Skip to main content
sharethis

เรียบเรียงจาก


คอลัมน์โลกาภิวัตน์แบบไม่ผูกขาด ฉบับที่ 3
บทเรียนจากต่างประเทศที่คนไทยยืมได้ ปรับใช้ได้
และเลียนแบบได้โดยไม่มีลิขสิทธิ์


โดย กอง บก. เอฟทีเอว็อทช์


  http://www.ftawatch.org/autopage1/show_page.php?t=40&s_id=4&d_id=4


 


 


 



 


 


อย่างที่ใครหลายคนเคยบอก สหรัฐฯ ทำเอฟทีเอกับไทยเพียงประเทศเดียวเสียเมื่อไหร่ เขาทำกับหลายประเทศทั้งในภูมิภาคนี้และภูมิภาคอื่น เกาหลีใต้เป็นประเทศหนึ่งที่กำลังเจรจาเอฟทีเอกับสหรัฐฯ อยู่ โดยเริ่มเจรจารอบแรกและรอบสองไปแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมที่ผ่านมา และกำลังจะเริ่มเจรจารอบสามในวันที่ 6 กันยายนนี้ หลังจากที่รัฐบาลสองประเทศประกาศในเดือนกุมภาพันธ์ก่อนหน้านั้นต่อหน้าสาธารณชนว่า จะเจรจา (ใครจะทำไม)  และจะให้เสร็จภายในมีนาคม 2550 รวมเสร็จสรรพใช้เวลาในการเจรจาไม่ถึง 1 ปี  (เปรียบเทียบกับเอฟทีเอที่เกาหลีใต้ทำกับชิลีก่อนหน้านี้ใช้เวลาเจรจา 3 ปี)  เหตุผลก็คือสหรัฐฯ ต้องการให้เสร็จทันก่อนที่กฎหมาย Trade Promotion Authority (หรือเรียกสั้นๆ ว่า Fast Track ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีในการเจรจาการค้าได้โดยสะดวก)  จะหมดอายุลง 


 


นอกจากนี้รัฐบาลเกาหลีใต้ได้ตกลงกับสหรัฐฯ ว่าจะไม่เปิดเผยรายละเอียดในข้อตกลงภายหลังจากข้อตกลงมีผลบังคับใช้ไปแล้ว 3 ปี…ใช่คะ ภายหลังจากข้อตกลงมีผลบังคับใช้ไปแล้ว 3 ปีกว่าที่ประชาชนจะมีสิทธิรู้ว่าเขาไปแอบตกลงอะไรกันไว้บ้าง


 


จึงไม่แปลก หากชาวท่องเที่ยวเว็บบอร์ดรายหนึ่งจะเขียนว่า  "คือผมเห็นข่าวนี่มาหลายวันแล้วอะคับแต่ไม่รู้ว่าเขาประท้วงอะไรกัน"  พร้อมกับโพสต์รูปจำนวนนับไม่ถ้วนไว้ รูปพวกนั้นเป็นรูปของคนในวงการภาพยนตร์เกาหลีทั้งสิ้น แต่ในอีกหลายเว็บไซด์ ปรากฏว่ามีรูปของคนเกาหลีเดินดินธรรมดายืนถือป้ายอะไรสักอย่างด้วยเหมือนกัน ท่านอาจจะตั้งคำถามเดียวกันว่า "เออ จริงด้วย…เขาประท้วงอะไรกัน" 


 


ประสบการณ์ของเกาหลีใต้บอกเราว่า  "ช่วงแรกที่ต่อต้านเอฟทีเอคิดว่าเป็นปัญหาเฉพาะเกษตรกร แต่ยิ่งศึกษา ยิ่งพบว่าเอฟทีเอมีผลกระทบต่อคนงาน ทำลายภาคบริการและภาคสาธารณะ"  "ภาคประชาชนจินตนาการเกินไปว่าจะสามารถฝากความหวังไว้กับนักการเมืองได้"  "การต่อสู้กับเอฟทีเอโดยเกษตรกรอย่างเดียวไม่มีทางชนะ…ต้องมีคนส่วนใหญ่กับฝ่ายเรา" 


 


เอ้า…จับไว้แน่นๆ  เรากำลังจะโบยบินสู่เกาหลีแล้ว


 


 


เอฟทีเอเกาหลีใต้-สหรัฐฯ : อะไร…ที่ทำให้ใครต่อใครต้องสู้ 


เกาหลีใต้เป็นประเทศในคาบสมุทรเกาหลี มีคู่แฝด (คนละฝา) คือเกาหลีเหนือซึ่งยังมีระบบการปกครองประเทศแบบเผด็จการอยู่  เกาหลีใต้เคยเป็นหนึ่งในเจ้าของฉายา "ประเทศนิกส์" หรือประเทศพัฒนาเกิดใหม่  ซึ่งใช้เวลาไม่กี่ทศวรรษก็พัฒนาก้าวกระโดดจากประเทศกำลังพัฒนาไปเป็นประเทศพัฒนา จะกระโดดเร็วขนาดไหน ดูได้จากรายได้เฉลี่ยต่อประชากรหนึ่งคนที่เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด ในปี 2506 ยังอยู่ที่ 100 ดอลลาร์ต่อปี มาในปี 2548 รายได้เฉลี่ยเพิ่มเป็นกว่า 20,000 ดอลลาร์ ปัจจุบันเกาหลีใต้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 14 ของโลก[1]


 


การทำเอฟทีเอระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯนั้นมีหลายเหตุผลประกอบกัน และแน่นอนว่าเหตุผลทางเศรษฐกิจเป็นหนึ่งในนั้น สำหรับสหรัฐฯ แล้ว เกาหลีใต้เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 7 เป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรลำดับที่ 5 ในทางกลับกัน สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 3 ของเกาหลีใต้ รองจากจีนและสหภาพยุโรป งานศึกษาของสถาบันเกาหลีเพื่อนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (Korean Institute for International Economic Policy) ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลคาดการณ์ว่าเอฟทีเอระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริง (real GDP) เพิ่มขึ้น 2% จะเพิ่มการส่งออกของเกาหลีใต้ไปยังสหรัฐฯ ได้ 15% (ขณะที่สหรัฐฯจะส่งออกมาเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 54%)[2] ทำให้การค้าขายระหว่างกันขยายตัวจาก 73 พันล้านดอลลาร์เป็น 90 พันล้านดอลลาร์ และสามารถเพิ่มการจ้างงานในภาคการผลิตได้ 6.5%[3] ขณะที่รายงานฉบับย่อของผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ระบุว่า ภายใน 15 ปีเกาหลีใต้จะเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ การทำเอฟทีเอจะทำให้สหรัฐฯมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น โดยการลดกำแพงทั้งที่เป็นภาษีและที่ไม่ใช่ภาษีลง (เช่น กฎระเบียบต่างๆ  มาตรฐานสุขอนามัย) ในตลาดสินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรมและบริการ[4]


 


แต่ยังไม่ทันที่การเจรจารอบแรกจะเริ่มขึ้น สถานะของสหรัฐฯก็ดูเหมือนจะก้าวหน้ากว่าเกาหลีใต้แล้วไปหลายแต้มเมื่อรัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศผ่านข้อตกลงที่จะเป็นประโยชน์กับสหรัฐฯอย่างน้อย 6 เรื่อง  ได้แก่


 


ข้อตกลงว่าด้วยการยับยั้งการปรับลดราคายา  (รัฐบาลเกาหลีใต้จะไม่เสนอนโยบายการกำหนดราคายาใหม่ในอนาคตอันใกล้) 


 


ข้อตกลงว่าด้วยการลดมาตรฐานเครื่องยนต์ที่หมดอายุแล้ว (ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะกระทบต่อมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม)


 


การระงับข้อพิพาทแบบบังคับในสมัชชาแห่งชาติว่าด้วยมาตรการลงโทษกรณีข้าว 


 


ข้อตกลงว่าด้วยการคืนสู่สภาพการนำเข้าเนื้อวัวสหรัฐฯ (แม้ว่ารัฐบาลเกาหลีใต้และประชาชนจะยังไม่ไว้วางใจว่าเนื้อวัวปลอดภัยจากโรควัวบ้า) 


 


ข้อตกลงว่าด้วยความยืดหยุ่นทางยุทธศาสตร์ของกองกำลังทหารสหรัฐฯในเกาหลี  (การส่งกองกำลังทหารสหรัฐฯและเกาหลีใต้อย่างทันทีไปยังพื้นที่ที่มีปัญหาใดๆในโลก) 


 


และการประกาศลดโควต้าภาพยนตร์  (การลดข้อกำหนดให้ต้องมีการฉายหนังเกาหลีในโรงภาพยนตร์ลงจากเดิมครึ่งหนึ่ง)


 


ข้อตกลงหลายข้อข้างต้นเป็นเรื่องที่สหรัฐฯยืนยันให้เกาหลีใต้ตกปากรับคำก่อน  มิเช่นนั้นจะไม่คุยเรื่องเอฟทีเอด้วย  ขณะที่ผู้แทนเจรจาด้านแรงงานของเกาหลีใต้บอกว่า "เรากำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ๆขณะที่เราเจรจากับตัวแทนขอสหรัฐฯ"[5]  แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่า  แม้ประเทศพัฒนาด้วยกันมาเจรจากัน มันก็ยังมวยคนละชั้นอยู่ดี  ภาพดาราที่ไปนั่งกลางแจ้ง  ยืนถือไมค์  ซึ่งเรามักไม่ค่อยเห็นจึงผุดขึ้นเพื่อโต้ตอบกับการตัดสินใจลดโควต้าภาพยนตร์ที่เป็นเงื่อนไขหนึ่งของการ "เริ่ม" เจรจาเอฟทีเอนั่นเอง 


 


อย่างที่ใครบางคนเคยกล่าวไว้  "หากไม่รู้ผลกระทบ  จะเข้าใจการต่อสู้ของคนกลุ่มหนึ่งได้อย่างไร"   แต่การพูดถึงผลกระทบเอฟทีเอเกาหลีใต้-สหรัฐฯนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย  เพราะมีรายละเอียดและความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรมแบบเกาหลีอยู่มาก  โดยเฉพาะเรื่องการเมืองการทหารของสหรัฐฯในคาบสมุทรเกาหลีที่เข้ามามีบทบาทอยู่ไม่น้อยในการทำเอฟทีเอระหว่างสองประเทศ  ดังนั้น ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างผลกระทบบางเรื่องที่มองจากมุมมองทางเศรษฐกิจเป็นหลัก 


 


ผลกระทบจากโควต้าภาพยนตร์


โควต้าภาพยนตร์เป็นมาตรการที่เริ่มตั้งแต่ปี 2510 ซึ่งกำหนดให้โรงภาพยนตร์ต้องฉายหนังที่ผลิตในประเทศเป็นเวลาอย่างน้อย 146 วันต่อปี  มาตรการนี้สร้างขึ้นเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมหนังภายในประเทศจากการไหลบ่าของหนังจากฮอลลีวู้ด  ความพยายามของฮอลลีวู้ดในการลดกฎระเบียบนี้ลงปรากฎในการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐในข้อตกลงการลงทุนทวิภาคี (Bilateral Investment Treaty: BIT) มาตั้งแต่ปี 1998[6] แต่ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากคนในอุตสาหกรรมจนมาสำเร็จเมื่อจะมีการเจรจาเอฟทีเอ  ซึ่งทำให้โควต้าภาพยนตร์เกาหลีเหลือเพียง 73 วันต่อปี  หลายคนเชื่อว่า  เบื้องหลังความสำเร็จของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีที่ในปัจจุบันได้รับความนิยมในระดับนานาชาตินั้นมาจากมาตรการกำหนดโควต้านี้  ทำให้ส่วนแบ่งตลาดในประเทศของหนังเกาหลีเพิ่มขึ้นจาก 15% มาอยู่ที่ 47% ภายในช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา[7]  และการส่งออกเพิ่มขึ้นเกือบ 900%[8]


 


แม้ว่าคนจำนวนหนึ่งจะเห็นด้วยกับการตัดลดโควต้าเพราะเชื่อว่า อุตสาหกรรมหนังเกาหลีครองตลาดในประเทศในสัดส่วนที่มากพอที่จะไปแข่งขันกับสหรัฐฯได้แล้ว  แต่ผู้อำนวยการของพันธมิตรเกาหลีเพื่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Korean Coalitions for Cultural Diversity) นาย Yang Gi-hwan กล่าวในงานแถลงข่าวที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศสว่า "หนังฮอลลีวู้ดครองส่วนแบ่งตลาดโลกประมาณ 80%  ผลิตผลจากทีวีอเมริกาครองส่วนแบ่งเวลาออกอากาศทั่วโลกประมาณ 90% ดนตรีอเมริกาทำกำไรคิดเป็นประมาณ 85% ของกำไรในอุตสาหกรรมดนตรี  สถานการณ์อย่างนี้น่าจะกระตุ้นให้ปวงมนุษยชาติเกิดอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาได้แล้ว""[9] 


 


นอกจากนี้เรื่องของโควต้ายังมีนัยยะไปถึงประเด็นวัฒนธรรม  เครือข่ายระหว่างประเทศเพื่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม (INCD) ได้เขียนจดหมายถึงสภาคองเกรสสหรัฐฯและรัฐบาลเกาหลีใต้สนับสนุนการรักษาไว้ซึ่งโควต้าภาพยนตร์  ซึ่ง Gary Neil ผู้อำนวยการของเครือข่ายนี้บอกว่า "แม้แต่ในยุโรป ซึ่งคุณมีประเทศที่มีเศรษฐกิจแข็งแรงมากและมีบริษัทด้านสื่อขนาดใหญ่  หนังของสหรัฐฯมีอิทธิพลและครองส่วนแบ่งการตลาดในทุกที่อยู่ระหว่าง 60-85%  การต่อสู้เพื่อรักษาโควต้าหนังเกาหลีไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคนเกาหลีเท่านั้น  แต่เพื่อขบวนการเคลื่อนไหวด้านวัฒนธรรมทั่วโลก"[10]


 


ผลกระทบจากการเปิดเสรีสินค้าเกษตร

ภาคเกษตรของเกาหลีใต้เป็นผลิตผลของการทิ้งขว้างจากรัฐในระหว่างการเร่งรัดพัฒนาประเทศไปสู่อุตสาหกรรม  ภาคเกษตรกรรมถูกทำให้หดตัวอย่างรุนแรง  ในเวลานั้น เกาหลีใต้มีอัตราการอพยพย้ายถิ่นของชาวนาสู่เมืองมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก  คือ ประมาณ 400,000 คนต่อปี[11]  ปัจจุบัน  ภาคเกษตรคิดเป็นเพียง 3% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ ทิ้งห่างภาคอุตสาหกรรมและเกษตร  อัตราการพึ่งพาตัวเองด้านอาหารของเกาหลีใต้อยู่ที่ 25%  เพราะอาหารส่วนใหญ่ที่บริโภคภายในประเทศมาจากการนำเข้าจากประเทศอื่นๆซึ่งสหรัฐฯเป็นผู้ส่งออกในลำดับต้นๆ  หากตัด "ข้าว"ออกไป  อัตราการพึ่งพิงตัวเองจะตกลงไปอยู่ที่ 5% เท่านั้นเอง  การเปิดเสรีด้านการเกษตรจึงหมายถึงการกระโจนไปพึ่งพิงแหล่งผลิตอาหารจากสหรัฐฯในอัตราที่สูงขึ้น 


 


รายงานข้อเท็จจริงทางการค้าเรื่องเกษตรของ USTR ระบุไว้ว่า เกาหลีเป็นตลาดสินค้าเกษตรหลักแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ  แม้ว่าจะมีมาตรการจำกัดการนำเข้าในสินค้าหลายชนิด  สหรัฐฯยังสามารถส่งออกได้ถึง 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของสินค้าเกษตรนำเข้าทั้งหมดของเกาหลีใต้[12]  เพราะฉะนั้น  การลดภาษีและกำจัดมาตรการหรือกฎระเบียบในภาคเกษตรของเกาหลีใต้จึงหนึ่งในวัตถุประสงค์ที่ถูกระบุไว้อย่างชัดเจน  ความมุ่งมั่นในการเปิดตลาดเกษตรของสหรัฐฯยังอาจสังเกตได้จากการเรียกร้องให้แยกการเจรจาเกษตรออกต่างหากจากการเจรจาเรื่องสินค้าอุตสาหกรรม  ขณะที่รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องการให้รวมการเจรจาเข้าไว้ด้วยกัน 


 


ผลการวิจัยของสถาบันเศรษฐกิจชนบทเกาหลี (Korea Rural Economic Institute: KREI)  ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยอีกแห่งของรัฐพบว่า  เอฟทีเอระหว่างเกาหลีใต้-สหรัฐฯจะทำให้เกาหลีใต้ต้องมีต้นทุนประมาณ 100 พันล้านวอนหรืออาจจะถึง 211 พันล้านวอนต่อปี (ประมาณ 104-219 ล้านดอลลาร์ต่อปี)  แม้ว่าจะไม่เจรจาเปิดเสรีเรื่องข้าวเลย  เพราะว่าข้อตกลงเอฟทีเอจะทำให้อัตราภาษีในสินค้าเกษตรหลายชนิดลดลง  ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนและทรัพยากรออกไปจากภาคเกษตร  เอฟทีเอยังส่งผลให้ประชาชนหันไปบริโภคอาหารชนิดอื่นที่มีราคาถูกกว่าข้าว  ส่งผลให้ความต้องการบริโภคข้าวลดลงและไปทำลายโครงสร้างพื้นฐานในการผลิตข้าวที่เคยมีอยู่  สุดท้ายเกาหลีใต้จะต้องนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ (ซึ่งประชากรไม่ได้บริโภคข้าว  แต่กลับผลิตและส่งออกข้าว) เพิ่มขึ้นจำนวน 1.83-3.17 ล้านล้านวอนและประมาณการณ์ว่าภาคเกษตรต้องสูญเสียอาชีพประมาณ 71,000-142,000 คน[13] 


 


ผลกระทบที่มีต่อราคายาและสาธารณสุข

ถ้าในประเทศไทย  เรื่องยาและสาธารณสุขเป็นเรื่องคอขาดบาดตายในการเจรจาเอฟทีเอกับสหรัฐฯ  ในเกาหลีใต้เรื่องยาก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนพอๆกัน 


 


ผลกระทบด้านสาธารณสุขเกิดขึ้นได้ในหลายทาง เช่น ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯก่อนเริ่มเจรจาที่รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องอนุญาตให้นำเข้าเนื้อวัวจากสหรัฐฯอีกครั้ง   การขยายอายุสิทธิบัตรยายาวนานขึ้น  การปรับกฎระเบียบอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพให้เทียบเท่าของสหรัฐฯ  เป็นต้น  ซึ่งเอกสารของกระทรวงสุขภาพและสวัสดิการของเกาหลีใต้ระบุว่า "หากรัฐบาลของเรายอมรับข้อเรียกร้องของสหรัฐฯตามที่ขอ  จะกระตุ้นให้ราคายาตามใบสั่งและต้นทุนด้านประกันเพิ่มสูงขึ้นในระยะกลางและระยะยาว"  


 


ตัวอย่างผลกระทบที่น่าจะเข้าใจได้ง่ายที่สุดในเวลาอันสั้น  ปรากฎอยู่ในการเจรจาเอฟทีเอรอบสองที่มีอันต้องเลิกก่อนกำหนด  เกาหลีใต้กำลังนำเสนอร่างกฎหมายใหม่เกี่ยวกับการประกันที่มีจุดมุ่งหมายให้ยาในระบบมีคุณภาพและราคาไม่แพงในเวลาเดียวกัน  ข้อเสนอของร่างกฎหมายนี้คือให้ยาใหม่ต้องผ่านการตรวจสอบและอนุมัติจากกระทรวงสุขภาพและสวัสดิการก่อนจะเข้าไปอยู่ในรายชื่อยาที่จะได้สิทธิเบิกจ่ายจากระบบประกันสุขภาพของรัฐ  ซึ่งทำให้ผู้แทนเจรจาฝ่ายสหรัฐฯไม่พอใจมากถึงกับต้องประท้วงเดินออกจากห้องประชุม  กฎหมายนี้ให้ประโยชน์กับประชาชนและเป็นผลดีต่องบประมาณภาครัฐ  แต่สร้างผลเสียต่อบริษัทยาซึ่งจะต้องยื่นเรื่องเสนอทุกครั้งเพื่อขอเข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อยา  ขณะที่ยาราคาแพงซึ่งส่วนมากเป็นยาที่มีสิทธิบัตรก็มีแนวโน้มที่จะไม่เข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อยาหากว่ายาชื่อสามัญที่ให้ผลการรักษาแบบเดียวกันมีราคาถูกกว่า  ดังนั้น  การเจรจาเอฟทีเอจึงเข้าไปบั่นทอนกฎระเบียบภายในที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้บริโภคและละเมิดอธิปไตยของรัฐในการจัดการกับระบบสาธารณสุขภายในประเทศ


 


หากไม่สู้รู้ไว้เท่ากับตาย  หากใจหมายแม้ตายยังมีหวัง…"


 


 



 



 



 



 


ภาพของคนนับหมื่น  เต็มอยู่ทั่วท้องถนนใจกลางกรุงโซล  ภาพคนในชุดกันฝนที่ยังยืนชูกำปั้นอย่างเข้มแข็ง  ภาพกองทัพรถที่ถูกนำมากั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมเดินต่อ  ภาพการปะทะกันระหว่างตำรวจและผู้ชุมนุมเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างการเจรจารอบสองซึ่งมีขึ้นในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา 


 


จากผลกระทบมาสู่การต่อต้านเอฟทีเอกับสหรัฐฯนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่  ก่อนหน้านี้ เอฟทีเอที่เกาหลีใต้ทำกับชิลีก่อให้เกิดกระแสประท้วงมาแล้วครั้งหนึ่งเพราะข้อตกลงที่จะลดภาษีสินค้าเกษตร  การประท้วงการเจรจาเอฟทีเอกับชิลีเริ่มขึ้นในปี 2546 โดยมีเกษตรกรเป็นแกนหลัก 


 


เกษตรกรพันกว่าคนเดินทางมาประท้วงที่หน้ารัฐสภาทุกวันเป็นเวลาหนึ่งเดือน  บางครั้งเกษตรกรได้บุกเข้าไปในรัฐสภาเพื่อเอาหมูไปปล่อย  มีการยึดสะพานแม่น้ำฮันมีเป็นเวลา 8 ชั่วโมง  รถบรรทุก 6,000 คันถูกขับให้ไปปิดถนนหลวง 10 ชั่วโมง ปิดอุโมง 6 ชั่วโมงและไม่ให้วิ่งผ่านจนเมื่อมีคนป่วยขอเดินทางจึงเปิดถนน  เกษตรกรพยายามเรียกร้องให้สมาชิกสภาไม่รับรองเอฟทีเอ  พวกเขาล้อมสำนักงานไว้ไม่ให้คนเข้าออกจนสมาชิกสภาสูงและสภาล่างมากกว่าครึ่งสัญญาที่จะไม่รับรองเอฟทีเอ  การประท้วงสามารถชะลอการลงนามเอฟทีเอได้หลายครั้ง  แต่สุดท้ายสมาชิกสภาที่เคยรับปากไว้ก็กลับคำ  ในช่วงเวลาดังกล่าว  เกษตรกรได้เดินทางไปเมืองหลวงเพื่อประท้วงรวมเป็นจำนวน 144 ครั้ง[14]


 


ประสบการณ์ครั้งนั้นได้สอนพวกเขาอย่างน้อย 2 เรื่อง คือ หนึ่ง  พวกเขาไม่สามารถฝากความหวังไว้ที่นักการเมืองได้  และ สอง การคัดค้านเอฟทีเอต้องร่วมมือกับคนส่วนใหญ่ 


 


พันธมิตรเกาหลีต้านเอฟทีเอเกาหลีใต้-สหรัฐฯ (Korean Alliance against the KorUS FTA) อาจถือได้ว่าเป็นผลผลิตของบทเรียนในครั้งนั้น  พันธมิตรฯประกอบด้วยสหภาพแรงงาน องค์กร องค์กรเกษตรกร องค์กรพัฒนาเอกชน พรรคการเมือง และขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมอื่นๆที่อยู่ในภาคสุขภาพ ภาพยนตร์ ดนตรี สื่อมวลชน การศึกษา และผู้บริโภค เกือบ 300 องค์กรเข้าร่วมในการต่อต้านเอฟทีเอระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯ  


 


ก่อนโรงละครเปิดม่าน


ก่อนที่จะเริ่มเจรจา  การประท้วงหลากหลายรูปแบบโดยเฉพาะจากคนในอุตสาหกรรมหนังก็เริ่มต้น  ทันทีที่รัฐบาลประกาศตัดลดโควต้าภาพยนตร์ลง  เหล่านักแสดงและผู้อยู่ในอุตสาหกรรมหนังเกาหลีประมาณ 800 คน ทั้งนั่งประท้วงและเดินขบวนไปยังโบสถ์แห่งหนึ่ง  Choi Min-sik นักแสดงนำเรื่อง Old Boy ซึ่งได้รับเหรียญยกย่องจากกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวจากการแสดงนำยอดเยี่ยมจนหนังเรื่องนี้ได้รับรางวัล Grand Jury Prize ในงานเทศกาลหนังเมืองคานส์ในปี 2547 ประท้วงรัฐบาลด้วยการคืนเหรียญและประกาศนียบัตรไว้ที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ชั้นหนึ่งของกระทรวง  ในมือถือป้ายเขียนว่า "ไม่มีโควต้าภาพยนตร์  ไม่มี Old Boy"[15]  นักแสดงอีกบางส่วนยืนประท้วงเป็นเวลาหลายชั่วโมงคนเดียว


 


พันธมิตรเพื่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมในภาพเคลื่อนไหวในเกาหลีใต้ ประท้วงด้วยการสร้างเต็นท์กลางแจ้งเป็นเวลา 146 วันและจุดเทียนประท้วงทุกวัน  บางวัน  เกษตรกรและนักกิจกรรรมต่อต้านสหรัฐฯเข้ามาร่วมจุดเทียนด้วยถึง 2,000 คน  ที่เทศกาลหนังที่เมืองคานส์  ประเทศฝรั่งเศส  ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา  ดาราและผู้อำนวยการจากเรื่อง The Unforgiven"" และ ``The Host"" 3 คนประท้วงหน้าโรงภาพยนตร์ Palais du Cinema  ซึ่งเป็นที่จัดงานหลักเป็นเวลาสามคืนติดต่อกัน  ที่นั่น พวกเขาชูป้าย "ไม่เอาเอฟทีเอ  เอาโควต้าภาพยนตร์"


 



 


ในช่วงเวลาเดียวกับการประท้วงเรื่องการตัดโควต้าหนัง  การประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเรื่องเอฟทีเอ  (ซึ่งอุตส่าห์จัดขึ้นภายหลังที่สองประเทศตกลงใจที่จะเริ่มและจบการเจรจาภายในต้นปีหน้าเรียบร้อยแล้ว)  เกษตรกรประมาณ 100 คนบุกขึ้นไปบนเวทีเพื่อนั่งประท้วงเอาเสียดื้อๆ  ในมือถือป้ายผ้าเขียนว่า "เราคัดค้านการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ)ระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีใต้"  ผลสุดท้าย ผู้จัดตัดสินใจเลิกประชุมกลางคัน  และหลังจากนั้นหนึ่งวัน  ประธานาธิบดี Roh กล่าวว่าจะให้ประชาชนส่งความคิดเห็นมายังรัฐบาลผ่านจดหมายอีเล็คโทรนิค (อีเมล) หรือไปรษณีย์  โดยหวังว่าการรวบรวมความคิดเห็นสาธารณะนั้นจะทำให้ "กระบวนการเจรจาโปร่งใสมากขึ้นและสะท้อนเสียงของประชาชนได้ดีขึ้น"  (วิธีแบบนี้คล้ายๆกับของไทยอยู่เหมือนกันแฮะ)


 



 


ที่อดอมยิ้มไม่ได้ก็คือ  ในเดือนเมษายน  สมาชิกสหภาพแรงงานประมาณ 3,000 คนในภาคการสื่อสารและเทคโนโลยีพยายามถล่มกล่องรับอีเมลของประธานาธิบดีบุช ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลของสหรัฐฯ ทำเนียบขาวและเพนตากอน ด้วยไฟล์ขนาดมหึมาเพื่อประท้วงการเจรจาเอฟทีเอ  ข้อความส่วนหนึ่งในอีเมลเขียนว่า "ระหว่างการเจรจาเอฟทีเอเกาหลี-สหรัฐฯ  ข้อเรียกร้องของประเทศคุณตามกรอบข้างเดียวของคุณไม่มีเหตุผลอย่างไม่น่าเชื่อ"


 


 


รอบหนึ่ง: มีแต่คณะเจรจาเท่านั้นหรือที่บินได้


การเจรจาเอฟทีเอซึ่งจัดขึ้นในสถานที่ไกลออกไปจากแรงกดดันของประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง  แม้ว่าจะมีคนร่วมคัดค้านในประเทศที่ได้รับผลกระทบมากเพียงใด  ก็อาจไม่ส่งผลอะไรเลยถ้าคณะเจรจาไม่รู้สึกว่ามี "ตัวตน" ของผู้ประท้วงอยู่จริง 


 


ก่อนการเจรจารอบแรกจะมีขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี ซี สหรัฐฯ ไม่ถึงเดือน  กระทรวงในเกาหลีใต้ 5 กระทรวงออกมาเรียกร้องให้ชาวเกาหลีใต้ประมาณ 100 คนเลิกล้มความคิดที่จะไปประท้วงที่วอชิงตัน  ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงได้ติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในสหรัฐฯเพื่อขออนุญาตเดินขบวนและประกาศว่าจะประท้วงอย่างสงบ  อย่างไรก็ตาม  ตำรวจวอชิงตันร่วมกับสถานทูตเกาหลีในสหรัฐฯประกาศจะปฏิบัติกับผู้ประท้วงในฐานะผู้ต้องสงสัยการก่อการร้ายภายใต้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายหากพบว่ามีการพกพาวัตถุอันตราย


 


การบินไปวอชิงตัน ดีซี ของผู้คัดค้านเอฟทีเอซึ่งมีทั้งเกษตรกรและสมาชิกสหภาพแรงงานในภาคการผลิตและบริการ ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มสหภาพแรงงาน เกษตรกรรายย่อยและสมาชิกสภาคองเกรสในสหรัฐฯ  มีทั้งการแถลงข่าวจากตัวแทนสหภาพแรงงานในบริการทางการแพทย์และโรงพยาบาล  จากสหพันธ์เกษตรกร  และจากพรรคแรงงานประชาธิปไตย  มีการเดินขบวนที่มีสีสันตามจังหวะกลอง  ทำพิธีแห่ศพตามประเพณีโบราณจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ  รวมถึงการบุกเข้าไปในสำนักงานของคาร์กิลซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติด้านเกษตรของสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรเกาหลีใต้แล้วตีกลองเพื่อให้มั่นใจว่าผู้บริหารบริษัทจะได้ยิน[16]  ขณะเดียวกัน  ที่กรุงโซล  มีการประท้วงตามถนนย่านต่างๆ โดยมีคนเข้าร่วมกว่า 1,000 คน



 



 


รอบสอง: ขอต้อนรับสู่เกาหลีใต้


ในวันแรกของการเจรจารอบสองซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโซลนั้น  รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องใช้ตำรวจถึง 3,000 นายในการปฏิบัติการ  และเกิดการปะทะกันเพียงเล็กน้อยเมื่อตำรวจพยายามขัดขวางไม่ให้มีการจัดการแถลงข่าวของกลุ่มผู้ประท้วง  การประท้วงใหญ่ที่สุดมีผู้เข้าร่วมประมาณ 50,000 ประกอบด้วยคนหลากหลายสาขาอาชีพ  รวมถึงแรงงานต่างชาติด้วย[17]  สิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง คือ ให้รัฐบาลเกาหลีใต้หันหลังให้กับการเจรจาเสีย  ในวันนั้น มีกำลังตำรวจออกปฏิบัติงานถึง 24,000 นาย  และมีการนำรถบัสมาขวางผู้ชุมนุมบริเวณสี่แยก  ขณะเดียวกัน ผู้ใช้แรงงานกว่า 70,000 คนจาก กว่า 100 บริษัทภายใต้สมาพันธ์สหภาพแรงงานเกาหลี (KCTU) นัดประท้วงหยุดงาน 1 วันเพื่อร่วมคัดค้านเอฟทีเอ


 


แม้ว่าจะมีการปะทะกับตำรวจหนักขึ้นในวันที่มีผู้ประท้วงมากที่สุดและตำรวจเข้าจัดการด้วยการฉีดน้ำใส่ผู้ประท้วง  การคัดค้านเอฟทีเอของพวกเขาจะยังคงดำเนินต่อไป การเจรจารอบที่สาม จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 6-9 กันยายน ที่เมืองซีแอตเติ้ล สหรัฐฯ  ซึ่งถือเป็นสมรภูมิเก่าของการต่อสู้กับการเปิดเสรีระดับพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลกมาแล้วในปี 2542  


 


"ไม่ว่าจะมีการประท้วงอย่างดุเดือดและกว้างขวางในระดับชาติหรือไม่ก็ตาม  ผมจะอุทิศเวลาที่เหลือของผมในการเป็นประธานาธิบดีทำให้เอฟทีเอเกิดขึ้นจริง"[18]  เป็นคำกล่าวของประธานาธิบดี Roh  ขณะเดียวกัน พันธมิตรเกาหลีต้านเอฟทีเอเกาหลีใต้-สหรัฐฯ ประกาศว่าจะส่งคนไปกว่า 100 คนเพื่อร่วมประท้วงกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและสหภาพแรงงานในสหรัฐฯ  


 


 


 


นักวิชาการ 27 คนกับรายงาน 700 หน้า!


แม้ว่าการประท้วงของชาวเกาหลีใต้ในความคิดของหลายคนอาจจะเต็มไปด้วยภาพของการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ  แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนยิ่งคือ ความมีวินัยและความมุ่งมั่นที่ไม่ถดถอยของพวกเขา 


 


ในการรณรงค์เรื่องเอฟทีเอ  พวกเขาไม่ได้เอาแต่เดินตามท้องถนนและสู้กับตำรวจเท่านั้น  มีการทำงานอย่างหนักในระดับภูมิภาคและพื้นที่ต่างๆ การทัวร์เพื่อจัดกิจกรรมการแสดง สัมมนาเกิดขึ้นในเกือบทุกอำเภอ  ในช่วงแรกของการรณรงค์ ผู้ไม่เห็นด้วยกับเอฟทีเอมีเพียง 20%  เห็นด้วย 30%  ส่วน 50% ไม่รู้เรื่องเอฟทีเอเลย  หลังจากการรณรงค์ แม้แต่คนในรัฐบาลก็เริ่มคัดค้านการทำเอฟทีเอ เรื่องราวของสื่อที่นำเสนอผลกระทบของข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟต้า) นั้นทำให้คนตกใจมาก  การสำรวจความเห็นครั้งหลังปรากฎว่าประชาชน 42% เห็นด้วยแต่ 45% ไม่เห็นด้วยกับการทำเอฟทีเอ  นอกจากนี้ ผลการสำรวจนักกฎหมายของพันธมิตรของพลเมืองเพื่อความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ (Citizens" Coalition for Economic Justice)  ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมชั้นแนวหน้าของประเทศพบว่า  นักกฎหมาย 8 ใน 10 คนคิดว่ารัฐบาลกระโดดเข้าไปในการเจรจาโดยที่ขาดการเตรียมการอย่างเพียงพอ  นักกฎหมาย 16% คิดว่าเอฟทีเอจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศ  ขณะที่กว่า 60% ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น  เนื่องจากไม่มีข้อมูลเพียงพอ   


 


การศึกษาวิจัยเป็นหัวใจสำคัญของการคัดค้านเอฟทีเอ  เครือข่ายนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ซึ่งทำวิจัยศึกษาผลกระทบจากมุมมองของประชาชนนั้นนับแล้วอาจมีมากกว่า 300 คน  งานวิจัยหนึ่งชิ้นซึ่งตีพิมพ์ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเป็นความร่วมมือของนักวิชาการ 27 คน มีความหนากว่า 700 หน้า 


 


น่าเสียดายที่ผลการวิจัยชิ้นนี้มีแต่ในภาษาเกาหลี  แต่ผลจากการวิเคราะห์ของพันธมิตรเกาหลีต้านเอฟทีเอเกาหลีใต้-สหรัฐฯ  พบว่า


 


"การเปิดเสรีการค้ามี 4 ขั้นตอน หนึ่ง เปิดตลาดสินค้าเกษตร-อุตสาหกรรม ภาคเกษตรจะถูกทำลาย รัฐบาลจะอ้างว่าผู้บริโภคได้ประโยชน์ เพราะสินค้าราคาถูกลง จะทำลายภาคเกษตรทำลายร้านค้าขนาดกลางขนาดย่อย  


 


สอง เปิดตลาดเงินตลาดทุน เป็นเงื่อนไขของเอฟทีเอ และสนธิสัญญาที่ไอเอ็มเอฟ (กองทุนการเงินระหว่างประเทศ) ผลักดัน  ตอนนั้นไอเอ็มเอฟเข้ามาดูเศรษฐกิจก็ดึงเงินทุนต่างประเทศ แทนที่จะมีงาน คนงานกลับถูกปลด  มีการปรับโครงสร้างเพื่อเพิ่มมูลค่าของบริษัท และผู้ที่ได้รับประโยชน์คือผู้ถือหุ้นต่างชาติ  ไม่มีการเก็บภาษีผู้ทำกำไรมหาศาล แทนที่จะเกิดการลงทุนโดยตรง  ก็ไปลงทุนเก็งกำไรในตลาดหุ้น ทุนต่างประเทศคุมภาคธนาคาร  มีการลดการปล่อยกู้ให้ธุรกิจ  แต่เพิ่มเงินกู้ให้ครัวเรือน  คนเกาหลีหนึ่งครัวเรือนเป็นหนี้ 30 ล้านวอน  การเปิดตลาดทุนแบบนี้ทำให้เศรษฐกิจชะงักงัน  ค่าเงินเกาหลีอ่อนตัว  และแม้ว่าจะส่งออกได้มากขึ้น  แต่ก็ยังขาดดุล


 


สาม แปรรูปรถไฟ น้ำ ไฟฟ้า ยา สาธารณสุข สหรัฐเรียกร้องให้เปิดตลาดของสิ่งเหล่านี้เสีย รัฐบาลเกาหลีถูกกดดันให้สัญญาว่าไม่แปรรูป  แต่จริงๆแล้ว  การแปรรูปยังคงเกิดขึ้น


 


สี่ ละเมิดอธิปไตยของประเทศ นักลงทุนได้รับอนุญาตให้ฟ้องรัฐได้ เราไม่สามารถถ่ายโอนเทคโนโลเยีและรักษามาตรฐานสิ่งแวดล้อม  ไม่ต้องจ้างคนงานท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้หมายความว่าเราไม่มีอำนาจควบคุมอีกต่อไป  และเราไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก  กำไรทั้งหมดจะไหลออกจากประเทศ"


 


บทส่งท้าย


ต้องขออภัยท่านผู้อ่านถ้าหากพบว่าบทความนี้ยาวกว่าที่คาดการณ์ไว้  แต่หากท่านอ่านได้มาจนถึงตรงนี้ก็แสดงว่าความยาวที่ว่าก็คงไม่ยาวสักเท่าไรนัก  วันที่ 4 กันยายน ที่ผ่านมา  คณะเจรจาเกาหลีใต้จำนวน 218 คนจาก 26 กระทรวงและ 13 สถาบันวิจัยภาครัฐได้บินสวนทางกับพวกเรามุ่งหน้าสู่เมืองซีแอตเติ้ลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ส่วนผู้ประท้วงเอฟทีเอ 100 กว่าชีวิตก็ได้ไปรอต้อนรับคณะเจรจาอยู่ที่นั่นเป็นที่เรียบร้อยด้วยเช่นกัน  เรื่องราวจะเป็นเช่นไรต่อไป  พันธมิตรเกาหลีต้านเอฟทีเอเกาหลีใต้-สหรัฐฯจะประสบความสำเร็จหรือไม่  ต้องคอยติดตาม  แต่ผ้าคาดหัวของชาวเกาหลีข้างล่างแปลเป็นภาษาไทยชาวบ้านว่า "ตูขอสู้จนตาย" (หล่ะคราวนี้)


 



           


-----------------------------------------


 


ที่ของรูปภาพประกอบ


http://www.korea-is-one.org/article.php3?id_article=2336


http://www.popcornfor2.com/forums/index.php?showtopic=7564


 http://www.huffingtonpost.com/james-love/korea-opposition-to-usft_b_25093.html  


http://www.resist.org.uk/reports/archive/korea/index.php 


http://www.bilaterals.org/article.php3?id_article=4796&var_recherche=cannes


http://www.kpolicy.org/index.html


http://www.bilaterals.org/article.php3?id_article=5247


http://english.chosun.com/w21data/html/news/200602/200602070007.html


 






เอกสารอ้างอิง


[1] Wikipeidia. "Economy of South Korea". http://en.wikipedia.org/wiki/Economy_of_South_Korea#Other_economic_indicators.   



[2] Korea Times. "Free trade and movies: Officials Should Look at Culture as Strategic Industry". 22 January 2006. http://www.bilaterals.org/article.php3?id_article=3634. 



[3] Korea Herald.  "Korea-U.S. FTA remains contentious".http://www.bilaterals.org/article.php3?id_article=4531.



[4] Office of the United States Trade Representative. "FTA: United States and Republic of Korea


Economic and Strategic Benefits". Trade Facts. http://www.ustr.gov/assets/Document_Library/Fact_Sheets/2006/asset_upload_file582_8880.pdf.



[5] Chang-seok, Song. Hankyoreh. "Seoul reveals a lack of experience in FTA negotiations". 1 August 2006. http://www.bilaterals.org/article.php3?id_article=5460



[6] Sung-jin, Kim. Korea Times. "Korea seeks screen quota reduction". 20 January 2006. http://www.bilaterals.org/article.php3?id_article=3624.



[7] Kyong-nyon, Kim and Ji-eun, Jeon. Oh My News International.  "Interview: Protect Korean cinema". 15 June  2006. http://www.bilaterals.org/article.php3?id_article=5028&var_recherche=interview+protect+korea+cinema



[8] Hwan Yang, Gi. "Screen Quota System to Ensure Cultural Diversity". Seminar on


Why UNESCO Should Adopt a Convention on Cultural Diversity. The International Liaison Committee of Coalitions for Cultural Diversity. 12 September 2003. http://www.coalitionfrancaise.org/actus/doc/yang.pdf.



[9] Bertolin, Paolo. Korea Times.  "Koreans, French Fight Hollywood Domination". 21 May 2006.


 http://www.bilaterals.org/article.php3?id_article=4796&var_recherche=korea+film



[10]Kyong-nyon, Kim and Ji-eun, Jeon. Oh My News International.  "Interview: Protect Korean cinema". 15 June  2006. http://www.bilaterals.org/article.php3?id_article=5028&var_recherche=interview+protect+korea+cinema



[11] วอลเดน เบลโล และ สเตฟานี โรเซนเฟลด์ (เขียน). กรรณิการ์ พรมเสาร์ (แปล). มังกรกำสรวล: วิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่ของเอเชีย. 2539.



[12] Office of the United States Trade Representative.


 "FTA: United States and Republic of Korea: Opportunities for Agriculture". Trade Facts. February 2006. www.ustr.gov/assets/Document_Library/Fact_Sheets/2006/asset_upload_file462_8881.pdf



[13] Asia Pulse News. "S. Korean Rice Industry to be Hit Hard by FTA with U.S.: Report". February 15, 2006.  http://www.bilaterals.org/article.php3?id_article=3835



[14] เอกสารสรุป "ประสบการณ์ประเทศเกาหลีใต้". การประชุมนานาชาติเพื่อวางยุทธศาสตร์การต่อสู้กับเอฟทีเอ. ระหว่างวันที่ 27-30 กรกฎาคม 2549.



[15]The Chosun Ilbo.  'Old Boy' Returns Medal in Screen Quota Protest. 7 February 2006.


 http://english.chosun.com/w21data/html/news/200602/200602070007.html



[16] WSQT Guerilla Radio. "Koreans storm Cargill Corp offices". 08 Jun 2006.


 http://www.bilaterals.org/article.php3?id_article=4950 



[17] Korean Alliance against the KorUS FTA. "More than 50,000 people mobilized against Korea-US FTA". Korean Alliance against the KorUS FTA Newsletter #1.  1 August 2006. www.bilaterals.org/article.php3?id_article=5390.



[18] Korean Alliance against KorUS FTA. The 3rd round of Korea-US FTA talks coming..." Korean Alliance against the KorUS FTA Newsletter #2.  20 August 2006. http://www.bilaterals.org/article.php3?id_article=5616 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net