ขวัญชาติ ซึ่งเคยได้รับความไว้วางใจให้ควบตำแหน่งผู้อำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผอ.สสส.จชต.) ตามโครงสร้างใหม่ ก็กระเด็นตกเก้าอี้ไปอีกคน!
น่าสนใจตรงที่ว่า การเปลี่ยนแปลงตัวแม่ทัพภาคที่ 4 คนก่อนๆ ล้วนมีเหตุผลเพียงพอที่จะอธิบายกับสังคมได้ แต่การปลด พล.ท.ขวัญชาติ ในครั้งนี้ สร้างความกังขาให้กับฝ่ายต่างๆ ไม่น้อย ว่ารัฐบาลตัดสินใจด้วยเหตุผลอะไร
เพราะสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ณ ปัจจุบันก็คือ สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุเลาเบาบางลงไปค่อนข้างมาก เหตุรุนแรงรายวันลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้จะถูกมองว่าเป็นเพียงภาวะ "ชั่วคราว" ก็ตาม
หันไปดูยุทธศาสตร์ด้านงานมวลชน ก็จะพบว่ายุคของ พล.ท.ขวัญชาติ ถือเป็นยุคที่มีแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบ และเยาวชนที่หลงผิด ออกมามอบตัวกับทางการมากที่สุด
ขณะที่การทำงานกับฝ่ายตำรวจซึ่งนำทีมโดย พล.ต.ท.
ถึงนาทีนี้ เหตุผลที่พอเป็นไปได้ จึงน่าจะมีเพียงประการเดียว คือการเข้ามากุมบังเหียนกองทัพบกของ พล.อ.
แหล่งข่าวซึ่งเป็นนักวิชาการด้านความมั่นคงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนตัวแม่ทัพภาคที่ 4 เที่ยวนี้ น่าจะมาจากการที่ พล.อ.สนธิ อยากได้ผู้ที่มีวิสัยทัศน์ใหม่ในการแก้ไขปัญหา
"ผู้ใหญ่ในกองทัพและในรัฐบาลอาจจะมองว่า ปัญหาภาคใต้จะใช้กรอบคิดเดิมๆ มาแก้ไม่ได้อีกแล้ว แต่ต้องใช้แนวทางใหม่เข้ามาจัดการ เพราะทั้งสถานการณ์โลกและสถานการณ์ในประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งตั้งแต่ พล.อ.สนธิ เข้ามารับตำแหน่ง ก็พยายามปรับเปลี่ยนการจัดวางกำลังในพื้นที่มากพอสมควร"
แหล่งข่าวคนเดียวกัน ยังมองว่า ปัญหาอีกด้านหนึ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุของการปลด พล.ท.ขวัญชาติ ก็คืองานด้านการข่าวที่ค่อนข้างล้มเหลว
"ต้องยอมรับว่า ถึงวันนี้การข่าวของกองทัพยังไม่ทันกับสถานการณ์ และไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ เพราะที่ผ่านมายังคงเกิดเหตุรุนแรงในระดับปิดเมือง หรือปิดอำเภอโจมตีหลายครั้ง โดยที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่แทบไม่รู้ล่วงหน้า" แหล่งข่าว กล่าว
การวิเคราะห์ของนักวิชาการด้านความมั่นคง ดูจะสอดคล้องกับความเห็นของแหล่งข่าวระดับสูงจากกองทัพ ที่มองว่า การย้าย พล.ท.ขวัญชาติ น่าจะมาจากเหตุการณ์รุนแรงที่บ้านตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งมีนาวิกโยธินเสียชีวิต 2 นาย อันถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของฝ่ายรัฐ
และหลังจากนั้นยังเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการถล่มสถานที่ราชการใน อ.บันนังสตา จ.ยะลา การลอบวางระเบิดเกือบ 20 จุดใน จ.นราธิวาส รวมทั้งเหตุสังหารหมู่ 9 ศพที่บ้านกะทอง ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
แหล่งข่าวผู้นี้ ยังเห็นว่า การดัน พล.ต.
ด้าน ดร.
"ยิ่งเป็นการทำงานใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยแล้ว ยิ่งจำเป็นต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก ดังนั้นการโยกย้ายจึงไม่ควรจะเกิดขึ้นในอัตราถี่ขนาดนี้ ยกเว้นว่าจะเกิดความผิดพลาดอย่างรุนแรงจากการปฏิบัติหน้าที่ เช่น กรณีตากใบหรือกรือเซะเท่านั้น" ดร.ปณิธาน กล่าว
ส่วนกรณีสังหารโหด 2 นาวิกโยธินที่บ้านตันหยงลิมอ นักวิชาการผู้นี้ เห็นว่า ไม่แน่ใจว่ากรณีดังกล่าวเป็นความบกพร่องเรื่องขีดความสามารถส่วนบุคคล หรือเป็นปัญหาความขัดแย้งส่วนตัวทางการเมือง แต่เหตุการณ์ที่บ้านตันหยงลิมอก็ไม่ใช่เหตุการณ์วิกฤติถึงขนาดต้องเปลี่ยนตัวแม่ทัพ
"ถ้าไม่ใช่เหตุวิกฤติจริงๆ ก็ไม่น่าจะต้องโยกย้ายเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล เพราะจะทำให้เกิดปัญหาในเชิงโครงสร้าง" ดร.ปณิธาน ระบุ
นักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังเห็นว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการแต่งตั้งโยกย้ายมีอยู่หลายปัจจัย ซึ่งสิ่งสำคัญที่มักนำมาใช้เป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจทุกยุคทุกสมัย ก็คือความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ
"แต่ผมมองว่า สถานการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ขณะนี้ ควรเลือกผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและมีความสามารถส่วนตัวสูง มากกว่าจะเลือกบุคคลที่ใกล้ชิดกับฝ่ายรัฐบาลหรือผู้นำในกองทัพ เพราะเมื่อผู้บัญชาการคนเก่าเริ่มสร้างความคุ้นเคยในพื้นที่ได้แล้ว กลับต้องถูกย้ายออกไป ก็จะทำให้เจ้าหน้าที่ระดับล่างและประชาชนหมดขวัญกำลังใจ หรือกระทั่งอาจเกิดความรู้สึกเหินห่าง จนเกิดช่องว่างทำให้เป็นปัญหาในการทำงานในพื้นที่ได้"
ดร.ปณิธาน กล่าวด้วยว่า เท่าที่ดูยังมองไม่ออกว่าใครมีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 คนใหม่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามา ก็ยากที่จะแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้
"การเปลี่ยนม้ากลางศึกเช่นนี้ นอกจากจะไม่ส่งผลดีแล้ว ยังอาจทำให้สถานการณ์ปะทุรุนแรงขึ้นอีก รวมทั้งอาจจะมีการเคลื่อนย้ายพื้นที่การก่อเหตุเข้ามาสู่เมืองและชุมชนมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ ซึ่งจะเปิดช่องว่างให้ฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสนี้ก่อความไม่สงบได้ง่าย" ดร.ปณิธาน กล่าวทิ้งท้าย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)