Skip to main content
sharethis


ไชยยงค์ มณีพิลึก นายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย

ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย


 


เหตุการณ์คนร้าย 30 คน บุกเข้าเผาบ้านและฆ่าชาวไทยพุทธที่หมู่ 4 ต.มะนังยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ต่างกับการบุกเผาวัดและฆ่าพระที่วัดพรหมประสิทธิ์ ต.บ้านนอก อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เมื่อหลายเดือนก่อน จุดประสงค์ของผู้ก่อการร้ายคือ ต้องการสร้างความแตกแยกทาง เชื้อชาติ ศาสนา ต้องการให้คนไทยพุทธโกรธแค้น และกระทำการแก้แค้นคนมุสลิม เพื่อยกระดับสถานการณ์ความขัดแย้งให้บานปลายเป็นสงคราม เชื้อชาติและศาสนา อีกทั้งยังเป็นปฏิบัติการตอบโต้เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ซึ่งจับกุมและฆ่าคนในขบวนการก่อความไม่สงบ


 


จะสังเกตได้ว่ายุทธศาสตร์ และยุทธวิธีของแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือใช้วิธีสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน   ข่มขู่ให้หวาดกลัวโดยปฏิบัติการอย่างโหดเหี้ยม อาทิ ฆ่าแล้วเผา ฆ่าตัดคอ และอื่นๆ เพื่อให้ผู้ที่หวาดกลัวอพยพออกจากพื้นที่ โดยเฉพาะประชาชนที่ไม่ใช่มุสลิม เพื่อให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ปลอดจากชาวไทยพุทธ และผู้ที่อาศัยอยู่ต่อไปจะต้องเป็นแนวร่วมของขบวนการ ทั้งในรูปแบบแนวร่วมจริง และแนวร่วมจำยอม


 


กล่าวได้ว่าสถานการณ์ในขณะนี้ กำลังเป็นไปตามที่ขบวนการก่อความไม่สงบกำหนดยุทธศาสตร์ไว้ เพราะจากข้อมูลของ พล.อ.ณพล บุญทับ รองราชสมุหองครักษ์ ได้กล่าวว่า หมู่บ้านชาวไทยพุทธใน จ.นราธิวาส ขณะนี้เหลืออยู่เพียง 4-5 เปอร์เซ็นต์ บางหมู่บ้าน จากเดิมที่มีอยู่ 200 ครัวเรือน ขณะนี้เหลือเพียง 13 ครัวเรือน


 


ในขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานเทศบาลนครยะลา ระบุว่ามีผู้ที่อยู่ในเขตเทศบาลนครยะลาได้ย้ายออกนอกพื้นที่ไปแล้วประมาณ 20,000 คน ในขณะที่ผู้คนใน จ.ปัตตานี แม้จะไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน แต่พบว่า นักธุรกิจ พ่อค้า ข้าราชการ จำนวนมาก ที่โยกย้ายออกนอกพื้นที่


 


สำหรับแผนปฏิบัติการที่ขบวนการก่อความไม่สงบนำมาใช้ ก็ยังคงเป็นแผนปฏิบัติการเดิมๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งประกอบด้วยแผนใบไม้ร่วง คือการซุ่มยิง ประกบยิงเจ้าหน้าที่ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ แผนดับแสงเทียน คือการยิงครู เผาโรงเรียน แผนดับแสงธรรม คือการ ฆ่าพระ และ เผาวัด และแผนแผ่นดินมืด น้ำท่วมเมือง คือการ วางเพลิง วางระเบิด สถานีไฟฟ้า เสาสัญญาณโทรศัพท์ ระเบิดเขื่อน และ อ่างเก็บน้ำ


 


ในขณะที่ยุทธศาสตร์ของฝ่ายรัฐบาลนั้น ยังคงใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นเครื่องมือในการตรวจค้น จับกุม กวาดล้าง แนวร่วมของขบวนการเป็นหลัก โดยเชื่อว่า การจับกุมแนวร่วมได้มากขึ้น หรือการฆ่าแนวร่วมระดับแกนนำได้จำนวนหนึ่ง จะทำให้ลดจำนวนแนวร่วมและผู้บงการลงไป และส่งผลให้การปฏิบัติการก่อความไม่สงบลดน้อยลง


 


ดังนั้นเมื่อรัฐบาล เปิดยุทธการ "ตาต่อตา" ขึ้น คือการจับกุม ทุ่มกำลังเข้ากวาดล้าง ก็ยิ่งทำให้ เหตุการณ์ร้ายรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะวิธีการนี้ คือการ"สาดน้ำเข้าหากัน" บาดเจ็บ ล้มตายทั้งสองฝ่าย และยิ่งเป็นการสร้างความแค้น ความเจ็บช้ำ ให้เพิ่มขึ้น เพราะเมื่อแกนนำแนวร่วมทั้งที่เป็นอุสตาส เป็นผู้นำศาสนามีอันต้องจบชีวิตลง กระบวนการสื่อสารในพื้นที่ก็จะโหมประโคมเล่าสู่กันฟังแบบปากต่อปากว่าเป็นฝีมือใคร อีกทั้งบุคคลเหล่านี้มีเครือข่ายซึ่งประกอบด้วยญาติพี่น้อง ลูกศิษย์ ดังนั้น แทนที่จำนวนแนวร่วมจะลดลงตามจำนวนที่ถูกจับกุมมาดำเนินคดี จึงกลับกลายเป็นว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกลับเพาะสร้าง ขยายแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น


 


การแก้ปัญหากับกลุ่มก่อความไม่สงบที่มีลักษณะเป็นขบวนการและเครือข่าย อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากขบวนการภายนอกประเทศด้วยวิธีจับเป็น และจับตาย จึงไม่ใช่ทางแก้ปัญหา วิธีการนี้ใช้ได้ผลกับอาชญากรรมทั่วไปเช่น แก๊งปล้น-ฆ่า โจรกรรม เพราะยิ่งจับเป็นหรือจับตาย ได้เป็นจำนวนมาก คดีจะลดลงในทันที หรือไม่เกิดขึ้นอย่างน้อยระยะหนึ่งจนกว่าจะมีแก๊งใหม่เข้ามาแทนที่


 


แต่การใช้วิธีการ จับเป็น จับตาย กับขบวนการที่มีแนวคิดทางการเมือง ผลที่ออกมา คือ ตายหนึ่งเกิดสิบ หรือ จับร้อยเกิดพัน


 


สถานการณ์ล่าสุด เชื่อว่าเหตุการณ์ใน จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอ ของ จ.สงขลา จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากมีผู้พบเห็น พ.อ.อูเด หรือ มูหะหมัด อีเลียด ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำของ ขบวนการ เจมาห์อิสลามิยาห์ หรือ เจไอ ซึ่งเป็นนักรบรับจ้างที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดน บีอาร์เอ็นโคออดิเนต จ้างให้เป็นผู้ฝึกอบรมและวางแผนในการก่อความไม่สงบ พร้อมพวกอีก 15 คน เข้ามาเคลื่อนไหวอยู่ที่ โรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่งใน อ.ตากใบ จ.นราธิวาสเพื่อเตรียมก่อเหตุความวุ่นวายให้เกิดขึ้น


 


นอกจากเป้าหมายการก่อความไม่สงบ จะเป็นเป้าหมายแบบเดิมๆ คือ ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ เขื่อน และการฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนผู้บริสุทธิ์แล้ว เป้าหมายที่ต้องระวัง คือการทำลายการเลือกตั้งที่อาจจะมีขึ้นในวันที่ 2 เมษายน ที่จะถึง เพื่อขัดขวางมิให้มีการเลือกตั้งในครั้งนี้  ซึ่งวิธีการคือการ ข่มขู่เจ้าหน้าที่และประชาชน การทำร้ายเจ้าหน้าที่ กกต.และอื่นๆ


 


และคงเป็นหน้าที่ของ กอ.สสส.จชต. และ ศปก.ตร.ส่วนหน้า ว่าจะรับมือกับเหตุร้ายในช่วงเดือนมีนาคม จนถึงเดือน เมษายน อย่างไร จะใช้ ยุทธศาตร์"ตาต่อตา" โดยการ"จับเป็นและจับตาย" ต่อไป หรือจะหันมาใช้ "สันติวิธี" เพื่อลดความรุนแรงของสถานการณ์ก็ต้องเร่งตัดสินใจ เพราะขณะนี้ประเทศชาติและประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กำลังตกอยู่ในอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net