เบญจา ศิลารักษ์
สำนักข่าวประชาธรรม
ข่าวกรณีที่ชาวนา ชาวสวนอยุธยาอดรนทนไม่ไหวกับการระบายน้ำของชลประทานเพื่อป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ จนต้องทำลายประตูระบายน้ำเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้เป็นข่าวเล็กๆ ท่ามกลางกระแสข่าวใหญ่การจัดตั้งสมัชชาประชาชนแห่งชาติ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ข่าวดังกล่าวไม่ใช่ประเด็นเล็กน้อยที่เราควรมองข้ามเลย เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการจัดการน้ำท่วมของรัฐบาลไทยที่เป็นปัญหามาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีมานี้ นับตั้งแต่กรุงเทพฯ เริ่มทรุดตัวต่ำลงเรื่อยๆ และภัยธรรมชาติเริ่มรุนแรงขึ้น
ประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรในจังหวัดรอบๆ กรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น อยุธยา สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรีต้องกลายเป็นผู้เสียสละมานาน เพื่อทำให้กรุงเทพฯ ปลอดจากภัยน้ำท่วม ด้วยเหตุผลที่รัฐบาลส่วนกลางมักจะอ้างเสมอมาว่า กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ หากปล่อยให้น้ำท่วมก็จะเสียหายหนัก ดังนั้น นาข้าว เรือกสวนไร่นาของชาวนา ชาวสวนในจังหวัดใกล้เคียงจึงต้องกลายเป็นพื้นที่รองรับน้ำไปอย่างเสียมิได้
มหกรรมผันน้ำเข้าทุ่ง ป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ
แผนการผันน้ำเข้าทุ่งของกรมชลประทานนั้นเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมเป็นต้นมา ทั้งนี้เหตุผลที่กรมชลประทานชี้แจงกับสื่อมวลชนคือเนื่องจากระดับน้ำที่ไหลผ่าน จ.นครสวรรค์ลงเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาทมีปริมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์คือ 5,850 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ดังนั้นจึงเตรียมแผนการผันน้ำเข้าพื้นที่จำนวน 1,380,000 ไร่ใน จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ลพบุรี และบางส่วนของ จ.ปทุมธานีความสูงโดยเฉลี่ย
ที่ผ่านมาเกษตรกร ชาวสวน ชาวไรในเขตที่ราบลุ่มภาคกลางต้องเผชิญกับปัญหาการระบายน้ำของกรมชลประทานเพื่อป้องกันไม่น้ำไหลทะลักเข้ากรุงเทพฯ พืชผล ไร่นา ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ถูกน้ำท่วมเสียหายอย่างหนัก ที่ จ.อ่างทอง เกษตรกรเจ้าของฟาร์มหมูต้องกู้เงินมาลงทุน 116 ล้านบาท น้ำท่วมจนหมูลอยตายเป็นแพ จนถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าเขาจะใช้หนี้ ธกส.หมดเมื่อไหร่ ?
ในส่วนของ จ.อยุธยาที่ถือเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนที่น้ำจะไหลบ่าท่วมกรุงเทพฯ การจัดการเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมของกรมชลประทานที่นำไปสู่ความขัดแย้งจนถึงขั้นที่ชาวสวน ชาวนาอดรนทนไม่ไหวจนต้องทำลายประตูระบายน้ำเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และเป็นเหตุให้ต้องฟ้องร้องกรมชลประทานนั้น ก็เนื่องมาจากการชี้แจงของกรมชลประทานไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่นบอกว่าจะระบายน้ำมาแค่
ข่าวจาก นสพ.โพสต์ทูเดย์เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมารายงานว่า เกษตรกรใน จ.อยุธยาฯ กำลังเตรียมการล่ารายชื่อเพื่อที่จะฟ้องร้องกรมชลประทานอันเนื่องมาจากผันน้ำมามากจนทำให้ไร่นาเสียหาย นาง
ปัจจุบันชาวนา จ.พระนครศรีอยุธยาในนามสมาคมชาวนาไทยเตรียมที่จะยื่นหนังสือถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอเจรจาเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยนาข้าวที่เสียหายจากน้ำท่วมในราคาไร่ละ 1,700 บาทเป็นอย่างต่ำ เนื่องจากค่าชดเชยที่กรมชลประทานให้เก่ชาวนา ชาวสวนในราคาไร่ละ 960 บาท นั้นไม่คุ้มทุน เพราะหากมีการประเมินตัวเลขต่ำสุด ค่าปลูกข้าว หรือพันธุ์ข้าว ค่าไถ ค่าหว่าน ค่าบำรุงดิน บำรุงกล้า และค่ากำจัดวัชพืช หากเป็นข้าวนาปีจะไม่ต่ำกว่า 1,700 บาท/ไร่ ข้างนาปรังจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นไปอีกถึงไร่ละ 2,500
ส่วนชาวสวนนั้นนับว่ายิ่งหนักขึ้นไปอีก เพราะกู้เงินมาลงทุนทำสวนเป็นจำนวนหลายสิบล้าน น้ำท่วมทำให้สวนเสียหาย แต่ละรายขาดทุนนับสิบล้าน เช่น กรณีของนายมานิตย์ แย้มประยูร เจ้าของสวนกล้วยไม้แย้มประยูร บริเวณอ.เสนา จำนวน
ถึงวันนี้ยังไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าตัวเลขภาพรวมความเสียหายของเกษตรกรรายย่อย เจ้าของเรือกสวนไร่นาในภาคกลางต้องสูญเสียไปเป็นจำนวนเท่าไหร่ และการชดเชยจะมีความเป็นธรรมมากน้อยเพียงไร ? แม้ว่าน้ำจะเริ่มลดระดับลง แต่ก็มิได้หมายความว่าความเดือดร้อนของชาวบ้านจะหมดสิ้นไป การฟื้นฟู เยียวยาปัญหาของชุมชน ชาวนา ชาวสวนผู้ประสบภัยน้ำท่วมก็ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ นอกจากถุงยังชีพ ส้วม และอาหารแห้ง
จัดการน้ำท่วม จัดการให้มีผู้เสียสละ
ถึงวันนี้อาจกล่าวได้ว่า วิสัยทัศน์การจัดการน้ำของกรมชลประทานยังคงย่ำเท้าอยู่กับที่ นั่นคือ เป็นการบริหารจัดการน้ำที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและเป็นธรรม ยังคงเลือกที่จะจัดการน้ำเพื่อเอื้อให้กลุ่มผู้ได้เปรียบทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะคนในกรุงเทพฯ หรือภาคส่วนอุตสาหกรรม เป็นต้น ไม่ว่าจะจัดการน้ำท่วม หรือภัยแล้งก็ไม่ต่างกัน หากยังจำกันได้เมื่อสองปีที่แล้ว มีปัญหาภัยแล้งขาดแคลนน้ำอย่างหนักในภาคตะวันออก เดือดร้อนไปถึงภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ก็ขาดแคลนน้ำด้วย เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนไม่เพียงพอทำให้บริษัทจัดการน้ำและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก หรืออีสต์วอเตอร์ไม่สามารถจ่ายน้ำให้ได้ การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลครั้งนั้นก็แก้ไขด้วยการดึงน้ำที่มีน้อยอยู่แล้วไปให้แก่ภาคอุตสาหกรรม จนกระทั่งผู้ใช้น้ำรายย่อย และเกษตรกรในจ.ระยองต้องเดือดร้อนไม่มีน้ำใช้ ด้วยเหตุผลว่าต้องสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
การที่ประชาชนในจังหวัดใกล้เคียงกรุงเทพฯ ต้องทนรับวิบากกรรมน้ำท่วมแทนคนกรุงเทพฯ ก็ไม่ต่างกัน และไม่ต่างจากการอ้างเหตุผลว่ามีความจำเป็นต้องสร้างเขื่อนเพื่อผลิตไฟฟ้าตอบสนองการใช้พลังงานของประเทศ คนที่อยู่ในพื้นที่ต้องเสียสละพื้นที่ ต้องย้ายถิ่นฐาน ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อให้มีการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าสำหรับคนส่วนใหญ่ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จนนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้ง เช่นกรณีเขื่อนปากมูล เป็นต้น
หากทิศทางการจัดการน้ำของกรมชลประทานยังเป็นอยู่อย่างนี้ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐ- ประชาชน ประชาชน-ประชาชน กลุ่มทุน-ประชาชนคนเล็กคนน้อยก็จะดำรงอยู่ต่อไป เพราะเป็นการจัดการน้ำที่ไม่ได้เฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุขอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม.