ฟัง "ทักษิณ" นิด ชี้เหตุวุ่นมาจากคนมากบารมี

ประชาไท—30 มิ.ย. 2549 เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 49 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายปฏิบัติราชการให้แก่หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด และข้าราชการตั้งแต่ระดับ 10 ทหาร ตำรวจ "ประชาไท" เรียบเรียงคำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มานำเสนอ

 

0 0 0

 

การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดความเสียหาย จึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องมาคุยกัน เรื่องยุ่ง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เพราะว่าหลายคนไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง หลายคนไปยุ่งกับหน้าที่ของคนอื่น หลายคนไม่มีอำนาจหน้าที่แต่ชอบไปสั่งการในเรื่องของคนอื่น ก็เป็นสิ่งที่ทำให้วุ่นวายหมด…

 

อยากจะเน้นย้ำอีกเรื่องคือ รัฐธรรมนูญมาตรา 70 บอกว่าบุคคลผู้เป็นข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ มีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม อำนวยความสะดวกและให้บริการแก่ประชาชน แต่วันนี้หลายฝ่ายไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ที่มันมีปัญหาก็เพราะไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง

 

เอาให้ชัดอีกข้อหนึ่งก็คือมาตรา 215 บอกว่ากรณีรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งอันเกิดจากการยุบสภาก็ดี หรือหมดวาระก็ดีต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ รัฐธรรมนูญใช้คำว่าต้อง เพราะฉะนั้นไล่เราไปไม่ได้ เพราะต้องอยู่ นี่คือระบอบประชาธิปไตย

 

ตอนเป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นพี่ที่นั่งอยู่ที่นี่คงจำได้ ก่อนเข้าห้องเรียนเราบอกว่า ตายซะดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่ เพราะฉะนั้นเราละทิ้งหน้าที่ไม่ได้ ก็ต้องทำหน้าที่ต่อไป ผมอยากบอกเพื่อนข้าราชการทั้งหลายว่า เราจะต้องทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ผมไม่อยากให้ท่านต้องไปวิตกกับความสับสนวุ่นวายทางการเมืองในวันนี้ ไม่ใช่หน้าที่ของข้าราชการที่จะต้องไปห่วงความวุ่นวายทางการเมือง แต่หน้าที่หลักของท่านก็คือทำหน้าที่ของท่านตามมาตรา 70 รับพระราชดำรัสพระเจ้าอยู่หัวใส่เกล้าฯ ใส่กระหม่อม แล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย คนที่ไม่รู้จักหน้าที่ก็ต้องจัดการให้รู้จักหน้าที่ ทุกอย่างก็จะจบ ไม่มีอะไรเลย วันนี้ที่มันยุ่งกัน ก็เพราะว่าเราไปสนใจข่าวลือ ไปให้ความสำคัญกับข่าวลือ ไม่ให้ความสำคัญกับกติกาเท่าที่ควร จึงอยากจะขอให้ท่านทั้งหลายได้ตระหนักและช่วยกันทำงานต่อไป

 

ความวุ่นวายเกิดจากหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือเมื่อใดองค์กรตามปกติ ถูกองค์กรที่นอกระบบครอบงำ หรือมีอิทธิพลมากกว่าองค์กรปกติ นั้นก็จะวุ่นวาย หรือถ้าจะแปลเป็นไทยชัด ๆ ก็คือว่า วันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ในรัฐธรรมนูญ คือบุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เข้ามาวุ่นวายกับองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป มีการไม่เคารพกติกา หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า ไม่ออฟเซิร์ฟรูลออฟลอว์ ของหลายฝ่าย หลายองค์กร ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองตามหน้าที่ที่ต้องทำ บางคนไม่พอใจกติกา แต่จะขอให้แก้กติกานอกระบบประชาธิปไตย นอกระบบรัฐธรรมนูญ เป็นไปไม่ได้ ผู้เสียผลประโยชน์ใช้กฎหมู่ แต่ไม่มีคนบังคับใช้กฎหมาย ในที่สุดก็กลายเป็นการสร้างความวุ่นวาย และสร้างผลประโยชน์จากผู้เสียผลประโยชน์ใช้กฏหมู่ แต่ไม่มีคนบังคับใช้กฎหมาย ในที่สุดก็เป็นการสร้างความวุ่นวายและสร้างผลประโยชน์จากการสร้างปัญหา

 

รักษาการนายกฯยังกล่าวว่า เรายังขาดการเคารพในระบอบประชาธิปไตย เรื่องหนึ่งเสียงต่อหนึ่งคน บางคนยังเข้าใจว่า ตัวเองมีความสำคัญมากกว่าคนจำนวนมาก เพราะฉะนั้นเสียงของตัวเองต้องดัง และมีความหมายมากกว่าเสียงคนอื่น ไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชน มีคนอยากเป็นนายกฯ มาตรา 7 ทั้งๆ ที่มีพระราชดำรัสบอกแล้วว่า มาตรา 7 นั้นไม่เป็นประชาธิปไตย ก็เลยทำให้วุ่นวายกัน

ตอนท่านรองวิษณุ (เครืองาม) ท่านบวรศักดิ์ (อุวรรโณ) มาขอลาออกก็ยังพูดกับผมถึงเรื่องแรงจูงใจที่มีคนมาขอให้ออก ยังพูดถึงความพยายามที่จะมีรัฐบาลชั่วคราว แก้รัฐธรรมนูญก่อนจึงจะมีการเลือกตั้ง สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่เป็นประชาธิปไตย บางองค์กรหัวหน้าองค์กรถึงขนาดยอมทำให้ระบบขององค์กรของตัวเองเสีย เพื่อที่จะทำตามนโยบาย ผู้ที่ร้องขอบางราย

 

สังคมมีแต่ข่าวลือ ข่าวลือปล่อยไม่รู้จะปล่อยยังไง ตอนแรกข่าวลือเริ่มปล่อยทีละ 2-3 ข่าวลือ ผมก็เริ่มเครียด พอ 4-5-6 ข่าวลือ ผมก็เฉยๆ พอ 8-9-10 ข่าวลือ ผมขำแล้ว มันเยอะ จนมันจะบ้ากันแล้วสังคม เพราะฉะนั้นผมคิดว่า เมื่อก่อนนี้ผมเคยคุยกับฝรั่งๆ เคยบอกกับผมแล้วผมไม่เชื่อ ผมเถียงกับเขา เขาบอกว่าประเทศไทยเป็นรูมเมอร์ทริปเพ็นโซไซตี้ (สังคมแห่งข่าวลือ) แต่วันนี้งง ทำไมรูมเมอร์ (ข่าวลือ) มันเยอะจริงๆ วิธีการทำร้ายกันคือปล่อยข่าวลือทุกรูปแบบ

 

วันนี้ที่เล่าให้ฟัง เพราะต้องการข้าราชการเป็นหลัก ถ้าท่านจำได้ หลายท่านซึ่งวันนั้นอาจจะยังไม่เป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ เมื่อปี 2544 วันที่ผมเป็นนายกฯครั้งแรกใหม่ๆ ผมเชิญประชุมข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผมได้บอกว่า ข้าราชการต้องเป็นหลักของประเทศ การเมืองมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป แต่ข้าราชการต้องเป็นหลัก หลักคิด หลักปฏิบัติ หลักกฎหมาย หลักกติกา ทั้งหมดต้องเป็นหลัก แต่ถ้าข้าราชการไม่เป็นหลัก ประเทศเหนื่อย เพราะฉะนั้นวันนี้ผมก็เลยต้องมาเรียกร้องว่า ท่านทั้งหลายยึดหลักให้มั่นเถอะ กลับมาสู่ภาวะที่เป็นหลักชัยของประเทศเถอะ

 

วันนี้ปรากฎว่า เกิดผู้รู้ที่ไม่รู้ซะเยอะแยะ ผู้ที่เครมว่าเป็นผู้รู้ แต่จริงๆ ก็ไม่รู้เยอะแยะ แข่งกันเสนอความคิดของตัวเอง เราทิ้งหมด ทิ้งความจริง ทิ้งตัวเลข ทิ้งการวิจัยอยู่กับความเห็น ความรู้สึกมาก จนไม่รู้ว่าความถูกต้องคืออะไร เราต้องกลับมานั่งคิดกันว่า เราต้องอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ของจริงแท้ๆ ทิ้งได้เลยไอ้ความปั่นป่วน ความวุ่นวายทั้งหลาย ท่านไม่ต้องห่วง การเมืองไม่ต้องห่วงเลย เพราะยังไงระบบการเปลี่ยนถ่ายทางการเมืองจะทำได้ในโลกยุคปัจจุบันนี้ ต้องผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเท่านั้น

 

ผมจะไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่ไม่ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเด็ดขาด ผมจะขอโพรเท็กส์ (ปกป้อง) ประชาธิปไตยของชาติ เพราะผมถือว่า โลกยุคใหม่เขาให้คุณค่าคำว่า ประชาธิปไตยสูงมาก เราเป็นประชาธิปไตยมาขนาดนี้แล้ว ใครก็แล้วแต่จะนำพาประเทศถอยหลังเข้าคลอง โดยทิ้งประชาธิปไตย ผมไม่ยอม ขอย้ำอีกครั้งว่า ผมจะปกป้องประชาธิปไตยด้วยชีวิต เพราะฉะนั้นความพยายามใดๆ ที่ทำให้ประชาธิปไตยสูญเสียไปจากประเทศไทยโดยที่ขณะผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมไม่ยอมเด็ดขาด เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องวิตกเลยว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงช่วงนี้ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

 

ผมพูดเช่นนี้ ผมไม่เคยคิดยึดติดกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ผมมุ่งมั่นที่จะให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ลัทธิอื่น ระบบอื่นไม่มี เกิดไม่ได้ ตราบใดที่ผมอยู่

 

ไอ้ระบบที่ปล่อยข่าว คนนั้นคนนี้จะมาเป็นนายกฯมาตรา 7 จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านไม่ต้องไปวิตก และไม่ต้องไปเกร็งว่าท่านจะทำงานแล้วขัดใจคนนั้นคนนี้ ทำงานไปตามหน้าที่ ใครมีหน้าที่อะไรทำไปอย่างนั้น ท่านไม่ต้องห่วงเลย ผมจะเป็นนายกฯหรือไม่ ไม่สำคัญ ประชาธิปไตยต้องอยู่กับประเทศไทย การเลือกตั้งต้องมี

 

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ใครไม่ชอบเพราะแพ้การแข่งขัน อยากแก้ต้องแก้ด้วยระบอบของมัน คือระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่ว่าอยากจะแก้ด้วยวิธีอะไรก็ได้ ไม่ใช่ ถ้าฟุตบอลแพ้แล้วแก้กันอยู่เรื่อย การแข่งฟุตบอลไม่ดังขนาดนี้หรอก วันนี้ แข่งเยอรมัน คนบอกว่า โคช้ต้องเป็นคนเยอรมัน คนโบกธงต้องเป็นคนเยอรมัน อย่างนี้ไม่มีใครเล่นด้วย มันต้องมีกติกาที่เป็นสากล กติกาที่ต้องยอมรับ เมื่อเรายอมรับแล้ว ต้องเคารพ แต่เมื่อไปถึงสักระยะหนึ่ง กติกานั้นเรามองร่วมกันว่ามันมีปัญหาก็ต้องแก้กันอย่างเป็นระบบ

 

รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีข้อตำหนิ ที่จะต้องได้รับการแก้ไขแน่นอน แต่ต้องผ่านกระบวนการทางรัฐสภา คงไม่ผ่านกระบวนการอื่นแน่ ที่ผมพูดอย่างนี้ เพราะต้องการให้ข้าราชการทั้งหลายมั่นใจในการทำงานของท่าน จงทำงานต่อไป โดยที่ไม่ต้องสนใจเหลียวซ้ายแลขวาทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น เรามีข้อจุดด้อยของเราหลายอย่าง เราจะเลียนแบบฝรั่ง โดยมีกติกาเหมือนฝรั่ง แต่วัฒนธรรมเรามีความอ่อน

 

สำหรับคนเลว กติกามีไว้ให้เลี่ยง สำหรับคนดี กติกามีไว้ให้ปฏิบัติ แต่เมื่อไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย คนพาลได้ดี คนดีเสียหาย ดังนั้นการบังคับใช้กฎหมาย การทำหน้าที่ของตัวเองในกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ผมไม่ได้ว่าหน่วยงานใด หน่วยงานหนึ่ง ทั้งระบบมีปัญหา คำว่าระบบเช็คแอนด์บาลาซ์นหรือระบบถ่วงดุลของเรา กลายเป็นระบบดึงแข้งดึงขา มันยังไม่ได้เป็นระบบถ่วงดุลที่จริง ต้องพยายามทำให้มันได้ ระบบการตัดสินใจ มีอยู่ 3 ประเภท

 

คนดีรอธง ไม่มีธงไม่ทำ มันเกิดอะไรขึ้นในเมื่อกติกามันบอกแล้วว่าต้องรอธง เราก็ต้องทำตามกติกาไป คนขี้ขลาดไม่ทำอะไรเลย หลบๆ ซ่อนๆ เพราะกลัวการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เดี๋ยวจะพลาด ส่วนคนคอรัปชั่นรอตังค์ถึงจะตัดสินใจ ผมว่ามันแย่ เพราะฉะนั้นต้องแก้ ถ้าไม่แก้ตอนนี้ ตาย

 

ก็เลยขอร้องว่า ภาคราชการวันนี้ต้องเป็นหลักเข้มแข็ง ระบบที่ฝรั่งใช้ คำว่าออโตโนมีของเรามาเปลี่ยนเป็นอินดิเพนเดนท์ ซึ่ง 2 คำนี้ความหมายมันต่างกัน คำว่าออโตโนมี คือ มีอิสระในการทำงานของตัวเอง แต่ว่าตัวเองนั้นคือส่วนหนึ่งของระบบที่ไม่ได้แยกออกไปขาดจากกัน จนไม่สามารถพูดคุยกัน เราเอาออโตโนมีไปเป็นอินดิเพนเดนท์หมด ในที่สุดอำนาจของประเทศไม่ได้เช็ดแอนด์บาลานซ์ คือ กระจัดกระจายแตกแยก แบ่งส่วนแยกส่วน เราจะต้องพยายามทำอย่างไรให้เกิดความปรองดอง มองชาติเป็นสำคัญ มันต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำ พวกใครพวกมัน ถ้าปล่อยสังคมเป็นอย่างนี้ ผมว่าเหนื่อย เหนื่อยจริงๆ ระบบบริหารแบบราชการมีใช้งานมาช้านาน ถ้าเราปล่อยไว้แบบนี้ เราจะกลายเป็นหน่วยงานที่บ้าแล้ว ฉะนั้นวันนี้ขอเลย

 

ที่เชิญท่านมาวันนี้จะขอว่า สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ ขอเรียกร้องให้ข้าราชการเป็นหลัก ยึดหลักกฎหมาย อำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดระเบียบราชการกำหนดให้ท่านทำ ทำไปเถอะ ไม่ต้องรอธง และไม่ต้องกลัวการเมือง มาตรา 70 บอกว่า ท่านต้องทำตัวเป็นกลางทางการเมือง

 

ผมท้าได้เลย ข้าราชการใคร...ยกมือซิ ว่าผมเคยสั่งใครทำไม่ดีบ้าง สั่งให้คนทำไม่ดี แต่แน่นอนความบกพร่อง บริหารที่ดูแลควบคุมให้ทั่วถึง มันต้องมีแน่ แต่ว่าสั่งให้ทำไม่ดี ไม่เคย และไม่อยู่ในสมองในใจ เพราะฉะนั้นท่านทำตรงมาตรงไปเถอะ เอาละคนอยากเอาใจทางการเมือง ถ้าอยากเอาใจผม ทำตรงไปตรงมา นั้นแหละคือเอาใจ ทำให้มีประสิทธิภาพคือเอาใจ ไม่ต้องดูธง ธงมันคือระเบียบกฎหมาย กติกา สิ่งที่ระบอบประชาธิปไตยกำหนด รัฐธรรมนูญกำหนด กฎหมายเฉพาะเรื่องกำหนด ท่านทำหน้าที่ของท่านไปตรงนั้น นั้นแหละคือธง ไม่ต้องรออีกธงหนึ่งเลย ธงเดียว แล้วใครมาแอบสั่งข้าราชการ อย่าปฏิบัติ เพราะหน้าที่ของท่านทำตามนั้นแล้ว คนที่สั่งราชการของท่านคือ ผู้บัญชาการโดยตรง ประเภทแอบสั่งข้าราชการ ผมขอร้อง ทั้งคนแอบสั่งและคนสั่ง และคนปฏิบัติถือว่าไม่ถูกต้องทั้งนั้น

 

ที่บ่นนี้ บ่นเรื่องนี้คือนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ที่คนบอกว่าอำนาจมากแล้วเผด็จการ ถ้าผมมีอำนาจมาก ผมเผด็จการ ผมไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดหรอก แต่เพราะว่าอำนาจก็ต้องเป็นอำนาจในระบบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นการสั่งการต่างๆ มันไม่ใช่สั่งได้ตลอดเวลา ได้ทุกเรื่อง แต่ต้องใช้หลักบริหารจัดการเท่านั้น ที่ผมบ่นเช่นนี้ เพราะเป็นช่วงอึมครึมของประเทศจริงๆ บางคนก็โทษดวงเมือง บางคนบอกว่า ดาวเสาร์โคจรมาอยู่ราศีกรกฎ 30 ปีมีหนหนึ่ง พอเที่ยวนี้มาก็เลยวุ่น บางคนบอกว่า จะวุ่นต่อไปอีกนะ จนถึงเดือนตุลาคม ผมคิดว่า ใครจะว่าทฤษฎีไหนก็ชั่งเถอะ แต่ทฤษฎีที่แน่นอนที่สุด คือทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง เคารพกติกา ยึดพระราชดำรัส ยึดมาตรา 70 ของรัฐธรรมนูญเอาไว้ ผมคิดว่า ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพเร็วมาก ดาวเสาร์จะอยู่จะไปไม่เป็นไร แต่ประเทศไทยต้องอยู่ฟอร์เอฟเวอร์ (ตลอดไป) ประเทศไทยจะต้องอยู่จนชั่วกัลปาวสาน

 

ตัวเรา รัฐบาล ผม มีเทอม มีวาระ หลายท่านก็จะเกษียณ ของผมหมดเทอมแล้ว ยุบสภาแล้ว เลือกตั้งแล้ว ก็ต้องมาทำหน้าที่ หากไม่เลือกก็ต้องเคารพ ก็เป็นเรื่องธรรมดา กติกามี ฉะนั้นหากคนปฏิบัติตามกติกามันก็จะไม่มีอะไรเลย แต่วันนี้คนพยายามไม่ปฏิบัติตามกติกาเยอะเหลือเกิน จะด้วยเหตุกลัวมีหลายแบบ มีกลัวหลบๆ ซ่อนๆ การเมืองไป มันจะเป็นอะไรไป สู้กับความจริง อยู่ในโลกความจริง กลัวอะไร บางคนกลัว บางคนรอธง บางคนอยากเท่ห์ มีหลายแบบ ผมว่าตรงไปตรงมาดีที่สุด

 

วันนี้ที่ผมห่วงเวียดนาม ที่คนบอกว่า ยังห่างไกลเยอะ มาแรงนะครับ นี่เราไม่อยู่คนเดียวในโลกนี้นะ แล้วเราบอกว่าเราจะไม่แข่ง คนอื่นบอกว่า คุณไม่แข่งผมก็จะจับคุณแข่ง แต่เราล่อกันเองซะเหวอะหวะกันหมด แล้วจะไปแข่งใคร เพราะฉะนั้นมันถึงเวลาที่เราต้องหันกลับมาหากันแล้วว่า ทำอย่างไรทุกคนจะรู้หน้าที่ของตัวเอง และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เวียดนามที่มาแรง จีนที่มาแรง เพราะ 2 อย่าง เพราะระบบ และระบบการบริหารจัดการ หลักของการบริหาร เขายึดซิสเต็มส์ และยึดเมเนทเม็นส์ ยึดระบบ ยึดการจัดการ และเอาผลลับเป็นเป้าหมาย

 

วันนี้เราเอาผลลัพธ์เป็นเป้าหมาย แต่วันนี้เรากำลังจมอยู่ ซึ่งผมกำลังงัดอยู่ ซึ่งยากหน่อย เรายึดคำว่ากฎหมายและการเมือง ของเขาใช้ซิสเต็มและเมเนจเม้นท์ แต่ของเราใช้กฎหมายและการเมือง แทนที่จะยึดผลลัพธ์ เรากลับยึดขบวนการแทน ไม่สนใจรายละเอียด แก่นไม่เอา เอากระพี้ดีกว่า ซึ่งระบบการบริหารจัดการแบบนี้ถือว่าผิดพลาดและไปได้ช้า โลกเขาพูดกันว่า อิโคโนมี ออฟสเกล อิโคโนมีออฟสปีด ของเราจะเอาสเกล ประเทศเราแม้ไม่ใหญ่แต่ก็มีคนถึง 63 ล้านคน เศรษฐกิจอยู่ระบบ 170 ล้านล้าน แต่ความเร็วไม่มี แล้วจะไปแข่งขันกับเขาไหวหรือ ดังนั้นเราต้องกลับมาปรับระบบการบริหารจัดการ การเมืองน้อย ๆ หน่อย

 

วันนี้การเมืองเยอะ เล่นกันจนเขาไม่มีเวทีให้เล่นแล้ว ซัดกันเอง ไทยรักไทยกับประชาธิปัตย์ ฟัดอยู่นี่แหล่ะจนเขาจะยุบทั้ง 2 พรรคแล้ว ที่ผมไม่อุทธรณ์ร้อนใจอะไร เพราะเคารพการทำหน้าที่ของทั้ง 2 ฝ่าย ผมไม่อนาทรร้อนใจเพราะผมถือว่าทุกคนมีหน้าที่เคารพการทำงานในหน้าที่ไป แต่ทุกคนต้องนึกชาติในภาพรวมด้วย

 

ดังนั้นจึงอยากจะบอกว่าประเทศไทยต้อง การเมืองน้อย ๆ ผมพยายามพูดต่อสื่อมวลชนว่าต้องการเมืองน้อย ๆ หน่อย คนไทยคนกินพริก ไม่มีใครยอมใครหรอก เอ็งซัดมาก่อน ข้าซัดบ้าง เอ็งซัดกลับมาข้าซัดไป อย่างนี้ไม่มีประโยชน์หรอก และในที่สุดถามว่าเป็นใคร ก็คนไทยเหมือนกัน เป็นนักการเมืองที่อาสาประชาชนมาเหมือนกัน เขาให้อาสามาทำงาน ทำหน้าที่ ใครเป็นรัฐบาลก็ทำงานบริการประชาชน ใครเป็นฝ่ายค้านก็มีหน้าที่เสนอแนะ ตำหนิติติงในสิ่งที่ทำไม่ถูกต้อง ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้อาสามาทะเลาะกันให้ประชาชนดูเลย แต่ผลกลับมาทะเลาะกันให้ประชาชนดู ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย

 

ดังนั้นวันนี้ถึงเวลาที่ทุกคนต้องเลิกได้แล้ว ปีนี้ทุกคนปากก็พูดกันว่าเป็นปีมหามงคล ทุกคนจะช่วยกัน แต่ว่ามันยังไม่หยุดกันก็เลยอยากจะขอร้องว่า หยุดเถอะ ในที่ประชุมผมก็บอกว่าพอเถอะ หยุดเถอะ ใครอยากทะเลาะก็ปล่อยให้ทะเลาะ เราอยู่กันอย่างสร้างสรรค์ดีกว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งหยุดต่อไปก็หยุด เพราะตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก ในฝ่ายการเมืองที่ผมดูแลอยู่ ผมจะพยายามให้ฝ่ายการเมืองนิ่งให้เร็วที่สุด ซึ่งวันนี้ฝ่ายการเมืองในภาครัฐบาล ผมเชื่อว่านิ่งไปเยอะแล้ว

 

อยากจะขอให้ฝ่ายราชการทำหน้าที่ของเราตามกติกา ตามกฎหมาย และฝ่ายที่วิ่งเต้น ฟุตเวิร์คทั้งหลายก็จะหยุดเองเพราะเหนื่อย ไม่ได้อะไร พวกที่นั่งรอ ไปแอบตั้งรัฐบาล ไปชวนคนนั้นคนนี้มาเป็นรัฐมนตรีลอย ๆ ก็พักผ่อน ทุกอย่างต้องเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ไม่เป็นประชาธิปไตยไม่ได้…

 

ถ้าทุกคนปฏิบัติตามที่พูดนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่วุ่นวายวันนี้จะยุติได้เร็วมาก และขอย้ำไม่ต้องรอธงใคร ใครโบกธงมาข้ามฟากมา ตีธงหักไปเลย ไม่มีความหมาย ธงข้ามฟากไม่มีความหมาย จะมาโบกธงข้ามฝากไม่ได้ ทุกอย่างต้องมีกฎเกณฑ์กติกา พอแล้ว วุ่นวายมากแล้ว หยุดได้แล้ว

 

วันก่อนที่ผมเรียกอัยการสูงสุดมาพบ พร้อมทั้งผบ.ตร.อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรอง เพราะเป็นห่วงเรื่องความมั่นคงของชาติ ผมไม่ได้ห่วงว่าพรรคจะโดนยุบหรือไม่ยุบ คนก็บอกว่าผมให้ธงอัยการสูง ธงอยู่ท่าไหนก็ไม่รู้ยกคู่เลย อย่างที่ผมบอก เราต้องเคารพการทำหน้าที่ซึ่งกันและกัน ถ้าระบบมีเช็คแอนด์บาลานซ์มันก็จะลงตัวของมันเอง ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด นี่คือระบอบประชาธิปไตย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท