นางอรทัย กล่าวว่า แม่ของตนได้ทำจดหมายร้องเรียนไปยังประธานกรรมการบริหารและผู้จัดการใหญ่บริษัทกฟผ.เมื่อปลายปี 2548 ยืนยันว่าไม่ยอมรับค่ารอนสิทธ์ตามจำนวนที่ กฟผ. จ่ายให้ และจะไม่ยินยอมให้บริษัทกฟผ.เข้ามาก่อสร้างในที่ดินของตน จนกว่าจะตกลงค่าชดเชยดังกล่าวได้ ซึ่งต่อมา กฟผ.ได้ฝากเงินค่าชดเชยไว้ที่ธนาคารออมสินในชื่อแม่ของตนซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน

"แม่ยังไม่ได้ไปเบิกเงินออกมาจากธนาคาร ก็คือเรายังไม่ยอมรับเงินจำนวนนั้น บริษัท กฟผ.จะมามัดมือชกแบบนี้ไม่ได้ ทั้งแม่ ป้าและลุง ได้ทำจดหมายบอกไปที่ผู้จัดการใหญ่ กฟผ.ตั้งแต่เดือนตุลาแล้วว่าเราไม่พอใจค่าชดเชยและเราทั้ง 3 เจ้าของที่ดินไม่ยอมให้เข้าทำงานเด็ดขาดถ้าไม่มีการตกลงกันเรื่องค่าชดเชยให้เรียบร้อยก่อน เราจะไม่ยอมออกไปเราจะขวางอยู่อย่างนี้" นางอรทัยกล่าว

เธอให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า ก่อนหน้านี้เดือนต.ค.48 บริษัทกฟผ.ก็ส่งคนมาตัดฟันต้นข้าวโพดซึ่งกำลังจะเก็บเกี่ยวไป 1 ไร่ 1 งาน เพื่อทำการส่องกล้องก่อนตั้งเสาไฟ จนกระทั่งมีการแจ้งความและจ่ายค่าเสียหายกัน

อย่างไรก็ตาม เวลาประมาณ 19.00 น.คนขับรถแมคโครได้ยินยอมกลบหลุมที่ขุดขนาดกว้าง 7 เมตร ลึก 4 เมตร ตามคำเรียกร้องของนายอรทัย แล้วจึงแยกย้ายกันกลับไป

ทั้งนี้ โครงการตั้งเสาไฟฟ้าแรงสูงของ บริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) รวมทั้งโครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติวังน้อย - แก่งคอย ของ บ.ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่กำลังดำเนินการอยู่นั้นจะต่อเชื่อมไปยังโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 ของบริษัท กัลฟ์ พาวเวอร์เจเนอเรชั่น จำกัด ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ที่ ต.บ้านป่า อ.แก่งคอย มีกำลังการผลิต 1,468 เมกกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง หน่วยแรกมีกำหนดต้องจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบในเดือนมีนาคม 2550 โครงการนี้ได้รับการคัดค้านจากชาวบ้านบางส่วนในพื้นที่อย่างหนักหน่วงมาตั้งแต่ปีทีแล้ว

สำหรับโครงการสายส่งและท่อก๊าซนั้น จะถูกวางในระยะทางกว่า 70 กม. โดยมีสายส่งอยู่ด้านบนและท่อก๊าซอยู่ด้านล่าง และการจ่ายค่าเวนคืนจะเป็นการจ่ายโดยใช้การรอนสิทธ์ คือ จ่ายแค่ครึ่งเดียวของราคาประเมิน