Skip to main content
sharethis

โดย สารส้ม


 


กกต. มีมติให้รัฐบาลกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 22 ตุลาคม 2549   มองกันว่า จะเป็นการเปิดลูกกรงเหล็กที่เคยกักขังผู้สมัคร ส.ส. ว่าต้องสังกัดพรรคเกิน 90 วัน   ทำให้ผู้สังกัดพรรคเดิมในปัจจุบัน สามารถย้ายพรรคได้อย่างอิสระก่อนจะถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า


           


พูดง่ายๆ ว่า เป็นการเปิดประตูคุก !


           


เปิดช่องทางให้ ส.ส.ที่อึดอัดกับพรรคเดิม สามารถ "คิดใหม่ทำใหม่"   ด้วยการย้ายสังกัดพรรคได้ !


 


ถามว่า   มติของ กกต.ในครั้งนี้ จะช่วยให้ กกต.ชุดนี้ กลับมามีความชอบธรรมในการจัดการเลือกตั้งใหม่ หรือไม่?


 


ตอบว่า ไม่   และอย่าแม้แต่จะคิดเชียว !


 


อำนาจตุลาการทั้ง 3 ศาล ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ออกมาแนะนำอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า   หาก กกต. ทั้ง 4 คน ลาออกไปเสีย ย่อมจะเกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมอย่างที่สุด


 


พระพุทธศาสนาไม่เคยสอนว่า ใครทำกรรมชั่วอะไรไว้ จะสามารถลบล้างผลของกรรมชั่วนั้นได้ ด้วยการก่อกรรมดี   แต่พระพุทธศาสนาสอนว่า ให้มุ่งทำกรรมดี ละเว้นกรรมชั่ว   และสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


 


ถ้าจะทำกรรมดี ก็จงทำเถิด   ผลแห่งกรรมดีย่อมจะเกิดโดยตัวของมันเอง   แต่อย่าหวังว่าจะไปลบล้างกรรมชั่วที่เคยกระทำไว้   เฉกเช่นฆาตกรที่ฆ่าคนตาย แม้ภายหลังจะทำบุญทำทานมากแค่ไหน ก็ไม่อาจไปลบล้างผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้


 


ยืนยันว่า   กกต. ที่ยังเหลืออีก 3 คน (พลเอกจารุภัทร เรืองสุวรรณ ลาออกไปแล้ว)   ยังคงขาดความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป    สมควรลาออก และจะต้องลาออก จะถือดี หรือจะอยู่เพื่อรับสนองความต้องการของ พ.ต.ท.รายใด ไม่ได้เด็ดขาด!


 


อย่างไรก็ตาม   การเสนอแนะวันเลือกตั้ง 22 ต.ค. 2549 ของ กกต. ก็น่าสนใจ


 


เมื่อประตูคุกเปิดแล้ว จะมีนักการเมืองคนใด ก๊วนใด กลุ่มใด   ย้ายเข้า-ออก พรรคการเมืองใด บ้างไหมหนอ?


 


นี่พูดในสมมติฐานว่า รัฐบาลรักษาการพรรคไทยรักไทยจะรักษาคำพูด ยืนยันกำหนดวันเลือกตั้งตามที่ กกต.เสนอ โดยไม่ตลบหลัง หรือแกล้งตะลบแตลง อย่างหนึ่งอย่างใด


 


ถ้าคิดตามประสาคนนอก   คิดตามหลักการทางการเมือง   การที่นักการเมืองรายใด จะเลือกสังกัดพรรคการเมืองใด   ย่อมจะต้องพิจารณาที่จุดยืนและอุดมการณ์ของพรรคการเมือง สถานการณ์ของประเทศ ตลอดจนนโยบายพื้นฐานและตัวบุคคลที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองนั้นๆ ด้วย ว่ามีความน่าเชื่อถือในทางการเมืองเพียงใด


 


ในหลักการแล้ว ต้องประเมินด้วยว่า   แนวโน้มความนิยมในตัวพรรค และแนวโน้มความนิยมในตัวหัวหน้าพรรค เป็นอย่างไร? และถ้าได้รับเลือกตั้งจะมีบทบาททำอะไรเพื่อสังคมได้บ้าง?


 


หากคิดตามแนวทางนี้   เชื่อว่า จะมีคนย้ายออกจากพรรคไทยรักไทย ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงขาลง   ประชาชนที่ "รู้ทันทักษิณ" ก็ขยายวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว   แล้วถ้าประเมินสถานการณ์จากผลสอบสวนของอนุกรรมการ กกต. ก็จะเห็นว่า   พรรคไทยรักไทยอาจจะได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา คือ ถูกยุบพรรค


 


ส่วนจะไปเข้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย หรือพรรคอื่นใดนั้น   สุดแต่บุญแต่กรรมของแต่ละคน


 


แต่ในโลกของความเป็นจริง   ในมุมมองของคนเป็น ส.ส.   เขาจะมองว่าตัวเขาได้สะสมบารมีในท้องที่มายาวนาน   โดยเฉพาะ ส.ส.ในระบบเขตเลือกตั้ง


 


บารมีของ ส.ส.แต่ละราย อาจจะมีฐานมาจากบรรพบุรุษ มีนามสกุลที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตาในท้องถิ่น   หรืออาจจะมาจากตัว ส.ส.เอง ที่สร้างสมบารมีในท้องถิ่นมาช้านาน


 


เรียกว่า จะลงพรรคไหน ก็ได้รับเลือกตั้ง


 


ส.ส.เหล่านี้ รู้ว่าตนมีค่า   มี "ราคาสำหรับการเลือกตั้ง"


 


แม้บางคน บางตระกูล จะถูกปฏิบัติโดยพรรคใหญ่เสมือนหนึ่งเป็น "ลูกจ้าง" มากกว่า "ผู้แทนประชาชน"   แต่ก็ยังคงสงวนท่าที เก็บงำความไม่พอใจ และประคับประคองศักดิ์ศรี เนื่องจากติดคุกด้วยกฎเหล็กเรื่อง 90 วัน


 


เมื่อประตูคุกเปิด   ส.ส.ที่คิดว่า ตนมีค่า มีราคาเหล่านี้ ก็จะหาทางเลือกที่เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง


 


คิดว่า   ถ้าอยู่พรรคไทยรักไทย ยัง "อุดมสมบูรณ์"   หาก "นายใหญ่กับนายหญิง"   เว้นวรรค แต่ไม่พักชำระค่าใช้จ่ายทางการเมือง   คนเคยได้ย่อมจะเสียดายเงิน หากจะตีจากพรรคเดิม   ปัญหาจึงมีอยู่ว่า เขาจะจ่ายน้อยกว่าเดิมสักเท่าไร และเมื่อเทียบกับพรรคอื่นแล้ว เป็นอย่างไร


 


ในขณะเดียวกัน "กระแสรู้ทันทักษิณ" และ "กระแสตุลาการกู้ชาติ"   ที่แผ่ขยายอย่างกว้างขวาง รวดเร็วพอๆ กับความตกต่ำของความน่าเชื่อถือเรื่องจริยธรรมในตัวหัวหน้าพรรคไทยรักไทย   ก็ทำให้ต้องคิดถึงการย้ายพรรค ย้ายไปสู่ชายคาที่ "บริสุทธิ์และสะอาด" กว่าเก่า


 


คอยดูให้ดีเถอะ


 


ทั้ง "สัตว์การเมือง" กับ "สัตว์เศรษฐกิจ"   ถ้าไม่มีอุดมการณ์และจริยธรรมกำกับ   โสเภณีก็น่านับถือกว่ามาก 


 


นักการเมืองไทย มีความหลากหลายทางชีวะพันธุ์อยู่มากจริงๆ


 


คงจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร   คราวนี้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net