ภาพจาก www.manager.co.th
เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว กลุ่มนักเรียนเพื่อประชาธิปไตย ประกอบด้วยตัวแทนนักเรียนจากสถานศึกษาประมาณ 30 สถาบัน นำโดยนาย
โดยนายยศกล่าวว่า การออกมาแถลงการณ์ครั้งนี้ ทำในนามส่วนบุคคลไม่เกี่ยวกับสถาบันการศึกษา เพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หมดความสง่างามไม่สมควรที่จะบริหารประเทศต่อไป โดยให้เหตุผล 14 ข้อคือ
1.นโยบายประชานิยม ทำให้ประชาชนต้องพึ่งพารัฐมากเกินไป แทนที่จะยืนอยู่บนขาของตนเอง และนโยบายประชานิยมควรต่อยอดนำไปสู่รูปแบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
2.การปฏิรูปการศึกษาล่าช้า ไม่มีความคืบหน้า ไม่ก่อให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เพียงแค่มีการปรับหลักสูตรแต่เนื้อหายังไม่ทำให้นักเรียนได้คิดวิเคราะห์ หรือเปลี่ยนแปลงจากวิธีการเรียนแบบท่องจำในอดีต
"ในรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ เกิดความมัวหมองในระบบเอนทรานซ์ แม้จะมีการสรุปผลว่าข้อสอบเอนทรานซ์ไม่รั่ว แต่ก็เกิดความมัวหมองขึ้นกับระบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่สำคัญเกิดขึ้นในขณะที่ท่านเป็นรัฐบาลและเกิดขึ้นในปีที่บุตรสาวของท่านสอบเอนทรานซ์ด้วย"
3.ไม่เป็นแบบอย่างที่แข็งแกร่งในการส่งเสริมประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม สะท้อนจากคำพูดของนายกฯที่ว่า ประชาธิปไตยเป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมาย โดยมีการจำกัดเวทีในการแสดงความคิดเห็นที่ตรงกันข้ามกับรัฐบาล
4.ไม่ให้เกียรติระบบรัฐสภา ไม่เชื่อถือในกระบวนการตรวจสอบจากองค์กรอิสระ และพยายามส่งคนของตนเข้าไปครอบครององค์กรอิสระ นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เคยไปร่วมตอบกระทู้ในสภาแม้แต่ครั้งเดียว
5.ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องความประหยัด มัธยัสถ์ และสร้างค่านิยมที่ถูกต้องเหมาะสมให้กับสังคม เห็นได้จากการส่งเสริมให้คนเป็นหนี้ ใช้จ่ายมากขึ้น นอกจากนี้ยังพยายามผลักดันให้มีบ่อนการพนันที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตลอดจนการนำหวยใต้ดินเข้ามาสู่ระบบที่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งไม่ใช่ค่านิยมที่ดี
6.ไม่มีภาพของผู้นำทางศีลธรรม จริยธรรม และคุณธรรม จากกรณีการขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ให้นายสุวรรณ วลัยเสถียร ทนายความออกมาแถลงข่าว โดยระบุว่าไม่ได้รับมอบหมายให้มาตอบเรื่องงจริยธรรม แสดงให้เห็นว่านายกฯไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญทางจริยธรรม
7.เป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก จนไม่สนใจฟังเสียงของผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทั้งที่การเป็นผู้นำประเทศจำเป็นจะต้องรับฟังความเห็นที่หลากหลายเพื่อนำไปแก้ไขสิ่งที่ไม่ถูกควร แต่ที่ผ่านมาเมื่ออาจารย์มหาวิทยาลัยออกมาแสดงความเห็นทางการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มักจะตอบโต้ด้วยถ้อยคำไม่เหมาะสม
8.เป็นผู้นำเผด็จการ อำนาจนิยม นิยมใช้อำนาจและความรุนแรงในการแก้ปัญหา เช่น การแก้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่นายกฯออกมาพูดว่า โจรกระจอก เป็นต้น
9.มีผลประโยชน์ทับซ้อน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้องมากกว่าผลประโยชน์ของชาติและประชาชน
10.ความจนไม่หมดไป แต่ช่องว่างระหว่างชนชั้นกลับสูงขึ้น
11.เป็นเผด็จการทางรัฐสภา ด้วยการครองเสียงข้างมากแบบเบ็ดเสร็จ ส่งผลต่อการพิจารณา กฎหมายต่าง ๆ และทำให้ฝ่ายค้านไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้
12.ไม่รักษาสัญญาที่จะเดินหน้าปราบปรามทุจริต คอร์รัปชั่น โดยไม่จำเป็นต้องมีใบเสร็จ แต่ที่ผ่านมานายกฯใช้วิธีการปรับ ครม.เพื่อลดกระแส เห็นได้จากกรณี ซีทีเอ็กซ์ มีการปรับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แต่เป็นเพียงปรับเปลี่ยนตำแหน่งมิใช่ปรับออก รัฐบาลชุดนี้จึงเหมือนรัฐบาลเก้าอี้ดนตรี ที่ผลัดกันมาชื่นชมตำแหน่งเท่านั้น
13.ไม่คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน เช่น การแก้ปัญหากรณีตากใบ หรือการฆ่าตัดตอน เพื่อปราบปรามยาเสพติด จนสหประชาชาติรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยว่าอยู่ในสภาวะน่าหวาดระแวง และ
14.สร้างประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยแบบชี้นำ โดยยึดเอาสภาไปอยู่ในกำมือของตน เพื่อให้ออกกฎหมายให้เป็นไปตามที่ต้องการ เช่น การแก้กฎหมายให้ต่างชาติ เข้าถือครองหุ้นเพียง 2 วันก่อนที่จะเทขายหุ้นให้เทมาเส็ก เป็นต้น
นอกจากนี้ยังได้มอบฉายาให้กับทักษิณว่า "ซาตานในคราบนักบุญ" และเรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง แต่ปฏิเสธเข้าร่วมการชุมนุมที่ท้องสนามหลวงในวันที่ 26 ก.พ. ดดยให้เหตุผลว่า ต้องเรียนหนังสือและตรงกับวันสอบแอดมิสชั่น แต่หากนักเรียนคนใดจะเข้าร่วมการชุมนุมก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล และเรียกร้องให้การชุมนุมในวันดังกล่าวเป็นไปอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ และไม่นองเลือด นอกจากนี้ได้เรียกร้องให้นักเรียนร่วมกันออกมาแสดงความคิดเห็น และแสดงจุดยืนทางการเมือง เพราะการเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัวและในอนาคตทุกคนก็จะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ด้าน ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา นาย
ทั้งนี้ ทางโรงเรียนคงจะไม่ไปห้ามเด็กในการร่วมกิจกรรมใดๆ เพราะเชื่อว่าเด็กคิดเป็น ส่วนจะมีการลงโทษเด็กหรือไม่นั้น ขอให้ผู้อำนวยการ ซึ่งขณะนี้ติดราชการอยู่ในต่างประเทศเป็นผู้ให้คำตอบ
อ.จุฬาฯ - อมธ.หนุน
ด้านนาย
เช่นเดียวกับ นาย
"สันติอโศก" 9 ทัพบุกกรุง
ด้านการเคลื่อนไหวการชุมนุมในวันที่ 26 ก.พ. หลังจากพล.ต.
รัฐบาลเปิดสภาอภิปราย 7 วัน
ทางซีกฝ่ายรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม พ.ต.ท.
น.พ.สุรพงษ์ กล่าวว่า ครม.ได้ให้ความเห็นชอบต่อข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี และจะแจ้งไปยังประธานรัฐสภาเพื่อให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อฟังความเห็นดังกล่าวในโอกาสแรกเมื่อมีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญ คือวันที่ 4 มีนาคมนี้ ซึ่งการประชุมร่วมกันของรัฐสภา อาจจะเป็นวันที่ 6 มีนาคม เป็นต้นไป
สำหรับเวลาการอภิปรายนั้น เนื่องจากมีประเด็นที่หลากหลายและมีรายละเอียดมาก เพราะฉะนั้น ครม.จะเสนอให้รัฐสภาสามารถอภิปรายได้ โดยไม่คำนึงถึงเงื่อนไขเวลาของ ครม.
"หมายความว่า ถ้าจะอภิปราย 5 วัน 5 คืน หรือ 7 วัน 7 คืน ทาง ครม.ก็ยินดีที่จะรับฟังความเห็นของรัฐสภา ไม่ว่าจะกี่วันกี่คืนก็ตาม และจะให้มีการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ด้วย" น.พ.สุรพงษ์ กล่าว
ขณะที่นาย
นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า การเปิดประชุมร่วมกันไม่ใช่ว่าจะไม่อนุญาตให้ถามเรื่องต่างๆ รัฐธรรมนูญ มาตรา 213 กำหนดให้รัฐบาลต้องเป็นคนขอปรึกษา เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น ส่วนเรื่องจริยธรรมของนายกรัฐมนตรีก็ไม่ใช่เป็นเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ถ้ารัฐบาลตั้งโจทย์ถามเรื่องต่างๆ ก็สามารถนำเรื่องที่เกี่ยวข้องมาแทรกได้
.
เรียบเรียงจาก : เวบไซต์กรุงเทพธุรกิจ และ คมชัดลึก 21 ก.พ. 2549