Skip to main content
sharethis



 



ประชาไท - 24 ก.พ. 2549 วานนี้ นายธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แถลงข่าวสรุปผลการตรวจสอบการถือครองหลักทรัพย์ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ชินคอร์ป ของนายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ใน 2 มาตรา คือ มาตรา 246 และ 247



 


เนื่องจากนายพานทองแท้ ได้ทำการซื้อหุ้นชินคอร์ป จากบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสเม้นท์ จำกัด เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 จำนวนร้อยละ 24.99 โดยไม่ได้รายงานว่ามีนางสาวพิณทองทา ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนายพานทองแท้ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นแอมเพิล ริช ร้อยละ 11.21 ด้วย จึงทำให้หากนับรวมหุ้นตามกฎหมายมาตรา 258 ที่บุคคลที่เกี่ยวข้องกันถือเป็นบุคคลเดียวกันกับนายพานทองแท้ จึงทำให้การถือครองหุ้นเกินร้อยละ 25 แต่กลับไม่ทำรายงานคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ หรือ เทนเดอร์ออฟเฟอร์ และเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 45 นายพานทองแท้ ก็ได้ขายหุ้นชินคอร์ปจำนวนร้อยละ 12.5 ให้กับ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร แต่กลับรายงานเพียงการซื้อขายเท่านั้น แต่ไม่รายงานการถือครองหุ้นบริษัทแอมเพิล ริช เข้าไปด้วย


 


จึงถือว่านายพานทองแท้ กระทำผิดถึง 3 กรณี สำหรับการกระทำผิดตามมาตราดังกล่าว มีโทษทั้งจำและปรับ คือ โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท และมีค่าปรับวันละ 10,000 บาท จนกว่าจะกระทำถูกต้อง แต่ในกรณีนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์พิจารณาเห็นแล้วว่าไม่มีความรุนแรงจึงไม่ถึงโทษจำคุก


 


ในเรื่องค่าปรับที่จะต้องจ่ายนั้น เลขาฯ ก.ล.ต. กล่าวว่า ยังไม่ทราบ เพราะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ก.ล.ต. ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้แต่งตั้ง ซึ่งจะมีตัวแทนทั้งจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง อย่างไรก็ตาม คาดว่าคณะกรรมการฯ จะสรุปตัวเลขภายในสัปดาห์นี้ และ ก.ล.ต. จะแจ้งความผิดและค่าปรับให้นายพานทองแท้ รับทราบในวันเสาร์ที่ 25 ก.พ.นี้


 


ส่วนการถือครองและจำหน่ายหลักทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.พิณทองทา ทาง ก.ล.ต. สรุปว่า ไม่มีความผิดเกี่ยวกับการจะต้องยื่นรายงานการได้มาของหลักทรัพย์ รวมทั้งการที่เข้าไปซื้อหุ้นต่างๆ นั้น ไม่มีความผิดในการที่จะต้องทำคำเสนอซื้อ เพราะมีเอกสารที่ยืนยันชัดเจน


 


ในเรื่องการใช้ข้อมูลภายในเพื่อการซื้อขายหุ้น (insider) นายธีรชัย ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งกำลังตรวจสอบและยังไม่ได้แจ้งมายัง กลต. แต่ข้อสรุปในเบื้องต้นการซื้อหุ้นชินฯจากแอมเพิลริชของนายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา ในราคา 1 บาท ซึ่งต่ำกว่าตลาด และขายหุ้นออกไปในราคา 49.22 บาท นั้นเป็นการซื้อขายกันนอกตลาดหลักทรัพย์และถือเป็นหุ้นบริษัทที่ทั้ง 2 คน ถือหุ้นอยู่รวมกัน 100 เปอร์เซ็นต์ จึงไม่เป็นการสร้างความเสียหายให้กับผู้ใด และไม่เข้าข่ายการใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้นชิน รวมถึงกรณีที่หลังการขายหุ้นชินฯให้กับกลุ่มเทมาเซคแล้วมีการโอนหุ้นระหว่างบริษัทซีด้า โฮลดิ้งและบริษัทแอสแปน โฮลดิ้ง ในคำเสนอซื้อหุ้นชินฯทั้ง 2 บริษัทได้ระบุในเทนเดอร์ออฟเฟอร์แล้วว่าเป็นกลุ่มบริษัทในเครือเดียวกันกับเทมาเสก จึงไม่ต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์


 


นายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นเกี่ยวกับผลการตัดสินของ ก.ล.ต. ว่า ผลตัดสินของ ก.ล.ต.เปรียบเสมือนการล้างมลทินให้แก่ครอบครัวชินวัตร และ นายกรัฐมนตรี แต่จะไม่สามารถลดกระแสความไม่พอใจ และสกัดกั้นไม่ให้คนออกมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลได้


 


ด้าน นายวรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ แสดงความเห็นว่า คำแถลงผลตรวจสอบกรณีลูกนายกรัฐมนตรีกับหุ้นชินฯ ของก.ล.ต.ในวันนี้ เปรียบเสมือน"ขนมหวานสอดไส้ยาขม"ที่ตัดสินว่าลูกนายกรัฐมนตรีผิด แต่ลงโทษเพียงถูกปรับ  โดยนายวรากรณ์ มองว่า การตัดสินของ ก.ล.ต. เปรียบเหมือนกรรมการตัดสินกีฬาที่มีความเกรงใจผู้เล่น แต่ก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ เพราะนักลงทุนต่างชาติกำลังจับตาอยู่


 


  


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net