Skip to main content
sharethis

 


จดหมายถามหาความเป็นธรรม


 


 


 


เรียนพี่น้องชาวอุดรฯ ที่รักความเป็นธรรมทุกท่าน


 


เนื่องจากชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี อาศัยอยู่ในพื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตช (4 ตำบล คือโนนสูง , หนองไผ่ อำเภอเมือง นาม่วง และห้วยสามพาด กิ่งอ.ประจักษ์ศิลปาคม) ได้ร่วมกันติดตาม ตรวจสอบโครงการฯ มานานกว่า 5 ปี และพบว่าหากมีการดำเนินโครงการจะมีผลกระทบมากมาย เช่น แผ่นดินทรุดจากการขุดอุโมงค์เหมืองใต้ดินในพื้นที่บ้านเรือนไร่นา บนพื้นที่กว้างกว่า 22,437 ไร่ (และขอสัมปทานทำแร่โปแตชใต้ตัวเมืองอุดรมีพื้นที่มากกว่า 52,000 ไร่) โดยจะเอาแร่โปแตชและเกลือเปื้อนสารเคมีหลายล้านตันขึ้นมากองเป็นภูเขากองอยู่กลางชุมชนและไร่นาไม่มีหลังคาคลุม ซึ่งจะแพร่กระจายสู่ไร่นาทำให้เสียหายไม่อาจทำกินได้ การถลุงแร่จะก่อมลภาวะ ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ โรคไต โรคผิวหนัง หรือโรคติดต่ออื่นๆ ก่อปัญหาสังคมจากการอพยพแรงงาน เกิดสถานบริการเริงรมย์ ยาเสพติด อาชญากรรม ฯลฯ ทำลายวิถีเกษตรกรรมที่สงบ เรียบง่าย และพอเพียงตามแนวทางพระราชดำริขององค์ในหลวง


 


ขณะนี้โครงการเหมืองแร่โปแตชมาถึงขั้นตอนการรังวัดเขตเหมืองและโรงงานแต่งแร่ เพื่อขอสัมปทาน แต่ที่ผ่านมาดำเนินการแบบ "ลักไก่" รวมหัวกันระหว่างเจ้าหน้าที่จากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) อุตสาหกรรมจังหวัด ลูกจ้างบริษัทเอเชียแปซิกฟิก โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ บริษัทเอพีพีซี ทั้งๆ ที่ ก่อนหน้านั้นมีคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ชี้แจงขั้นตอนการดำเนินการ โดยจัดประชุมประชาคมหมู่บ้านเสียก่อน แต่ไม่มีการดำเนินการชี้แจงจนชาวบ้านต้องเข้าไปสอบถามความจริง ก็ถูกข่มขู่จากกลุ่มชายฉกรรจ์ และผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่เกณฑ์มาอำนวยความสะดวกให้เกิดการรังวัดที่ลัดขั้นตอนโดยอ้างคำสั่งผู้ว่าฯ ห้ามมาขวางมิเช่นนั้นจะโดนจับ!


 


 


เมื่อ 15 มีนาคม 2549 บริษัทฯ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับแกนนำชาวบ้านจำนวน 5 คนในข้อหา "ร่วมกันบุกรุกทำให้เสียทรัพย์" กล่าวหาว่าเข้าไปขุดทำลายหมุดปูนเสียหาย แต่ 2 ใน 5 ผู้ต้องหานั้นเป็นคู่สามี-ภรรยา โดยที่ผู้เป็นภรรยากำลังอุ้มท้องแก่ 7 เดือน (ตอนนี้คลอดแล้วได้ลูกสาวแฝด) หลังจากนั้นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้เร่งขอหมายจับเพื่อให้ได้ "ตัวผู้ร้าย" มาดำเนินคดีในเร็ววัน จนชาวบ้านต้องเข้าพึ่ง "พ่อเมืองอุดร" โดยพ่อเมืองอุดรได้ทำตกลงร่วมกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ณ ห้องประชุมชั้น 2 ศาลากลางจังหวัด มีหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ และชาวบ้านอยู่เป็นพยาน ผู้ว่ารับปากจะเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยกับบริษัทฯ ให้ถอนคดีที่เกิดขึ้น ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนและขัดแย้งมากไปกว่านี้ แต่ถึงวันนี้คดีความยังมิได้ยุติลงแต่คืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว พนักสอบสวนจะส่งสำนวนไปสู่ชั้นพนักงานอัยการ โดยมีวงเงินในการประกันตัวคนละ 200,000 บาท(สองแสนบาท) รวม 5 คนเป็นจำนวนเงินมากถึง 1,000,000 ล้านบาท(หนึ่งล้านบาท)


 


แล้วชาวบ้านจะเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน ได้แต่ร่วมแรงร่วมใจของผู้นำในชุมชน 20 ท่านเอาตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน อบต. ของตนแทนทุนทรัพย์ประกันให้ตัวชาวบ้านทั้ง 5 คนอย่างน่านับถือจริงๆ


 


น่าสลดใจยิ่งผู้คนที่อุทิศตนรักษาผืนแผ่นดินบรรพบุรุษคนอุดรไว้กลับถูกกล่าวหาว่าเป็น "ผู้ร้าย" แต่นายทุนที่มาปล้นทรัพย์สมบัติชาติกลับได้รับการเทิดทูนเพราะอำนาจเงิน และรัฐก็ยอม "เลีย" นายทุนใช้กฎหมายในมือก็เป็นเครื่องมือของนายทุน ทิ้งให้ประชาชนต้องโดดเดี่ยว แล้วยังจะหาความเป็นธรรมกับใครกันเล่า?...นอกจากลุกขึ้นสู้อย่างกล้าแข็ง


 


 


 


...ด้วยจิตคารวะ...


 


กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี


 


                                                       2 สิงหาคม 49

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net