Skip to main content
sharethis

 


อาทิตย์ เคนมี, ปกรณ์ พึ่งเนตร : ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย


 


วิกฤตการณ์ที่บ้านตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2548 ซึ่งเคยเป็นข่าวครึกโครมระดับประเทศ เพิ่งจะผ่านพ้นไปได้ไม่ถึง 3 เดือน แต่ผลสะเทือนของเหตุการณ์ในครั้งนั้น จนถึงวันนี้ดูจะไม่อยู่ในความสนใจของสังคมไทยมากเท่าใดนัก 


 


เช้าของวันที่ 13 ธันวาคม วันที่แสนมืดครึ้มเพราะเมฆฝนปกคลุมอยู่เต็มท้องฟ้า ผู้ต้องหาคดีก่อความไม่สงบที่บ้านตันหยงลิมอจำนวน 12 คน ถูกคุมตัวจากเรือนจำ เดินทางไปยังศาลจังหวัดนราธิวาส เพื่อฟังคำสั่งอนุญาตให้ผัดฟ้องและฝากขังต่อเป็นครั้งที่ 6 ตามคำร้องขอของอัยการ เนื่องจากยังพิจารณาสำนวนคดีไม่เสร็จสิ้น


 


บรรยากาศการขึ้นศาลของผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นไปอย่างเงียบเหงา ไม่มีกล้องทีวีมาติดตามถ่ายภาพ ไม่มีแสงแฟลชวูบวาบ และไม่มีนักข่าวมารุมล้อมขอสัมภาษณ์เหมือนเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ


 


มีเพียงครอบครัวและญาติพี่น้องของพวกเขาเท่านั้น ที่ยังหอบลูกจูงหลานมาตามเยี่ยมและให้กำลังใจกันตามประสา...


 


โชคยังดีอยู่บ้างตรงที่สภาทนายความได้ส่งทนายในเครือข่ายเข้ามาช่วยว่าความให้ ทั้งๆ ที่แต่ละคนไม่มีแม้แต่เงินจะจ้างทนายสู้คดี


 


สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 12 คน แบ่งเป็นชาย 7 คน และหญิง 5 คน ทั้งหมดเป็นชาวบ้านหมู่ 7  ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส โดยไม่มีคนนอกหมู่บ้านเลยแม้แต่คนเดียว!


 


ทั้งนี้ ผู้ต้องหาชายทั้ง 7 คน ล้วนอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์  แต่มีคนหนึ่งที่ขาพิการ ต้องใช้ไม้ค้ำยันตลอดเวลา ส่วนผู้ต้องหาหญิง มีทั้งวัยสาวและวัยกลางคน ผู้ต้องหาหญิงคนหนึ่งถูกจับทั้งๆ ที่ลูกยังไม่หย่านม ทุกวันนี้ต้องให้พ่อของเด็กดูแลแทน


 


ทั้ง 12 คนถูกตั้งข้อหาแตกต่างกันไป แยกเป็นปล้นทรัพย์ 4 คน (ปืนและทรัพย์สินของ 2 นาวิกโยธิน) ทำให้เสียทรัพย์ 2 คน (ทำลายรถยนต์ของ 2 นาวิกโยธิน) และกีดขวางการจราจร 6 คน โดยผู้ต้องหาหญิงทั้ง 5 คนถูกตั้งข้อหานี้ เพราะเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นกลุ่มสตรีมุสลิมที่ชุมนุมอยู่ในเต็นท์ปิดทางเข้าหมู่บ้าน


 


ส่วนคนที่ 6 คือชายขาพิการ ซึ่งตำรวจมีหลักฐานว่าเป็นคนช่วยตั้งเต็นท์ช่วงก่อนเกิดเหตุ!


 


เจ๊ะรอหะนิง ยูโซะ หญิงสาววัยย่าง 30 ปี มือหนึ่งจูงลูกชายอายุ 10 ขวบ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ต้องอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบไว้แนบอก ยืนพิงลูกกรงห้องขังตะโกนคุยกับสามีซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตามอำนาจพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หลังเกิดเหตุเพียงไม่กี่วัน


 


 "สามีฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย" เธอหันมาคุยกับเราเมื่อถอนสายตาจากหลังลูกกรง "เขาเป็นคนตันหยงลิมอก็จริง แต่เมื่อแต่งงานกับฉัน ก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่สายบุรี (อ.สายบุรี จ.ปัตตานี) โดยทำงานเป็นช่างก่อสร้าง"


 


เจ๊ะรอหะนิง เล่าว่า ในวันที่เกิดเหตุ สามีเดินทางกลับไปบ้านพอดี เพราะเป็นช่วงใกล้ถือศีลอด โดยเขาเป็นญาติกับเจ้าของร้านน้ำชาที่ถูกคนร้ายกราดยิงตอนหัวค่ำ และยังถูกกระสุนปืนถากๆ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยด้วย


 


ทว่าภายหลังเมื่อเหตุการณ์บานปลาย มีการจับตัวและสังหาร 2 นาวิกโยธิน สามีของเธอกลับถูกจับกุมและกลายเป็นหนึ่งในผู้ต้องหา


 


"ฉันไม่รู้ว่าสามีถูกจับได้อย่างไร เพราะเขาก็ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรทั้งสิ้น แต่เขาก็ยังหวังว่าศาลจะให้ความยุติธรรม และยกฟ้องเขาในที่สุด" เจ๊ะรอหะนิง กล่าว


 


เธอบอกด้วยว่า ตอนนี้ครอบครัวกำลังลำบากมาก แทบจะไม่มีรายได้อะไรเลย เพราะเธอไม่เคยทำงานมาก่อน เลี้ยงลูกอย่างเดียว เมื่อสามีถูกจับ เธอจึงต้องรับจ้างเย็บผ้า แต่ก็ได้เงินเพียงน้อยนิดแทบไม่พอใช้จ่าย


 


"ลูกคนเล็กของฉันเพิ่งหัดพูด อยู่ๆ  แกก็พูดขึ้นว่า แพมเพิร์สก็หมด ตังค์ก็หมด พ่อก็ไม่มี ไม่รู้จะทำไง ไม่รู้เขาไปจำมาจากที่ไหน" เจ๊ะรอหะนิง กล่าวพร้อมกับร้องไห้


 


กูสิลัน ตูแวสะมะแอ ครูโรงเรียนบ้านตันหยงลิมอ เป็นอีกคนหนึ่งที่เดินทางมาให้กำลังใจภรรยาที่ถูกจับกุมเช่นกัน


 


"เมียผมเป็นช่างตัดผ้า ไม่ได้ไปร่วมชุมนุมอะไรกับเขาเลย แต่ที่ถูกจับเพราะว่าผ้าที่มัดมือ 2 นาวิกโยธิน มีลักษณะคล้ายกับผ้าที่เมียผมตัดเท่านั้นเอง"


 


ครูวัยกลางคน กล่าวด้วยว่า จริงๆ แล้วทั้ง 12 คนถูกตั้งข้อหาไม่หนักมาก ไม่ใช่ข้อหาฆ่า 2 นาวิกโยธิน หรือเป็นกบฏแบ่งแยกดินแดน ทางเจ้าหน้าที่จึงน่าจะให้ประกันตัว


 


"ผมพยายามยื่นประกันตัวให้เมียมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ ผมไม่เข้าใจว่าข้อหาเล็กๆ น้อยๆ แค่กีดขวางการจราจรทำไมถึงไม่ยอมให้ประกัน ตอนนี้เลยกลัวว่าเวลายื่นฟ้องศาลจริงๆ อาจจะมีข้อหาอื่นเพิ่มเข้ามาอีกก็ได้" เขาตั้งข้อสังเกตเสียงเครียด


 


จากการสนทนากับญาติผู้ต้องหาอีกหลายๆ คน ต่างตั้งคำถามเป็นเสียงเดียวกันว่า เหตุใดผู้ต้องหาที่ถูกจับทั้งหมด ล้วนเป็นคนในหมู่บ้านตันหยงลิมอ ไม่ใช่คนนอกหมู่บ้านซึ่งเป็นมือที่สามดังที่เจ้าหน้าที่รัฐให้ข่าวในช่วงแรก


 


และที่สำคัญคือ เหตุใดคดีกราดยิงร้านน้ำชาซึ่งมีชาวบ้านเสียชีวิต 2 ศพ กับบาดเจ็บอีกถึง 4 คนนั้น ถึงวันนี้จึงยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ...


 


ไม่กี่นาทีหลังเดินลากตรวนไปฟังคำสั่งศาลที่อนุญาตให้ฝากขังต่อเป็นครั้งที่ 6 ผู้ต้องหาทั้ง 12 คนต่างเดินเรียงแถวกันออกมา


 


และก่อนจะก้าวขึ้นบันไดรถของเรือนจำ ผู้ต้องหาหนุ่มฉกรรจ์บางคนถึงกับโผเข้ากอดและซุกหน้าลงที่แก้มของแม่ที่มายืนรอส่ง จนผู้ให้กำเนิดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ขณะที่อีกหลายคนเดินขึ้นไปยืนบนรถ แล้วเหลียวมามองลูกเมียด้วยสายตาอาลัย ผู้ต้องหาหญิงสอดนิ้วมือลอดลูกกรงรถออกมาจับมือสามี ก่อนที่รถจะค่อยๆ เคลื่อนจากไปจนลับตา...


 


อีก 12 วันจะครบกำหนดฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 12 คนเป็นครั้งสุดท้าย โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากนั้นชะตาชีวิตของพวกเขาจะพลิกผันไปอย่างไร ในขณะที่ผู้ต้องหา 3 คนที่ถูกออกหมายจับในคดีสังหาร 2 นาวิกโยธิน กับกลุ่มคนร้ายที่กราดยิงชาวบ้านตายคาร้านน้ำชา...ยังคงลอยนวล!


  กลับหน้าแรกประชาไท 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net