Skip to main content
sharethis

ภัควดี วีระภาสพงษ์ แปลนิทานของรองผู้บัญชาการมาร์กอสแห่งกองทัพซาปาติสตา เป็น ส.ค.ส. ปีใหม่แด่ท่านผู้อ่านประชาไท

 

 

 

หมายเหตุ: ดิฉันตั้งใจมานานแล้วว่า จะมอบนิทานของเอลซุปเป็น ส.ค.ส. ปีใหม่แด่ท่านผู้อ่านประชาไท คิดจะส่งนิทานให้ บก. ประชาไท ก่อนปีใหม่ เพื่อจะได้ลงทันวันขึ้นปีใหม่พอดี แต่ตัวเองกลับหนีไปเที่ยวเสียนี่! กลับมาก็ไม่ทันปีใหม่แล้ว ดิฉันเลยแก้ตัวด้วยการส่งนิทานให้สองเรื่องแทนเรื่องเดียว ขอให้ทุกท่านมีความสุขและสันติในปีใหม่นี้ค่ะ

ภัควดี วีระภาสพงษ์

 

 

นิทานเรื่องเมฆปุยเล็ก

รองผู้บัญชาการมาร์กอส

7 พฤศจิกายน 1997

 

แปลโดย ภัควดี วีระภาสพงษ์

..............................................................................................................

 

 

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีก้อนเมฆปุยหนึ่งที่เล็กมากและเหงามาก เธอมักเร่ร่อนห่างไกลจากหมู่เมฆก้อนใหญ่ๆ เธอเป็นเมฆก้อนเล็กนิดเดียว แค่ปุยกระจิดริดเท่านั้นเอง เมื่อไรที่หมู่เมฆใหญ่โปรยปรายสายฝนเพื่อระบายเทือกเขาเป็นสีเขียว ก้อนเมฆปุยเล็กจะโฉบเข้ามาหาเพื่อเสนอตัวขอมีส่วนช่วยบ้าง แต่หมู่เมฆใหญ่ดูแคลนเธอ เพราะเธอเล็กเหลือเกิน

 

"เจ้าช่วยอะไรไม่ได้หรอก" หมู่เมฆใหญ่บอกเธอ "เจ้าเล็กเกินไป"

 

หมู่เมฆใหญ่หัวเราะเยาะเย้ยจนเธออับอายมาก เมฆปุยเล็กเศร้าใจยิ่งนัก เธอจึงพยายามไปที่อื่นเพื่อโปรยสายฝนบ้าง แต่ไม่ว่าไปที่ไหน หมู่เมฆใหญ่จะขับไล่ไสส่งเธอเสมอ ดังนั้น เมฆปุยเล็กจึงรอนแรมไปไกลขึ้นๆ จนกระทั่งเธอมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่แห้งแล้งมาก แห้งผากจนไม่มีกิ่งไม้สักก้านงอกเงย และเมฆปุยเล็กพูดกับกระจกว่า (ผมลืมบอกคุณ เมฆปุยเล็กก้อนนี้พกกระจกติดตัว เพื่อจะได้คุยกับตัวเองเวลาเหงา):

 

"นี่คือจุดเหมาะที่สุดที่ฉันจะโปรยสายฝน เพราะไม่มีใครเคยมาที่นี่เลย"

 

เมฆปุยเล็กพยายามสุดชีวิตเพื่อกลั่นสายฝนออกมา และในที่สุด เธอก็คั้นหยดน้ำเล็กๆ ได้หยดหนึ่ง นั่นคือ เมฆปุยเล็กสลายตัวไปและกลายร่างเป็นหยดฝนเล็กๆ หยดหนึ่ง เมฆปุยเล็กที่ตอนนี้กลายเป็นหยดฝนน้อย ค่อยๆ ร่วงหล่นลงไปช้าๆ เธอร่วงหล่นและร่วงหล่นไปในความเหงาวังเวง แต่ไม่มีอะไรรอคอยเธออยู่ข้างล่างเลย ในที่สุด หยดฝนน้อยก็ตกลงแตกกระจายสิ้น เนื่องจากทะเลทรายนั้นเงียบงันมาก หยดฝนน้อยจึงส่งเสียงดังมากตอนแตกกระจาย เพราะเธอตกลงไปบนก้อนหินก้อนหนึ่งพอดี เสียงสนั่นปลุกโลกให้ตื่นขึ้นมา ถามว่า:

 

"นั่นเสียงอะไร?"

 

"เสียงฝนหยดหนึ่งตกลงมา" ก้อนหินตอบ

 

"ฝนหยดหนึ่งหรือ? หมายความว่าฝนจะตกสิ! เร็วเข้า! ตื่นเร็ว! ฝนจะตกแล้ว!" แม่ธรณีปลุกพืชพรรณต่างๆ ที่ซ่อนหลบแสงอาทิตย์อยู่ใต้ดิน

 

พืชพรรณต่างๆ จึงโผล่ออกมาและแทงยอดเล็กๆ เพียงพริบตาเดียว ทั่วทะเลทรายก็ปกคลุมด้วยสีเขียวชอุ่ม ครั้นแล้ว หมู่เมฆใหญ่ต่างแลเห็นสีเขียวสดอยู่ไกลลิบๆ และพูดว่า:

 

"ดูนั่นสิ มีสีเขียวกว้างใหญ่อยู่ตรงโน้น เราไปโปรยสายฝนตรงนั้นดีกว่า เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ตรงนั้นเขียวชอุ่มเหลือเกิน"

 

หมู่เมฆใหญ่จึงเดินทางไปโปรยสายฝนตรงที่ที่เคยเป็นทะเลทราย พวกเขาสาดสายฝนจนชุ่มฉ่ำและต้นไม้ต่างพากันเติบโต สรรพสิ่งดูเหมือนกลายเป็นสีเขียวในทันที

 

"โชคดีนะที่พวกเรามาแถวนี้" หมู่เมฆใหญ่พูด "ถ้าไม่มีพวกเรา ก็ไม่มีสีเขียวหรอก"

 

ไม่มีใครจดจำเมฆปุยเล็กที่กลั่นหยาดฝนหยดหนึ่ง ซึ่งตกลงแตกกระจายจนปลุกทุกคนที่หลับใหลขึ้นมา

 

ไม่มีใครจดจำ นอกจากก้อนหินที่เก็บความลับของฝนหยดน้อยไว้ กาลเวลาผ่านไป หมู่เมฆใหญ่ในตอนโน้นสลายหายไปแล้ว และพืชพรรณตอนโน้นก็ตายไปแล้วเช่นกัน ส่วนก้อนหินผู้ไม่เคยตาย มันคอยบอกเล่าแก่พืชพรรณไม้ต้นใหม่ที่แทงยอดและหมู่เมฆใหม่ที่ลอยผ่าน ถึงนิทานของเมฆปุยเล็กปุยหนึ่งที่กลั่นหยาดฝนหยดน้อยลงมา

 

 

นิทานเรื่อง นกเพนกวินในป่าลากันดอน

จาก Subcomandante Marcos, "A Penguin in the Selva Lacandona," July 28, 2005.

จากฉบับแปลภาษาอังกฤษของ irlandesa

แปลโดย ภัควดี วีระภาสพงษ์

..............................................................................................................

 

 

เอาล่ะ สัญญาต้องเป็นสัญญา ผมบอกคุณไปตอนต้นแล้วว่า ผมจะเล่าเรื่องนกเพนกวินที่อยู่ที่นี่ ในป่าลากันดอน ในเทือกเขาทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก เรื่องมันเป็นอย่างนี้:

 

เรื่องเกิดขึ้นในค่ายพักแห่งหนึ่งของนักรบขบถ เมื่อเดือนกว่าๆ มานี้เอง ไม่นานก่อนที่จะประกาศสัญญาณสีแดง (1) ผมอยู่ระหว่างเดินทาง กำลังมุ่งหน้าไปที่ฐานแห่งหนึ่งที่กำหนดเป็นศูนย์บัญชาการกลางของกองทัพ EZLN (กองกำลังปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตา) ผมต้องไปรับนักรบขบถชายและนักรบขบถหญิงที่นั่น ซึ่งจะมาประจำการในหน่วยของผมระหว่างสัญญาณสีแดง ผู้บัญชาการค่ายพัก ซึ่งเป็นนักรบขบถชายยศพันโท กำลังเสร็จสิ้นภารกิจการรื้อถอนค่ายและเตรียมการเพื่อเคลื่อนย้ายสัมภาระ เนื่องจากต้องการแบ่งเบาภาระของฐานมวลชนที่ต้องจัดหาเสบียงอาหารให้กองกำลังนักรบขบถ ทหารในหน่วยนี้จึงพัฒนามาตรการยังชีพเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาเอง กล่าวคือ ทำสวนผักและเลี้ยงสัตว์ ทหารทั้งหมดตัดสินใจว่าจะหอบหิ้วผักไปให้มากที่สุดเท่าที่เอาไปไหว ที่เหลือก็ปล่อยทิ้งไปตามยถากรรม ส่วนฝูงไก่ ทั้งแม่ไก่และพ่อไก่ มีทางเลือกสองทางคือ กินมันให้หมดหรือปล่อยมันไป "เรากินดีกว่าปล่อยให้รัฐบาลกิน" คือคำตัดสินของทหารชายและทหารหญิง (ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวอายุต่ำกว่า 20) ที่ประจำการอยู่ในค่ายนั้น ซึ่งก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว ไก่ทั้งหลายจึงต้องจบชีวิตลงในหม้อทีละตัวๆ ก่อนถูกลำเลียงไปลงเอยในจานซุปของทหาร ความที่ไม่ได้เลี้ยงไว้มากมายนัก เพียงแค่ไม่กี่วันให้หลัง ประชากรไก่ก็ลดลงเหลือแค่สองสามตัว

 

เมื่อเหลือไก่แค่ตัวเดียว ในวันที่กำลังจะออกเดินทางพอดี สิ่งที่จะเกิดก็ต้องเกิด...

 

ไก่ตัวสุดท้ายเริ่มเดินยืดตัวตรง คงพยายามปลอมตัวให้เหมือนพวกเราและหวังจะอำพรางตัวด้วยท่าเดินแบบนั้น ผมไม่ค่อยรู้เรื่องสัตววิทยาสักเท่าไร แต่ดูเหมือนลักษณะกายวิภาคของไก่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเดินตัวตรง เมื่อพยายามยืดตัวให้ตรงเข้าไว้ ตัวมันจึงส่ายไปส่ายมา ทำให้เจ้าไก่เดินหกหน้าหกหลัง ไม่สามารถเดินตรงทางได้ ตอนนั้นเอง มีใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "มันดูเหมือนนกเพนกวินนะ" ทำให้ทุกคนหัวเราะก๊ากและเกิดสงสารเจ้าไก่ตัวนี้ จริงนั่นแหละ เจ้าไก่ดูคล้ายนกเพนกวินจริงๆ เพียงแต่ไม่มีขนหน้าอกสีขาวเท่านั้นเอง ปรากฏว่าคำพูดชวนหัวชวนฮานี้สามารถปกป้องเจ้า "เพนกวิน" ให้รอดพ้นจากชะตากรรมแบบเดียวกับเกลอทั้งหลายในเล้าได้

 

เมื่อถึงเวลาเคลื่อนขบวน ขณะกำลังตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่หลงลืมอะไรทิ้งไว้ เหล่านักรบขบถจึงเพิ่งรู้ว่า เจ้า "เพนกวิน" ยังอยู่ที่นั่น เดินส่ายไปส่ายมาเหมือนเดิม ไม่ยอมกลับไปเดินตามท่าธรรมชาติของไก่ "เอามันไปด้วยเถอะ" ผมบอก และทุกคนหันมามองหน้าผม สงสัยว่าผมพูดเล่นหรือพูดจริง นักรบขบถหญิงชื่อ ตนญิตา เป็นคนอาสาพามันไปเอง ฝนเริ่มตก เธอจับไก่ใส่ไว้ในกระพุ้งผ้า ใต้เสื้อคลุมพลาสติกหนาหนักที่ตนญิตาใช้คลุมอาวุธกับเป้หลังให้พ้นน้ำฝน จากนั้น เราเริ่มออกเดินทางกลางสายฝนพรำ

 

เพนกวินมาถึงศูนย์บัญชาการใหญ่ของ EZLN และปรับตัวเข้ากับระเบียบของสัญญาณสีแดงได้อย่างรวดเร็ว มันมักเข้าร่วม (โดยยังคงท่าทีแบบนกเพนกวิน) กับนักรบขบถชายและหญิงในชั่วโมงห้องเรียนการเมือง ตอนนั้น หัวข้อหลักของการศึกษาคือข้อเรียกร้อง 13 ประการของซาปาติสตา ซึ่งกอมปันเญอโร (สหายหรือเกลอ) ทั้งหมดสรุปไว้ภายใต้ชื่อหัวเรื่องว่า "ทำไมพวกเรายังคงต่อสู้" เอาล่ะ คุณๆ คงไม่เชื่อผมหรอก แต่เวลาผมแวะไปที่ห้องเรียนการเมือง โดยอาศัยข้ออ้างว่ามาหากาแฟร้อนๆ ดื่ม ผมเห็นว่าเจ้าเพนกวินต่างหากที่ตั้งอกตั้งใจมากที่สุด มิหนำซ้ำ บางครั้งบางคราว มันยังช่วยจิกคนที่สัปหงกระหว่างการเสวนาทางการเมืองด้วย ประหนึ่งเป็นการดุด่าให้คนๆ นั้นตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้

 

ไม่มีสัตว์อื่นในค่ายทหาร...ผมหมายถึงถ้าไม่นับงู, แมงมุมแทแรนทิวลาที่เรียกว่า "chibo" , หนูนาสองตัว, จิ้งหรีด, มด, ยุงระบุจำนวนไม่ได้ (แต่มีเยอะมาก) และนกโคโฮลิโตตัวหนึ่งที่ชอบมาร้องเพลง นกตัวนี้คงมาตามเสียงดนตรี ที่มีทั้งจังหวะคัมเบีย, รันเชรา, คอร์ริโด (2) มีทั้งเพลงรักเพลงแค้น กระจายเสียงจากวิทยุเครื่องเล็กๆ ที่ใช้ฟังข่าวภาคเช้าของปาสกาล เบลทราน จากสถานีวิทยุอันเตนา และต่อด้วยรายการ "จัตุรัสสาธารณะ" ของมิเกวล อันเกล กรานาโดส ชาปา จากสถานีวิทยุ UNAM

 

เอาล่ะ ผมบอกคุณแล้วว่าไม่มีสัตว์อื่นอีกในค่าย จึงเป็นธรรมดาที่ "เพนกวิน" ทึกทักเอาเองว่า เราเป็นพวกเดียวกับมัน มันก็เลยทำตัวเหมือนเป็นพวกเดียวกับเรา เรานึกไม่ถึงว่ามันทึกทักไปเลยเถิดแค่ไหน จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งเมื่อมันไม่ยอมกินอาหารในมุมห้องที่จัดไว้ให้ และเดินมาที่โต๊ะไม้ เพนกวินส่งเสียงเอะอะโวยวาย แต่เป็นเสียงแบบไก่มากกว่าเสียงแบบนกเพนกวิน ในที่สุดเราก็เข้าใจว่า มันต้องการกินอาหารรวมกับพวกเรา คุณควรเข้าใจด้วยว่า เอกลักษณ์ใหม่ของเพนกวินทำให้อดีตไก่ตัวนี้ไม่ยอมกระดิกปีกบินขึ้นมาบนม้านั่ง นักรบขบถหญิงเอริกาเลยต้องอุ้มมันขึ้นมาและให้มันกินอาหารจากจานของเธอ

 

นายทหารขบถยศร้อยเอกที่ดูแลค่ายแจ้งต่อผมว่า ไก่ตัวนี้...ผมหมายถึงเพนกวิน...ไม่ชอบอยู่ตามลำพังตอนกลางคืน มันคงกลัวว่า พวกหนูพอสซัมอาจสับสนคิดว่ามันเป็นไก่ มันก็เลยประท้วงจนกว่าจะมีคนยอมพามันไปนอนด้วย ไม่นานหลังจากนั้น เอริกากับตนญิตาก็จัดการเย็บเอี๊ยมผ้าสีขาวให้มัน (ทั้งสองต้องการระบายสีบนตัวมัน [เพนกวิน] ด้วยมะนาวหรือสีทาบ้าน แต่ผมเกลี้ยกล่อมพวกเธอจนเปลี่ยนใจได้สำเร็จ...คิดว่าอย่างนั้นนะ) เพื่อจะได้ไม่มีข้อสงสัยว่ามันเป็นเพนกวินและไม่ให้ใครเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นไก่

 

คุณอาจคิดว่าผมหรือพวกเราเพ้อเจ้อไปแล้ว แต่เรื่องที่เล่าให้ฟังเป็นเรื่องจริง ถึงตอนนี้ เพนกวินกลายเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์บัญชาการกลาง Ezeta และพวกคุณที่มาประชุมเตรียมการเพื่อ "การรณรงค์ทางเลือกอื่น" ("Other Campaign") อาจได้เห็นมันกับตา คาดว่าเพนกวินน่าจะได้เป็นมาสคอทนำโชคให้ทีมฟุตบอล EZLN ยามได้ฟาดแข้งกับทีมอินเตอร์มิลานในอนาคตอันใกล้นี้ คงมีบางคนถ่ายรูปไปเป็นที่ระลึก บางทีหลังจากเวลาผ่านไป เด็กหญิงหรือเด็กชายที่มาเห็นรูปนี้อาจถามว่า : "แม่ พวกคนที่ยืนถัดจากเพนกวินนี่ใครกันน่ะ?" (เฮ้อ)

 

คุณรู้อะไรอย่างหนึ่งไหม? ผมเพิ่งฉุกคิดขึ้นมาว่า เราก็เหมือนเพนกวิน พยายามสุดชีวิตที่จะยืนหยัดตัวตรงและหาที่ทางสักแห่งให้เรามีที่ยืนในเม็กซิโก ในละตินอเมริกา ในโลก เช่นเดียวกับเพนกวิน การเดินทางเพื่อรณรงค์ครั้งนี้ไม่เหมาะกับกายวิภาคของเราเลย เราคงต้องเดินโซไปเซมา ล้มลุกคลุกคลานและทำอะไรเปิ่นๆ โง่ๆ เป็นที่หัวเราะเยาะขบขัน แต่บางทีเราคงทำให้คนบางคนสงสารเห็นใจเราบ้างเหมือนกับเพนกวิน และคงมีบางคนใจดีจนปกป้องเราและช่วยเหลือเรา เดินไปกับเรา และทำในสิ่งที่ผู้ชายผู้หญิงทุกคนหรือนกเพนกวินทุกตัวพึงกระทำ นั่นคือ พยายามแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าเดิมด้วยหนทางเดียวที่มีอยู่....ด้วยการต่อสู้นั่นเอง

 

Vale ไชโยและขอฝากอ้อมกอดจากเพนกวิน (?)

 

จากเทือกเขาในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเม็กซิโก

รองผู้บัญชาการมาร์กอส

กรกฎาคม 2005

 

...................................................................................................

(1)    Red Alert สัญญาณเตือนภัยของซาปาติสตา ในช่วงเวลาที่มีสัญญาณสีแดง ชุมชนซาปาติสตาจะปิดตัวจากคนภายนอก ตั้งแต่ต้นปีที่แล้วที่รองผู้บัญชาการมาร์กอสหรือ "ผู้แทนหมายเลขศูนย์" ออกเดินทางทั่วเม็กซิโกใน "การรณรงค์ทางเลือกอื่น" ชุมชนซาปาติสตาอยู่ภายใต้สัญญาณสีแดงมาตลอด

(2)    Cumbia ดนตรีเต้นรำชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจากโคลอมเบีย คล้ายกับจังหวะซัลซา Ranchera และ Corrido เป็นเพลงพื้นบ้านเม็กซิกัน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net