รายงานพลเมืองเหนือ: ตรวจแนวรบท่องเที่ยวเชียงใหม่ เบนเข็มมุ่งจับตลาดกลุ่มไฮเอนด์

โดย สุธิดา สุวรรณกันธา นิตยสารรายสัปดาห์พลเมืองเหนือ

 

น้ำมันแพง ดอกเบี้ยขึ้น เงินบาทแข็งค่า เงินเฟ้อสูง และสถานการณ์ทางการเมือง นับเป็นข่าวลบ ข่าวร้ายที่มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงระยะนี้ เกือบทุกภาคธุรกิจได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้าด้วยต้นทุนเพิ่ม กำลังการจับจ่ายในตลาดลด

 

โฟกัสมาที่ธุรกิจท่องเที่ยวที่เป็นตัวกวาดเม็ดเงินเข้าประเทศเป็นอันดับต้นๆ อยู่ในภาวะถดถอยมาตั้งแต่ครึ่งแรกของปี 2548 ด้วยผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ แม้สถานการณ์ในภาพรวมจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้มีการคาดการณ์ว่าในปี 2549 นี้ ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงครึ่งหลังของปี 2548 โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยในปีนี้ไว้สูงถึง 13.8 ล้านคน ขณะที่เป้าหมายรายได้ก็วาดฝันว่าน่าจะแตะระดับ 486,332 ล้านบาท

 

แต่เมื่อก้าวเข้าไตรมาสแรกที่ผ่านมา ท่องเที่ยวในภาพรวมทั้งประเทศก็ต้องสะดุดกับเหตุการณ์การเมืองและการชุมนุมที่ยืดเยื้อ รวมทั้งเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงรัฐบาลรักษาการ ส่งผลให้ปลายไตรมาสแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวลดจำนวนลงอย่างมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากสิงคโปร์ที่ชะลอการเดินทาง และเปลี่ยนแผนหลบไปเที่ยวประเทศอื่นแทน อย่างเช่น เวียดนาม

 

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่าในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ ภาวการณ์ท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง แม้ว่าความตึงเครียดทางการเมืองจะผ่อนคลายลงในระดับหนึ่ง

 

แต่ในข้อเท็จจริงก็ยังมีหลายปัจจัยที่จะมีส่วนสำคัญให้การท่องเที่ยวทั้งระบบยังคงชะลอตัวต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังเพิ่มขึ้นไม่หยุด เป็นปัจจัยที่กระทบต่อเศรษฐกิจของเกือบทุกประเทศในระยะนี้ ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมาไทยได้สูญเสียตลาดบางส่วนไปให้ประเทศอื่น ดังนั้นการจะดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มเดิมกลับมาจึงเป็นเรื่องยาก อีกปัจจัยที่จะเป็นตัวบั่นทอนการท่องเที่ยวของไทยคือ การแข่งขันฟุตบอลโลกระหว่างวันที่ 9 มิถุนายน - 9 กรกฎาคม 2549 ที่ประเทศเยอรมนี ทำให้นักท่องเที่ยวชะลอแผนการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อติดตามชมการแข่งขันฟุตบอล

 

สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า สถานการณ์ทางการเมืองจะคลี่คลายลง และมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศต่อไป ส่งผลดีต่อบรรยากาศด้านการท่องเที่ยวของไทย และเกื้อหนุนต่อการขยายตัวของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประมาณ 6.65 ล้านคนเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากปี 2548 หากทุกฝ่ายร่วมมือกันเร่งแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ รวมทั้งเร่งส่งเสริมด้านการตลาดต่างประเทศ ควบคู่กับการพัฒนาสินค้าทางการท่องเที่ยวใหม่ๆ โดยเน้นตลาดที่มีศักยภาพสามารถสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวจำนวนมากเข้าประเทศได้อย่างรวดเร็ว อาทิ ตลาดประชุมสัมมนา และตลาดท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลจากประเทศจีน ตลาดฮันนีมูนและตลาดนักกอล์ฟจากประเทศแถบเอเชีย โดยเฉพาะเกาหลีใต้ที่มีลู่ทางขยายตัวได้อีกมาก และตลาดพำนักท่องเที่ยวระยะยาวจากประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย และประเทศญี่ปุ่น

 

จากแนวโน้มดังกล่าวข้างต้น ทำให้คาดว่าโดยรวมตลอดทั้งปี 2549 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยรวมทั้งสิ้นประมาณ 12.5 ล้านคนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากปี 2548 และก่อให้เกิดรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าประเทศคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 468,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากปี 2548

 

จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆของประเทศ ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงภาวการณ์ท่องเที่ยวถดถอย เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวบอกว่านักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปจำนวนมากตั้งแต่ต้นปี และพบว่าประเทศเป้าหมายใหม่ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มให้ความสนใจคือ เวียดนามและลาว ที่มีไฮไลท์สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมงดงามไม่แพ้เชียงใหม่

 

แน่นอนว่าท่ามกลางปัจจัยลบต่างๆ มากมายที่ถาโถมเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ การปรับกลยุทธ์ทางการตลาดนับเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดได้

 

วรพงษ์ หมู่ชาวใต้ เลขาธิการสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเชียงใหม่ บอกว่า ปีนี้การท่องเที่ยวของเชียงใหม่เข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่นเร็วกว่าปกติ ซึ่งพบว่าโปรแกรมการท่องเที่ยวของตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ถูกยกเลิกมาตั้งแต่ช่วงต้นปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมือง และราคาน้ำมัน ซึ่งเมื่อสมทบกับภาวะที่รัฐบาลเข้มงวดเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ ทำให้ตลาดประชุม-สัมมนาของภาครัฐมีปริมาณลดลงมาก และไม่สามารถเข้ามาทดแทนตลาดนักท่องเที่ยวที่ลดลงไปมากในช่วงโลว์ซีซั่นปีนี้

 

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ การท่องเที่ยวของเชียงใหม่อาจต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ โดยมุ่งหาตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์ที่มีแรงซื้อสูง เพราะจะสามารถทดแทนมูลค่าตลาดที่เชียงใหม่เริ่มสูญเสียไป ที่สังเกตได้ชัดในระยะนี้จะเห็นว่า "บูติค โฮเต็ล" ระดับ 4 - 5 ดาว ได้มีการลงทุนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีกรุ๊ปนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงเดินทางเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งทำให้คาดการณ์แนวโน้มได้ว่าตลาดท่องเที่ยวของเชียงใหม่จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์เพิ่มมากขึ้น

 

บูติกโฮเตลมาแรงต่างชาติเล็งปักฐาน อัพเกรดเมืองท่องเที่ยวไฮคลาส

อมรดิษฐ์ สมุทรโคจร ผู้บริหารโรงแรมแทมมารีน วิลเลจ และโรงแรมราชมรรคา ซึ่งเป็นโรงแรมสไตล์บูติค ระดับ 5 ดาวในจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้กระแสการลงทุนโรงแรมขนาดเล็กหรือบูติค โฮเทล (Boutique Hotel) ในจังหวัดเชียงใหม่ยังคงได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนไทยและต่างประเทศ เนื่องจากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวปัจจุบันให้ความสนใจใช้บริการโรงแรมลักษณะนี้เพิ่มมากขึ้น เพราะจุดขายที่น่าสนใจของโรงแรมสไตล์บูติคคือความงดงามวิจิตรของสถาปัตยกรรม การตกแต่งภายในที่ดูแปลกแตกต่างมีสไตล์ แวดล้อมด้วยธรรมชาติในบรรยากาศรีสอร์ท และมีระดับของการให้บริการที่ลูกค้ามีความพึงพอใจมากที่สุด

 

ล่าสุด กลุ่มทุนจากประเทศเกาหลีได้เดินทางมาจังหวัดเชียงใหม่เมื่อเร็วๆนี้ โดยได้เข้ามาสำรวจทำเลและราคาที่ดินพร้อมศึกษารายละเอียดลู่ทางการลงทุนในเบื้องต้นแล้ว

 

ขณะที่นักลงทุนกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียประมาณ 14 - 15 ราย ก็ให้ความสนใจขยายฐานการลงทุนมายังจังหวัดเชียงใหม่ โดยทั้งหมดสนใจลงทุนก่อสร้างโรงแรมสไตล์บูติค

 

นอกจากนี้ กลุ่มทุนจากประเทศสิงคโปร์อีกประมาณ 4 รายที่ติดต่อประสานงานผ่านตน โดยทั้งหมดสนใจเข้ามาลงทุนทำธุรกิจโรงแรมระดับ 4 ดาวครึ่ง - 5 ดาว ซึ่งนักลงทุน 2 รายแรกสนใจสร้างโรงแรมสไตล์โมเดิร์น ส่วนอีก 2 ราย สนใจสร้างโรงแรมสไตล์บูติค โฮเทล ในรูปแบบล้านนา โดยได้สำรวจทำเลและราคาที่ดินเบื้องต้นแล้วเช่นกัน

 

เขากล่าวว่า การลงทุนใหม่ของนักลงทุนต่างชาติดังกล่าว คาดว่าจะเริ่มปรากฏอย่างแน่นอนภายในปี 2550 ทั้งนี้ ขนาดการลงทุนโรงแรมสไตล์บูติคส่วนใหญ่จะมีขนาดประมาณ 30 - 40 ห้อง มูลค่าการลงทุนน่าจะอยู่ระหว่าง 30 - 40 ล้านบาท ซึ่งภายในปีหน้าหากมีโรงแรมบูติคเกิดขึ้นอีก 20 แห่ง ก็คาดว่าจะมีเงินลงทุนเกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ ปัจจุบันโรงแรมสไตล์บูติคในจังหวัดเชียงใหม่เกิดขึ้นแล้วประมาณ 12 แห่ง มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ระดับ 4 - 5 ดาว ขณะที่ในปีนี้ก็ได้มีการลงทุนเกิดขึ้นอีกจำนวน 4 แห่งและเปิดให้บริการแล้ว ส่วนใหญ่มีขนาดใกล้เคียงกันคือ 30 - 40 ห้อง มูลค่าการลงทุนรวมกันราว 120 - 150 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 4 แห่งเป็นการลงทุนของกลุ่มทุนไทย ระดับราคาห้องที่ขายอยู่ระหว่าง 4,000 - 8,000 บาทต่อคืน

 

สำหรับบรรยากาศการลงทุนของจังหวัดเชียงใหม่ นั้น อมรดิษฐ์มองว่ายังคงน่าลงทุน แม้ว่าระยะนี้ประเทศไทยจะมีปัจจัยลบหลายด้านที่มีผลต่อการตัดสินใจการลงทุ แต่เชื่อว่านักลงทุนมองภาพระยะยาวเป็นสำคัญ ซึ่งนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่จะพิจารณาจากหลายปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบของการลงทุน โดยเฉพาะเชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญและเป็นเมืองประวัติศาสตร์ มีวัฒนธรรมประเพณีที่มีคุณค่า จัดเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวไม่แพ้เมืองที่ติดชายทะเล ขณะเดียวกันนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนต่างก็มีเป้าหมายของกลุ่มลูกค้าที่จะใช้บริการอยู่แล้ว ซึ่งโรงแรมรูปแบบนี้จะมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนคือนักท่องเที่ยวระดับบนหรือ High-End ที่มีกำลังซื้อสูง เท่ากับว่าจะช่วยยกระดับการท่องเที่ยวของเชียงใหม่ให้มีนักท่องเที่ยวระดับบนเพิ่มมากขึ้น ส่งเสริมศักยภาพเมืองเชียงใหม่ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีระดับมากขึ้น

 

ปางช้างแม่สาปรับกลยุทธ์ มุ่งจับตลาดเศรษฐีต่างชาติ

อัญชลี กัลมาพิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการปางช้างแม่สา กล่าวว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่นปีนี้ พบว่านักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการที่ปางช้างแม่สามีจำนวนลดลงถึง 50% ซึ่งถือว่าย่ำแย่กว่าทุกปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายด้านที่เข้ามากระทบ ขณะนี้พบว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเป้าหมายหลายประเทศเบนเข็มไปยังเวียดนามและลาวแทน ขณะที่นักท่องเที่ยวคนไทยก็ชะลอการเดินทาง เพราะปัญหาราคาน้ำมันที่ทำให้มีภาระการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น รวมถึงปัญหาทางการเมืองยังมีผลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวพอสมควร

 

สิ่งที่ปางช้างแม่สาเริ่มรับมือกับสถานการณ์ก็คือ การปรับกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ โดยมุ่งจับลูกค้าต่างชาติกลุ่มไฮเอนด์ ที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งจะเห็นว่าการลงทุนที่เกี่ยวโยงกับการท่องเที่ยวในเชียงใหม่ที่ผ่านมา โดยเฉพาะการลงทุนด้านโรงแรมระดับ 5 ดาว และโรงแรมสไตล์บูติค เกิดขึ้นอย่างคึกคัก ดังนั้น ปางช้างแม่สาจึงเห็นช่องทางที่จะดึงลูกค้ากลุ่มนี้เข้ามาใช้บริการมากขึ้นในอนาคต โดยได้ลงทุนเพิ่มเพื่อปรับปรุงกิจการในหลายๆส่วนยกระดับการให้บริการที่มีความพึงพอใจสูงสุด เพื่อรองรับตลาดกลุ่มนี้ เช่น การเพิ่มศักยภาพบุคลากร การโรดโชว์ทั้งในและต่างประเทศ และการประสานความร่วมมือกับโรงแรมต่างๆที่มีลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์

 

อัญชลีบอกว่า ขณะนี้เริ่มมีลูกค้ากำลังซื้อสูงมาใช้บริการที่ปางช้างแม่สามากขึ้น เร็วๆนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวระดับเศรษฐีจากสหรัฐ 14 คน ก็จะเดินทางเข้ามา ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเป็นกรุ๊ปส่วนตัวไม่ได้ผ่าน Travel Agency โดยกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์สนใจไม่ได้อยู่ที่การดูการแสดงความสามารถของช้างเท่านั้น แต่ที่สนใจเป็นพิเศษก็คือ การมาคลุกคลีใช้ชีวิตอยู่กับช้างประมาณ 3 ชั่วโมง หรือที่เรียกกันว่าการทำเนอสเซอรี่ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์จาสเปน และอเมริกาใต้ ก็สนใจกิจกรรมในลักษณะนี้เช่นกัน จึงน่าจะเป็นช่วงจังหวะที่จะปรับตัวตั้งรับกับลูกค้ากลุ่มนี้ได้มากขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มเดิมไว้อยู่ ที่ส่วนใหญ่นิยมกิจกรรมการแสดงความสามารถของช้าง

 

ทว่า ในช่วงวิกฤติเช่นนี้การปรับกลยุทธ์เพื่อช่วงชิงตลาดกลุ่มใหม่ที่มีกำลังแรงซื้อสูง ก็ถือเป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส และเชื่อว่าตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์จะมาแรงในตลาดท่องเที่ยวของเมืองเชียงใหม่มากยิ่งขึ้นในอนาคต

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท