โดย นิตยสารรายสัปดาห์ 'พลเมืองเหนือ'
เสียงปี่กลองของการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 กับเสียงโห่ร้องให้พ.ต.ท.
การเมืองแบบมีตัวแทนคือสิ่งที่พรรคไทยรักไทยยึดมั่น แต่สำหรับพรรคฝ่ายค้านและผู้ชุมนุมที่สนามหลวง มองถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญว่าการเมืองยุคนี้มิได้หมายถึงการกระจายการเลือกตั้ง แต่เนื้อหาแล้วคือการเมืองภาคประชาชนที่หมายถึงภาคสังคมจะต้องมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนระบบของประเทศ มิใช่ถูกริดรอน และสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่บนท้องถนนก็เป็นครรลองประชาธิปไตยหนึ่ง มิใช่การใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย
อ. นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเคยพูดไว้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน พูดถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เป็นหัวใจสำคัญในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสอดคล้องกับความก้าวหน้าในระบอบประชาธิปไตยที่ปรากฎขึ้นมาทั่วทั้งโลก ดังนั้น ความเคลื่อนไหวของประชาชนใดๆก็แล้วแต่ เพื่อที่จะมีความสามารถหรืออำนาจในการกำหนดนโยบายสาธารณะได้โดยตรง โดยไม่ต้องไปผ่านตัวระบบพรรคการเมืองก็ตาม โดยไม่ผ่านการไปร้องขอต่อระบบราชการก็ตาม การกระทำเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการเคลื่อนไหวอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ถือว่าเป็นการเมืองภาคประชาชน
อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตผู้นำนักศึกษาคนเดือนตุลา เขียนรายงานการวิจัยเรื่อง "บทบาทของการเมืองภาคประชาชนในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไทย" เมื่อปี 2547 ระบุบทบาทความสำคัญเชิงปฏิบัติของ การเมืองภาคประชาชน ในฐานะแม่กุญแจที่อาจมีศักยภาพจะช่วยไขปัญหาสำคัญของการเมืองไทยปัจจุบัน อันได้แก่ปัญหาประชาธิปไตยที่ไร้อธิปไตย ปัญหาหนึ่งรัฐสองสังคม และ ปัญหาการใช้อำนาจรัฐโดยขาดฉันทานุมัติจากประชาชน
อ.เสกสรรค์ให้คำนิยาม การเมืองภาคประชาชนไว้คือการเคลื่อนไหวอย่างมีจิตสำนึกทางการเมืองของกลุ่มประชาชน เพื่อลดฐานะครอบงำของรัฐ รวมทั้งเพื่อโอนอำนาจบางส่วนมาให้ประชาชนใช้ดูแลชีวิตตนเองโดยตรง และคือปฏิกิริยาโต้ตอบการใช้อำนาจของรัฐ และเป็นกิจกรรมถ่วงดุลอิทธิพลการครอบงำของระบบตลาดเสรีในภาคประชาชน
เนื้อแท้ของการเมืองภาคประชาชนคือประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อจำกัดขอบเขตการใช้อำนาจของรัฐ การถ่วงดุลอำนาจรัฐด้วยประชาสังคมโดยไม่ยึดอำนาจพร้อมกันนั้นก็ถ่วงดุลอำนาจของพลังตลาดหรือทุนซึ่งสังกัดประชาสังคมไปด้วยโดยช่วงชิงกับฝ่ายทุนเพื่อลดทอนและกำกับบทบาทของรัฐ แย่งกันโอนอำนาจบางส่วนที่เคยเป็นของรัฐมาเป็นของประชาชน(แทนที่จะตกเป็นของฝ่ายทุน) เพื่อใช้มันโดยตรงและไม่ต้องผ่านรัฐดังก่อน ผลักดันให้รัฐใช้อำนาจที่เหลือสนองเจตนารมณ์ประชาชน (แทนที่จะสนองผลประโยชน์ของฝ่ายทุน) ดำเนินการต่อสู้ด้วยวิธีขยายสิทธิประชาธิปไตยออกไป และย้ายจุดเน้นจากการเมืองแบบเลือกตั้งผู้แทนมาเป็นการเมืองแบบมีส่วนร่วม (ขณะที่ฝ่ายทุนใช้ตลาดเสรีเป็นฐานที่มั่นสำคัญ)
ซึ่งนิยามที่อาจารย์เสกสรรค์ได้ระบุไว้ในรายงานนั้น สอดคล้องกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
5 ปีของการขึ้นสู่ตำแหน่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย 19 ล้านเสียง เก้าอี้ส.ส.ในสภามีจำนวนมากจนปิดทางการอภิปรายของระบอบ เหมือนหันมามองถึงองค์กรอิสระที่ล้มเหลว ย้ำด้วยเหตุการณ์ขายหุ้น 73,000 ล้านของครอบครัวที่หมิ่นเหม่ต่อจริยธรรมผู้นำ มิหน้ำซ้ำเมื่อทางออกคับแคบลง การเลือกใช้วิธียุบสภาแต่มีติ่งของข้อแม้ที่บีบรัดให้จัดการเลือกตั้งอย่างกระชั้น ลามไปสู่การบอยคอตผู้สมัครของพรรคฝ่ายค้าน ยิ่งทวีให้เกิดความต้องการการเมืองภาคประชาชนยิ่งขึ้น
อาจารย์
"การเมืองในเวลานี้ ถือว่ามาถึงจุดที่เป็นทางตัน เพราะการกำหนดจัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.2549 นั้น เป็นการเร่งรัดเกินไป และยังเป็นการเลือกตั้งของพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่อาจจะมีพรรคการเมืองเล็กๆ เข้าร่วมเท่านั้น รวมทั้งก็ไม่ได้เป็นคำตอบของการแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเมืองในเวลานี้ด้วย ทั้งนี้ เพราะสิ่งที่สังคมเรียกร้อง คือ การปฏิรูปทางการเมืองที่เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย ซึ่งการหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อยู่ที่การตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย"
อ.ธเนศวร์เห็นว่าทางออกที่สง่างามที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะยุติบทบาททางการเมืองของตัวเอง
แล้วเปิดโอกาสให้ทุกฝ่าย ทั้งภาคการเมือง ภาคประชาชน และทุกภาคส่วนในสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมหารือ ว่า จะทำการปฏิรูปการเมืองอย่างไร และดำเนินการปฏิรูปให้แล้วเสร็จเสียก่อนที่จะจัดให้มีการเลือกตั้ง
"ทางออกนี้จะเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยให้รุดหน้าไปอีกก้าวหนึ่ง และทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลงจากตำแหน่งอย่างสง่างาม พร้อมกับการได้รับบันทึกว่าเป็นนักการเมือง หรือผู้นำประเทศ ที่มีความจริงใจต่อการพัฒนาประเทศ โดยภายหลังจากการปฏิรูปการเมืองและภายใต้กติกาใหม่ หาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับเข้ามาเล่นการเมืองอีกก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้"
อาจารย์
"การเลือกตั้งต้องนำไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นการเรียกร้องของภาคประชาชนต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเนื่องจากขณะนี้การเมืองวิกฤตแล้วและนักวิชาการไ้ด้ส่งสัญญาณให้รัฐบาลเห็นแล้วว่าถ้ายังเลือกให้มีการเลือกตั้งจะยิ่งเดินไปสู่ทางตันมากขึ้น รัฐบาลควรเปิดให้มีการพูดคุยกันในวงกว้างมากกว่านี้ ต้องมีเวทีให้เกิดบทบาทของฝ่ายต่างๆ มากกว่านี้"
ดร.
กลับมาที่บทวิจัยของอาจารย์เสกสรรค์ อีกครั้งในแง่ของปัญหาหนึ่งของการเมืองไทยประเด็นปัญหาฉันทานุมัติทางการเมือง ซึ่งคือการใช้อำนาจรัฐที่ฝืนมติประชาชน แม้จะโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยก็ตาม แต่จะนำไปสู่ความไม่ยอมรับ ไม่พอใจ ตึงเครียด ขัดแย้ง และเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลกับประชาชนกลุ่มต่างๆ เสมอ
เมื่อปราศจากฉันทานุมัติของประชาชนแต่ยังคงดันทุรังจะใช้อำนาจดำเนินนโยบายให้ได้ รัฐบาลก็ย่อมต้องหันไปใช้กำลังรุนแรงเข้าบังคับขืนใจ และละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนพลเมืองกลุ่มต่างๆ มากขึ้นทุกที
อาจารย์เสกสรรค์เล็งผลว่าหากทิ้งไว้ต่อไปจะนำไปสู่ภาวะอนาธิปไตย เว้นแต่ว่าจะริเริ่มคิดใหม่ทำใหม่ ต่อตัวระบอบประชาธิปไตย ในประเด็นสำคัญ 3 ประการคือ
1) ลดลักษณะประชาธิปไตยแบบตัวแทนผ่านการเลือกตั้ง เพิ่มขยายประชาธิปไตยทางตรงแบบประชาชนมีส่วนร่วมใช้อำนาจด้วยตัวเองมากขึ้น
2) สร้างกระบวนการแสวงหาฉันทานุมัติแบบต่อเนื่อง(continuous consensus) ไม่ใช่เอาแต่เลือกตั้งสี่ปีครั้ง
3) เปิดอนาคตประเทศไทยให้แก่วิถีทางพัฒนาและดำเนินชีวิตอันหลากหลาย รัฐต้องไม่ใช่อำนาจรวมศูนย์บังคับยัดเยียดวิถีพัฒนาเดียว วิถีชีวิตเดียวให้ผู้คนอันแตกต่างหลากหลายในประเทศอย่างไม่จำแนกและไม่เคารพศักดิ์ศรี และสิทธิเสรีภาพในการเลือกของผู้คน
แต่ดูเหมือนว่า รัฐบาลของพ.ต.ท.
เมื่อการเมืองไทยมาถึงจุดนี้
วันที่ 5 มีนาคม 2549 จึงเป็นวันนัดหมายของการเมืองภาคประชาชนบนท้องถนนที่น่าระทึกยิ่ง !!
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)