ประชาไท - 17 ธ.ค.49 แหล่งข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยว่า ในวันอังคารนี้ (19 ธ.ค.) คณะเจรจาความตกลงหุ้นส่วนไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) กระทรวงการต่างประเทศ ที่มีนาย
ทั้งนี้ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้จัดส่งเอกสารความตกลงภาษาอังกฤษมีความหนา 900 หน้า และร่างความตกลงฉบับภาษาไทยในรูปแบบซีดีให้รัฐมนตรีต่างๆ ไปเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งที่ในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ กระทรวงการต่างประเทศจะร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดประชาพิจารณ์ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีรายละเอียดสถานที่จัด
นาย
โดยสภาที่ปรึกษาฯ ได้ทำความเห็นว่า ให้ยุติการเจรจาและลงนาม พร้อมเสนอให้ทบทวนการเจรจาทั้งหมด จนกว่าจะมีกฎหมายประกอบการเจรจาระหว่างประเทศ และการพิจารณาทุกเอฟทีเอต้องผ่านรัฐสภา เนื่องจากเป็นเรื่องผูกพันประชาชนทั้งประเทศโดยมีการกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย ส่วนเอฟทีเอที่ลงนามไปแล้วต้องทบทวนและเยียวยาปัญหาที่เกิดขึ้น ล่าสุด ทางสภาที่ปรึกษาฯ ได้ทำหนังสือถึง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ขอร่างความตกลงฯ ไปแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ
"อยากบอกนายกฯ ว่า เรื่องนี้เรื่องใหญ่มาก เรื่องนี้เป็นเหตุผลของการยึดอำนาจ สร้างความขัดแย้งในสังคมมาก ถึงกับส่งหนังสือมาปรึกษาสภาที่ปรึกษาฯ แล้ว อยู่ๆ รัฐบาลนี้จะผลักดันให้เดินหน้าต่อ ประชาชนคงรับไม่ได้"
ด้าน น.ส.
"กระทรวงการต่างประเทศอ้างว่า การแก้ไขความตกลงฯ ทำไม่ได้เลย ยกเว้นเป็นการแก้ไขของคณะรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นถ้ามีการนำเข้าคณะรัฐมนตรีก่อนการประชาพิจารณ์ เราขอเสนอให้ยกเลิกการประชาพิจารณ์ เพราะประชาพิจารณ์ไปก็เหมือนสักแต่ว่าทำ ทำแค่พอเป็นพิธีให้ครบๆ ตัดหนทางที่ประชาชนจะตรวจสอบ ทั้งนี้ เราเห็นใจนักวิชาการที่ช่วยทำประชาพิจารณ์ให้ และกลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์ก็ได้ตัดสินใจร่วมเวทีประชาพิจารณ์ครั้งแรกของกระทรวงการต่างประเทศ แต่กระทรวงต่างประเทศกลับดักหน้าเอาเข้า ครม. ปิดหนทางแก้ไขข้อเสียหายในความตกลงฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การยอมรับการจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิต, การรับขยะสารพิษจากญี่ปุ่น และผลกระทบต่อการบริการทางการแพทย์ ดังนั้น เราหวังว่า คณะรัฐมนตรีจะมีหูมีตากว้างไกลพอที่จะปฏิเสธการนำความตกลงฯมาเข้าพิธีกรรมการอนุมัติครั้งนี้"
ด้าน นาย
"สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ควรทำ คือ ต้องตรวจสอบรายละเอียดร่างความตกลงอย่างถี่ถ้วน ให้ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียได้อ่านได้ศึกษาร่างความตกลงฯ ครม.ไม่ควรผ่านเรื่องนี้ไปอย่างรวบรัด มิเช่นนั้นจะกลายเป็นระเบิดเวลาที่ย้อนกลับมาทำลายรัฐบาลนี้เสียเอง ทำลายจุดยืนของรัฐบาลและคณะปฏิรูปฯ ที่ต้องการเข้ามาสะสางปัญหาของรัฐบาลทักษิณ ยิ่งไปกว่านั้น ยังอาจมีส่วนเติมพลังให้กลุ่มอำนาจเก่า เพราะมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนแฝงอยู่ในความตกลงฯ"
ทั้งนี้ กลุ่มเอฟทีเอว็อทช์เคยนำเสนอข้อมูลในเนื้อหา เอฟทีเอ ไทย-ญี่ปุ่นว่า เปิดโอกาสให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทย โดยช่วงการเจรจานั้น โรงพยาบาลเอกชนที่มีความเกี่ยวโยงกับรัฐบาลเก่าเข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจาและการโรดโชว์ทุกครั้ง และขณะนี้ทำให้เกิดภาวะสมองไหลอาจารย์แพทย์ของคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆไปยังโรงพยาบาลเอกชน, มีการลดภาษีขยะสารพิษจากญี่ปุ่นเกือบทุกประเภท เหลือ 0% รวมถึงขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ และสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อม และทำลายสุขภาพประชาชนอย่างยิ่ง, นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนญี่ปุ่นฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายหน่วยราชการไทยผ่านอนุญาโตตุลาการ ในบทคุ้มครองการลงทุน