Skip to main content
sharethis

ประชาไท - ผ่านการรัฐประหารมาจนครบรอบ 3 เดือน สมาพันธ์ประชาธิปไตย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง สามเดือนรัฐประหารกับอนาคตสังคมไทย โดยนพ.สันต์  หัตถรัตน์ เป็นผู้อ่านแถลงการณ์ดังกล่าว เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2549 ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


 


 


000


 


แถลงการณ์สมาพันธ์ประชาธิปไตย


สามเดือนรัฐประหารกับอนาคตสังคมไทย


 


สามเดือนที่ผ่านมาพิสูจน์ยืนยันแล้วว่า การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็คือฟื้นคืนระบอบอำมาตยาธิปไตยโดยมีทหารเป็นใหญ่ และพยายามหุ้มห่อแก่นแท้อำมาตยาธิปไตยด้วยเปลือกประชาธิปไตยเพื่อหลอกลวงประชาชนไทยและประชาคมโลกต่อไป


 


เห็นได้จากกลไกอำนาจรัฐเดิมที่สำคัญทั้งหมด ถูกแทนที่ด้วยกลุ่มทหารโดยสิ้นเชิง อาทิเช่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็มีนายทหารนายตำรวจกว่า 80 คน และที่เหลือก็ล้วนแต่เป็นผู้ยินยอมรับใช้ทหารทั้งสิ้น ผู้บงการให้เกิดการยึดอำนาจก็ดี รัฐบาลก็ดี จัดตั้งโดยอดีตนายทหารระดับสูง ทำการโยกย้ายผู้นำทหารตำรวจของรัฐบาลเก่าทั้งหมดออกและตั้งคนของตนแทน ล้มองค์กรอิสระเดิมหลายองค์กรแล้วแต่งตั้งคนของตนเข้าไปแทน รวมทั้งต้านนายทหารพวกตนเข้าไปดำรงตำแหน่งบอร์ดรัฐวิสาหกิจชั้นนำทั้งหมด  แนวทางนโยบายในการบริหารประเทศภายใต้คณะรัฐประหารก็เป็นแนวทางสร้างความมั่นคงให้กับระบอบอำมาตยาธิปไตย มีเสียงเรียกร้องให้ร่างรัฐธรรมนูญที่เปิดทางให้ทหารข้าราชการมีอำนาจและสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบราชการ


 


ส่วนเหตุผลสี่ข้อที่ใช้อ้างในการทำรัฐประหารก็เป็นเพียงการหาเหตุเพื่อหยุดอำนาจเช่นเดียวกับรัฐประหารส่วนใหญ่ในอดีตที่ผ่านมา ดังจะเห็นได้จากผลงานทั้งสี่ด้าน กล่าวคือ


 



  1. เรื่องการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลเก่าก็ทำได้ แต่เพียงเอาโทษคุณบรรณพจน์ ดามาพงษ์ คุณศิโรตม์ สวัสดิพาณิชย์ (แพะรับบาปของรองนายกฯ) และให้คนรออีก 6 เดือนเพื่อลงโทษทักษิณ

  2. คณะรัฐประหารเป็นผู้ครอบงำองค์กรอิสระเสียเอง โดยยกเลิกของดั้งเดิมเอง โดยเอาคนที่ถูกใจพวกตนเข้าไป เช่น ปปช. ตุลาการรัฐธรรมนูญ แต่ก็ยังไม่ปรากฏชัดว่าจะนำความถูกต้องเป็นธรรมกลับมาสู่บ้านเมืองได้ในเร็ววันอย่างไร

  3. คณะรัฐประหารเองสร้างความแตกแยกอย่างรุนแรงขึ้นในบ้านเมือง โดยการสร้างเรื่องคลื่นใต้น้ำ ปลุกปั่นกระแสว่าจะมีการชุมนุมใหญ่  10 ธันวาคมที่ผ่านมานับหมื่น จนต้องใช้ทหารจำนวนสองกองพลกว่า 1,800 คนเข้าไปคุมชุมชนคนยากจน ในกทม.และในต่างจังหวัด ก็ตั้งด่านตรวจอย่างละเอียดยิบราวกับคนยากจนที่เดินทางไปทำธุระต่างๆ จะเป็นผู้ก่อการร้ายไปเสียทั้งหมด

  4. คณะรัฐประหารแทรกแซงกระบวนการทางยุติธรรม ยกเลิกคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลายคดีใหญ่ และไม่อาจจะป้องกันไม่ให้เกิดกรณีหมิ่นเบื้องสูงเกิดขึ้นได้ (มีเหตุใช้สเปรย์สีพ่นและผ่าเสาธงทำลายธง เป็นต้น)

 


ที่หนักยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สามเดือนที่ผ่านมากลับชี้ให้เห็นความเป็นเผด็จการฟาสซิสต์ที่หนักข้อยิ่งขึ้นทุกทีของคณะรัฐประหาร อาทิเช่น


 



  1. ไม่ยอมยกเลิกกฎอัยการศึกเสียที ทั้งๆ ที่ประกาศออกไปแล้วว่าจะยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่สี่สิบจังหวัด (รัฐบาลของคณะรัฐประหารเพิ่มการยกเลิกในกทม.ด้วย) แต่กลับอ้างปัญหาทางเทคนิคมาเป็นเหตุให้เกิดความล่าช้า (อ้างว่าคณะกฤษฎีกายังดูเรื่องไม่เรียบร้อย) ทั้งๆ ที่การร่างเอกสารไม่ได้ยุ่งยากอะไรแม้แต่น้อย (ประวัติศาสตร์การยกเลิกมีมาหลายครั้งมากแล้ว) สะท้อนให้เห็นแก่นแท้ที่ยังต้องการรักษาอำนาจฟาสซิสต์เอาไว้ให้ยาวนานที่สุด

  2. สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างประชาชน โดยแบ่งแยกประชาชนออกเป็นสองพวกมีสิทธิเสรีภาพไม่เท่าเทียมกัน คือพวกหนึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ถูกกฎอัยการศึกบังคับกดหัวอยู่ แต่อีกพวกไม่ถูกกฎอัยการศึกบังคับ พวกหนึ่งถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นพวกคลื่นใต้น้ำอีกพวกหนึ่งหรือไม่

  3. แปรโฉมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในให้เป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ครอบงำทั่วประเทศ โดยอ้างว่าต่อไปนี้ปัญหาเรื่องความมั่นคงภายในเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เพราะศึกสงครามระหว่างประเทศจะไม่มีอีกแล้ว ดังนั้น ทหารและหน่วยงานทหารจะต้องมีบทบาทเหนือหน่วยงานพลเรือนเพื่อดูแลความมั่นคง ปราบปรามผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐ นั่นก็คือ ถือประชาชนภายในประเทศของตนเป็นศัตรูนั่นเอง

  4. หลักการสำคัญของประชาธิปไตยที่ถือว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย" ก็จะถูกบั่นทอนทำลายลงไปอย่างแนบเนียนด้วยกระบวนการต่างๆ อาทิเช่น นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง ข้าราชการประจำมาเล่นการเมืองได้ สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง ข้าราชการระดับสูงของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ไม่ให้ตัวแทนประชาชน (รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง) เป็นผู้คัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่ง แต่จะใช้ระบบอำมาตยาธิปไตยหรืออภิชนาธิปไตย เช่น อ้างว่าตั้งกรรมการผู้มีคุณธรรมจริยธรรมสูงมาเป็นผู้คัดเลือกอธิบดี ปลัดกระทรวงต่างๆ เป้นต้น (เริ่มเห็นชัดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว คือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไม่จำเป็นต้องผ่านการเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) ซึ่งขัดกับหลักระบอบประชาธิปไตยที่ให้ประชาชนเลือกผู้แทนไปบริหารจัดการแทนตนทั้งด้านนิติบัญญัติและบริหารโดยยึดโยงนโยบาย

 


ทั้งหมดนี้ล้วนเคยเกิดขึ้นแล้วกับประเทศไทยในยุคสมัยของสามเผด็จการทรราชย์ทหาร คือ จอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ จอมพลถนอม  กิตติขจร และจอมพลประภาส  จารุเสถียร แต่ก็จบลงโดยการลุกขึ้นสู้โค่นล้มระบบสามทรราชย์อย่างยิ่งใหญ่ของพี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งชาติในปี 2516


 


อนึ่ง การบริหารทางด้านเศรษฐกิจของคณะรัฐประหารที่จงใจทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น โดยนโยบายที่ผิดพลาด จะนำมาสู่ความหายนะทางเศรษฐกิจของชาติเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2540 ในขณะนี้ต้องนำเงินแผ่นดินกว่าสองแสนล้านบาท ไปต่อสู้ทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลงซึ่งคล้ายกับเมื่อปี 2540 ที่ต้องนำเงินแผ่นดินหลายแสนล้านบาทไปทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น


 


สมาพันธ์ประชาธิปไตย จึงขอเรียกร้องคณะรัฐประหารให้เลิกเดินเส้นทางของจอมพลสฤษดิ์  ธนะรัชต์ คืนอำนาจให้ประชาชน โดยยกเลิกกฎอัยการศึกทั่วประเทศทันที จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ โดยอาศัยกกต.ชุดปัจจุบัน แล้วให้สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งดำเนินการจัดร่างรัฐธรรมนูญโดยประชาชนโดยตรง และวางนโยบายระยะยาวของประเทศ โดยใช้วิถีทางอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ไม่ใช่วิถีทาง อำมาตยาธิปไตยหรืออภิชนาธิปไตยที่ท่านกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้


 


สมาพันธ์ประชาธิปไตย


17  ธันวาคม 2549

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net