ภาพจาก www.manager.co.th

สถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ในตอนนี้มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา แต่ความตื่นตัวและมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนก็อาจมองได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดีของพัฒนาการทางประชาธิปไตย นำไปสู่การยกระดับการเมืองไทยขึ้นไปอีกขั้น

กลุ่มนักศึกษาที่ก่อนหน้านี้อาจดูเหมือนห่างเหินจากสังคม แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็แสดงให้เห็นว่า พลังของพวกเขาไม่ได้หายไปไหน

เป็นพลังที่ใครก็ไม่อาจมองข้าม…

ชมรมนักศึกษากับการเมืองเพื่อการพัฒนา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เริ่มประสานงานในการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อเพื่อยื่นถอดถอนนายกฯ ตามจุดยืนที่พวกเขาเชื่อว่านายกฯไม่มีความชอบธรรมอีกต่อไป ถึงเวลานี้พวกเขาก็ยังคงเดินหน้าต่อ โดยทำงานร่วมกับองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(อมธ.)ในการรวบรวมรายชื่อ นอกจากนั้นยังร่วมกับกลุ่มนักศึกษาอื่นๆ จัดกิจกรรมเสวนาเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองขึ้นทุกวันศุกร์ ภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

พงษ์พันธุ์ ชุ่มใจ จากภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดูเหมือนจะมีบทบาทอย่างมากในการขับเคลื่อนกิจกรรมเหล่านี้ ในฐานะประธานชมรมนักศึกษากับการเมืองเพื่อการพัฒนา เขากับเพื่อนๆในชมรม ร่วมกับเพื่อนนักศึกษากลุ่มอื่นๆ ได้กระตุ้นเพื่อนพี่น้องในมหาวิทยาลัยให้หันมาสนใจความเป็นไปในบ้านเมืองมากขึ้น ให้หันมาสนใจบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่ฟุตบอลยุโรปคู่บิ๊กแมตช์ หรือโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ราคาเรือนหมื่น

พงษ์พันธุ์พูดอยู่เสมอว่าเขาไม่ได้เป็นผู้นำนักศึกษา เพียงแค่อยากเปิดพื้นที่ให้เพื่อนๆได้เข้ามาเรียนรู้และแสดงความคิดเห็นร่วมกันเท่านั้น มุมมองของเขาที่มีต่อสถานการณ์การเมืองที่เป็นอยู่ เขาคิดว่าผู้คนไม่ควรหลงประเด็นว่าการยุบสภาคือชัยชนะของภาคประชาชน แต่ปัญหาอยู่ที่จำทำอย่างไรก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง จะยอมให้พวกนักเลือกตั้งหรืออำนาจธนาธิปไตยเข้ามาในสภาหรือไม่

"เราได้คิดแล้วหรือยังว่าจะสร้างประชาธิปไตยใหม่ได้อย่างไร ในการปฏิรูปการเมืองไม่ใช่แค่เพียงเอาคนๆหนึ่งออกไปแล้วปัญหาจะจบ ปัญหาอยู่ที่ตัวพลเมืองว่าพร้อมที่จะตื่นตัว พร้อมที่จะรับสถานการณ์เฉพาะได้แค่ไหน"

ยุทธพงศ์ ขันประกอบ จากสาขานิติศาสตร์ มช. ผู้ถือโทรโข่งบอกเล่าเพื่อนนักศึกษาให้รู้ถึงความโหดร้ายของข้อตกลงการค้าเสรี และสิทธิของชุมชนที่สามารถอยู่ร่วมกับป่าได้ เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มนักศึกษาที่เรียกตัวเองว่า "กลุ่มงืด"

เขาเชื่อว่านายกฯกำลังจะกลายเป็นอดีตในเร็ววัน แต่ก็เชื่อด้วยว่านายกฯจะไม่ทำอะไรโดยที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน โดยเขามองว่าแม้ดูเหมือนนายกฯกำลังพลาดท่า แต่จริงๆแล้วมีการเดินเกมการเมืองอยู่ตลอด อย่างการเตรียมปรับเปลี่ยน ครม. แต่แล้วกลับลำเป็นการยุบสภา

"หลังเลือกตั้งเขาก็น่าจะได้กลับมา แต่คะแนนเสียงไม่น่าจะเยอะเท่าเดิม เพราะคนที่เคยสนับสนุนเมื่อก่อนก็เริ่มได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ค่อยดีแล้ว กลไกการคานอำนาจอาจใช้ได้ผลมากขึ้น และอาจเอื้ออำนวยต่อการปฏิรูปการเมืองมากขึ้น"

วิทยากร บุญเรือง หรือ นนท์ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ผู้เคยรวมกลุ่มกับเพื่อนพี่น้องจัดทำจุลสารเล่มเล็กๆในชื่อ "Small" โดยตัวเขาเองเขียนทั้งบทความและเรื่องสั้นที่วิพากษ์สังคมและเสียดสีการเมืองอย่างถึงพริกถึงขิง ถึงตอนนี้เขารวมตัวกับผองเพื่อนในนามกลุ่มสื่ออิสระล้านนา จัดทำนิตยสารรายสะดวกในชื่อ "I"m Here Bookazine" ด้วยมุมมองที่เติบโตยิ่งขึ้น

นนท์มองว่าการยุบสภาเป็นแค่การแก้เกมทางการเมือง ที่จะทำให้นายกฯกลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง ซึ่งเขาเชื่อว่าระบบเลือกตั้งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ทางออกที่จะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เขามองว่าสิ่งที่นายกฯทำคือการทำลายความชอบธรรมของกลุ่มคนที่ออกมาขับไล่ ซึ่งหากนายกฯได้รับการเลือกตั้งกลับมา สิ่งที่นายกฯจะต้องพูดอย่างแน่นอน คือ "ผมก็ให้ชาวบ้านได้เลือกใหม่แล้วนี่" ซึ่งก็เหมือนกับที่อ้างถึง 19 ล้านเสียงมาโดยตลอด และสุดท้ายก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

"ในฐานะนักศึกษา ผมไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นชนชั้นกลาง แต่เป็นชนชั้นล่าง ผมคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ชาวบ้านไม่สามารถฝากความหวังไว้กับพรรคการเมืองใดได้เลย จะตั้งพรรคประชาชนขึ้นมาก็ทำไม่ได้ หากอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ภาคประชาชนจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย"

พวกเขาเหล่านี้มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน มีความสนใจพื้นฐานในเรื่องที่แตกต่างกัน ในประเด็นที่แตกต่างกัน แต่จุดร่วมเดียวกันที่พวกเขามี อาจจะเป็นความจริงที่ว่า การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยสักนิด และการเมืองที่ผันผวนครั้งนี้ ได้ทำให้พวกเขาเรียนรู้เพื่อเติบโตไปอีกระดับ.