Skip to main content
sharethis


โดย ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์  

 


นับตั้งแต่ "ปรากฎการณ์สนธิ" ได้ยกระดับเป็นการจัดตั้ง "พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ความเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลก็ดูจะเติบใหญ่ขึ้นทุกระยะ ถึงขั้นที่สามารถจัดชุมนุมใหญ่แบบยืดเยื้อ โดยมีจุดหมายอยู่ที่การขับไล่นายกรัฐมนตรีได้ จากเดิมที่ใครต่อใครต่างก็ไม่แน่ใจว่า สถานการณ์ทั้งหมดจะปิดฉากลงอย่างไร


 


โดยปกติของการเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้น นักเคลื่อนไหวทุกคนรู้ดีว่า เป้าหมายแบบนี้หมายถึงการผลักขบวนให้เดินไปสู่จุดหมายบางอย่างที่ล่าถอยไม่ได้, นำไปสู่การเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างเต็มที่ หรือพูดอีกอย่างก็คือ มีโอกาสที่จะประจันหน้าคนกลุ่มที่กุมกลไกรัฐและการปราบปรามโดยตรง


 


จริงอยู่ รัฐบาลทรราชย์ในอดีต คือฝ่ายที่ริเริ่มใช้ความรุนแรงต่อประชาชน จึงไม่มีประชาชนหรือผู้นำชุมนุมรายไหนที่ควรถูกกล่าวหาว่า "พาคนไปตาย" อย่างที่เคยเกิดในสมัย 6 ตุลาคม 2519 หรือพฤษภาคม 2535


 


อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงมีอยู่ว่า ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองขนาดใหญ่ทั้งหมดนั้น ผู้นำการชุมนุมไม่ได้มีหน้าที่เพื่อต่อสู้ทางการเมืองเพียงอย่างเดียว หากยังมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อผู้ร่วมชุมนุมทุกคน


 


ในฐานะที่ผู้เขียนเคยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม ศึกษาเรื่องการเมืองและประชาธิปไตย รวมทั้งคุ้นเคยกับมิตรสหายในพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาบ้าง จึงขอเสนอความเห็นต่อการชุมนุมในขณะนี้สักเล็กน้อย


 


ข้อแรก การเคลื่อนไหวปี 2549 แตกต่างจากการเคลื่อนไหวเดือนพฤษภาคม เพราะคู่ต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการทหารที่นายกรัฐมนตรีควบคุมอำนาจ 3 เหล่าทัพและตำรวจได้อย่างเข้มแข็ง หากคือรัฐบาลของนายทุนขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มว่า ไม่สามารถจะคุมกองทัพทั้งหมดได้อย่างเต็มที่ คุมได้ก็แต่ผู้นำกองทัพปีกที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอง


 


เฉพาะในข้อนี้ ยุทธวิธีการเคลื่อนไหวจึงไม่จำเป็นต้องเร่งรัดให้เกิดเผชิญหน้าระหว่างผู้ชุมนุมกับรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่อาจคิดถึงการชุมนุมเพื่อตรึงพื้นที่ที่มีลักษณะยืดเยื้อ เพื่อที่จะฉวยใช้ความไม่ลงรอยของชนชั้นนำ ให้เป็นประโยชน์ทางการเมืองกับฝ่ายผู้ชุมนุมให้มากที่สุด


 


ข้อสอง ด้วยเหตุที่เป้าหมายของการต่อสู้ของปี 2535 อยู่ที่การขับไล่เผด็จการทหาร ขณะที่ผู้นำของฝ่ายต่อต้านก็คืออดีตนายทหารที่มีอิทธิพลต่อแกนนำส่วนอื่นอย่างสำคัญ ยังผลให้ความเคลื่อนไหวถูกกำหนดบนฐานการคิดแบบนี้ นั่นก็คือฐานคิดที่มองการชุมนุมบนถนนราชดำเนินแบบเดียวกับการรบยามสงคราม


 


ในปี 2549 ประชาชนไม่ได้เผชิญกับเผด็จการทหาร จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้นำการชุมนุมจะคิดถึงการต่อสู้แบบเดียวกับปี 2535 หากควรกำหนดขั้นตอนการเคลื่อนไหวโดยตระหนักว่า การเมืองแตกต่างจากการทหาร เพราะขณะที่ทหารมุ่งแย่งชิงพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ การต่อสู้ทางการเมืองกลับมุ่งช่วงชิงความชอบธรรมและความยอมรับในสังคม ก่อนที่จะอาศัยความเห็นพ้องต้องกันนี้ไปกดดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง


 


พูดให้สั้นที่สุด ไม่จำเป็นที่ขบวนการ 2549 ต้องหมกมุ่นอยู่แต่การเดินขบวนเพื่อยึดพื้นที่ เพราะไม่ใช่มีแต่การยึดพื้นที่เท่านั้นที่จะสามารถกดดันนายกรัฐมนตรี


 


ในข้อนี้ แม้ประชาชนจะมีสิทธิโดยชอบที่จะชุมนุม, ปิดถนน และเดินขบวนได้ แต่ผู้นำการชุมนุมมีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ในอันที่จะป้องกันไม่ให้การใช้สิทธินี้ กลายเป็นการประจันหน้าทางการเมืองและความรุนแรง


 


ข้อสาม ผู้ร่วมชุมนุมในปี 2535 จำนวนมากมีสายสัมพันธ์กับองค์กรจัดตั้ง, มูลนิธิ, สหภาพ, สมัชชา, และพรรคการเมืองต่างๆ ทำให้การตัดสินใจชุมนุมเป็นเรื่องของการตกลงร่วมกันในหมู่ผู้นำและนักเคลื่อนไหวจำนวนน้อยจากองค์กรแบบนี้


 


ขณะที่โดยส่วนใหญ่ของผู้ร่วมชุมนุมในปี 2549 ไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรอะไรทั้งนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่นักเคลื่อนไหวและนักปราศรัยไม่กี่คนจะผูกขาดกำหนดทิศทางของการชุมนุมทางการเมือง ในประเด็นนี้


 


ควรตระหนักด้วยว่า จุดแข็งที่สุดของขบวนการ 2549 คือ การเป็นขบวนการต่อสู้ในรูปเครือข่ายที่แต่ละฝ่ายแต่ละองค์กรล้วนมีลักษณะจัดตั้งตัวเอง (self-organization) ถึงขั้นที่คนแทบทุกฝ่ายได้เริ่มเคลื่อนไหวและแสดงจุดยืนต่อต้านนายกรัฐมนตรีโดยเป็นเอกเทศมาอย่างกว้างขวาง จึงเป็นหน้าที่ที่ผู้นำการชุมนุมต้องตระหนักถึงจุดแข็งนี้ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้นำและผู้แทนของคนกลุ่มย่อยฝ่ายต่างๆ มีบทบาทนำการชุมนุม


 


อย่าลืมว่า การมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง คือวิธีการที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้การชุมนุมวันที่ 26 ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้นำที่คาดเดาพฤติกรรมไม่ได้ ซ้ำยังป้องกันไม่ให้ใครก็ตามกำหนดการเคลื่อนไหวโดยคิดถึงแต่ชัยชนะทางยุทธวิธี


 


ข้อสี่ การเดินขบวนจากสนามหลวงไปถนนราชดำเนินในวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 เกิดขึ้นเมื่อผู้นำการชุมนุมบางคนอ้างว่า ประชาชนไม่อาจชุมนุมอยู่กับที่ได้ เพราะความรู้สึกต่อต้านเผด็จการได้สุกงอมอย่างเต็มที่, เพราะประชาชนพร้อมจะสู้โดยไม่เสียดายชีวิต ฯลฯ


 


อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงในวันนั้นมีอยู่ว่า ไม่เคยมีใครถามประชาชนว่า พวกเขาคิดอย่างไร ในการต่อสู้ทางการเมืองขนาดใหญ่นั้น เป็นไปได้มากที่บรรยากาศและปริมาณของผู้คนจะกระตุ้นให้ผู้นำชุมนุมเห็นว่า ผู้ร่วมชุมนุมต้องการชัยชนะทางการเมืองโดยวิธีการเฉียบพลัน เกิดเป็นภาพลวงตาว่า ประชาชนรับการชุมนุมลักษณะยืดเยื้อไม่ได้ แล้วผลักการเคลื่อนไหวทั้งหมดไปสู่ทิศทางที่ในที่สุดแล้วทำลายเจตนารมณ์ของการเคลื่อนไหวเอง


 


ในวันที่ 17-18 พฤษภาคม หลังจากรัฐบาลเผด็จการทหารปราบปรามผู้ชุมนุมไม่นานนัก และในขณะที่ "ผู้ชายเดือนพฤษภา" บางคนหนีหายไป ประชาชนหันไปรวมตัวกันใหม่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมกับความคาดหวังที่แพร่สะพัดไปทั่วกรุงเทพว่า ทหารบางส่วนจะออกมาปฏิวัติเพื่อล้มล้างรัฐบาลเผด็จการของ พล..สุจินดา ก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะปิดฉากลงด้วยการแต่งตั้งบุคคลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี


 


บทเรียนจากเดือนพฤษภาคม 2535 แสดงให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่แปรสภาพเป็นการเดินขบวน, การประจันหน้า และการปะทะอย่างไม่จำเป็น ท้ายที่สุด ย่อมผลักดันให้คนทั้งหมดมองไม่เห็นทางเลือกอื่น นอกจากรอคอยความช่วยเหลือจากทหารและชนชั้นนำในสังคม


 


อ่านมาถึงตรงนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คงเห็นว่าผู้เขียนกำลังพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับฐานคิด ส่วนเป้าหมายของการพูดนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้การชุมนุมผลักตัวเองไปสู่สถานการณ์ที่เสี่ยงต่อความรุนแรงโดยไม่จำเป็น


 


แน่นอนว่าไม่มีผู้นำการชุมนุมคนไหนอยากให้การชุมนุมปิดฉากลงอย่างโหดร้าย เพราะความโหดร้ายและการสูญเสียของผู้ร่วมชุมนุมจะตามหลอกหลอนมโนธรรมสำนึกของผู้นำการชุมนุมไปตลอดชีวิต


 


เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียแบบนี้ ผู้นำการชุมนุมจึงพึงหลีกเลี่ยงวิธีคิดและวางแผนการชุมนุมแบบนักการทหาร ระวังระไวมายาคติและภาพลวงตาแบบนักยุทธวิธีทางการเมือง แต่ควรคิด, สำรวจ, และสร้างความเป็นไปได้ทางการเมืองทุกชนิดที่จะทำให้เจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนปรากฎเป็นจริง


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net