Skip to main content
sharethis


 





 


กลุ่มค้านท่อก๊าซวอน "สุรยุทธ์" ยกเลิกกฤษฎีกาถอนที่สาธารณะฮุปที่ดินวากัฟ ทนายยืนยัน "ทักษิณ" ออกกฎหมายมิชอบ "เตือนใจ ดีเทศน์" หวั่นปัญหาบานปลาย นำเข้าที่ประชุมที่ปรึกษา คมช.


 


เมื่อเวลา 10.00. วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 ที่ลานมัสยิดสอลาหุดดีน บ้านปากบางกลาง ตำบลสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย - มาเลเซีย และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง จัดเวทีเสวนาเรื่อง "หยุดกฎหมาย
ย่ำยีศาสนา รวมพลังมุสลิมทวงคืนที่ดินวะกัฟคืนสู่อัลเลาะห์" ขึ้น มีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน โดยมีนักวิชาการ นักศึกษา รวมทั้งแกนนำชาวบ้านในไร่ อำเภอท้ายเหมือง และบ้านย่าหมี อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา เข้าร่วมฟังการเสวนา


 


ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย นางเตือนใจ ดีเทศน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติ นายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ ทนายความ นายนุ๊ ยีกับจี โต๊ะครูจากอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา อดีตกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา นายอับดุลร่อซัก หมีนยะลา ครูสอนศาสนาในอำเภอจะนะ นายงอย หมะเด และนางรอกีเย๊าะ มะเด ทายาทของผู้วากัฟ (การอุทิศทรัพย์สินในทางศาสนาอิสลาม) ที่ดิน ที่รัฐบาลยกให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย - มาเลเซียไปใช้ประโยชน์


 


นายเนตร หว่าหลำ แกนนำเครือข่ายฯ กล่าวในเวทีเสวนาว่า ว่าเหตุที่ชาวบ้านในเครือข่ายคัดค้านฯ จัดเวทีเพื่อทวงคืนที่ดินวะกัฟที่อยู่ในโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย - มาเลเซีย เนื่องจากก่อนหน้านี้รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกพระราชกฤษฎีกา (พรฎ.) เพิกถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่พลเมืองใช้ร่วมกันในท้องที่ตำบลตลิ่งชันและตำบลสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา พ.ศ.2549 เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2549 ซึ่งเป็นการออกพระราชกฤษฎีกาที่มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะต้องการช่วยเหลือบริษัท ทรานส์ ไทย - มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ทีทีเอ็ม เจ้าของโครงการก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ไทย - มาเลเซีย ฮุบที่ดินวะกัฟตามหลักการศาสนาอิสลาม เพื่อนำไปสร้างโรงแยกก๊าซ


 


นายเนตร กล่าวต่อไปว่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม 250 ทางเครือข่ายคัดค้านฯ ได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ตรวจสอบการออกพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว และขอให้ช่วยทำหนังสือถึงรัฐบาลของพล..สุรยุทธ์ จุลานนท์ ให้ระงับการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ไว้ก่อน โดยทางเครือข่ายจะเคลื่อนไหวจนกว่ารัฐบาลจะประกาศยกเลิกพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว นำที่ดินวะกัฟคืนให้กับพี่น้องมุสลิม


 


 นายแสงชัย กล่าวในระหว่างเสวนาว่า การออกพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้รัฐบาลเห็นสมควรให้เพิกถอนที่ดินสาธารณะ เพื่อนำไปแลกเปลี่ยนกับที่ดินของบริษัท ทรานส์ไทย - มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติไทย - มาเลเซีย เป็นการออกกฎหมายโดยไม่รู้หลักการวะกัฟ อ้างเพียงว่าที่ดินดังกล่าวเหมาะที่จะเอาไปใช้ประโยชน์ ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้


 


นายแสงชัย กล่าวว่า ที่ดินสาธารณประโยชน์ตามกฎหมาย เหมือนกับหลักการที่ดินวะกัฟของพี่น้องมุสลิม ที่ดินสาธารณประโยชน์เกิดจากการที่คนหมู่มากในท้องที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ถ้าหากที่ดินไหนมีลักษณะอย่างนี้ บุคคลใดจะไปอ้างเป็นสิทธิส่วนตัวทำไม่ได้ และหากชาวบ้านยังใช้ประโยชน์อยู่ รัฐบาลจะไปยกเลิกความเป็นสาธารณะไม่ได้ จะเปลี่ยนแปลงสภาพได้ด้วยเหตุผลเดียว คือประชาชนเลิกใช้ประโยชน์แล้ว การออกพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีหลักฐานอะไรที่บอกว่า ราษฎรเลิกใช้ประโยชน์แล้ว เห็นชัดๆ ว่า ราษฎรถูกบีบบังคับให้เลิกใช้ เพราะโรงแยกก๊าซกั้นรั้ว แล้วจัดตำรวจมารักษาการไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปใช้ ข้ออ้างที่ว่าชาวบ้านเลิกใช้ประโยชน์ จึงเป็นข้ออ้างที่ฉ้อฉลโกหก


 


"การออกกฎหมาย โดยใช้ข้อมูลที่ฉ้อฉลถือว่า คำสั่งที่ออกมาบังคับใช้เป็นกฎหมายไม่ได้ ที่ดินผืนนี้ถูกคนบุกรุกเข้าไปใช้ประโยชน์ แล้วสร้างเรื่องบิดเบือนนำเรื่องที่บิดเบือนไปสร้างหลักฐานโกหก เพื่อนำไปออกกฎหมาย ฉะนั้น การที่เราปฏิเสธกฎหมายฉบับนี้ ไม่ใช่เราไม่เคารพกฎหมาย เพียงแต่เราจะไม่ยอมเคารพกฎหมายปลอมๆ อย่างฉบับนี้" นายแสงชัย กล่าว


 


นายแสงชัย กล่าวอีกว่า หากดูดีๆ การออกพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ เป็นวันสุดท้ายที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งรักษาการ ก่อนที่จะเดินทางออกนอกประเทศ เป็นการออกพระราชกฤษฎีกาเพื่อช่วยเหลือคนที่กระทำความผิดบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ เพราะออกหลังจากบริษัท ทรานส์ ไทย - มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด เข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณะแปลงนี้ โดยเข้าไปเปลี่ยนแปลงสภาพที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งมีความผิดตามกฎหมาย


 


นางเตือนใจ กล่าวว่า ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตนจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับคณะกรรมาธิการการมีส่วนร่วมภาคประชาชน และกรรมาธิการวิสามัญรับเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2550 ตนจะนำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุมที่ปรึกษาคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ จากนั้น วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2550 จะนำเข้าหารือในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในช่วงอภิปรายญัตติผลกระทบจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามไปมากกว่านี้


 


"สมัยเป็นวุฒิสมาชิก ได้ตรวจสอบกรณีโครงการท่อส่งก๊าซฯ จนวุฒิสภามีมติให้ชะลอโครงการไปแล้ว แต่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณในสมัยนั้น ไม่ดำเนินการตามมติวุฒิสภา" นางเตือนใจ กล่าว


 


นายนุ๊ ได้บรรยายเรื่องที่ดินวะกัฟกับหลักศาสนาอิสลามว่า การวะกัฟ คือ การมอบอำนาจการปกครองให้กับอัลเลาะห์ (พระเจ้าของอิสลาม) ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของได้อีก ไม่ว่ารัฐหรือผู้นำศาสนาอิสลาม เพราะถือว่าเป็นของอัลเลาะห์ ไม่มีใครมีอำนาจที่จะยกให้ใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ที่ดินวะกัฟจะเอาไปทำหรือก่อสร้างอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะทำศาลา บ่อน้ำ ถนน โรงเรียน และมัสยิดเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่สามารถทำได้ กรณีที่ดินวะกัฟนักวิชาการมุสลิมทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้รับรองไปในแนวเดียวกัน ไม่มีทางเบี่ยงแบนเป็นอย่างอื่นได้ หากใครปฏิเสธจะตกนรก เพราะถือว่าทรยศต่ออัลเลาะห์ หน้าที่การดูแลปกป้องที่ดินวะกัฟ เป็นหน้าที่ของทุกคนไม่ว่ารัฐ ข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น และผู้นำศาสนา ตลอดจนมุสลิมทั่วโลก


 


"ผมเองเป็นอดีตคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา หากส่งคนลงมาตรวจสอบแล้ว ถ้าไม่พบกับทายาทหรือพยานที่ยืนยันเรื่องการวะกัฟได้ จะไปสรุปว่าไม่ใช่ที่ดินวะกัฟไม่ได้เพราะไม่ใช่หลักการของศาสนาอิสลาม หากผู้ใดรู้ว่า เป็นที่ดินวะกัฟแล้วยังเฉยอยู่ ก็เท่ากับร่วมกันทำลายศาสนา โทษของคนที่ทำลายศาสนาอิสลาม ต้องตกนรกโดยไม่มีวันได้เข้าสวรรค์" นายนุ๊กล่าว


 


นางรอกิเย๊าะ กล่าวว่า ตนเป็นทายาทผู้วะกัฟ ซึ่งเป็นปู่ของตน โดยเขาได้วะกัฟ (อุทิศ)
ที่ดินให้ชาวบ้านในตำบลตลิ่งชันและตำบลสะกอม ใช้ประโยชน์ในการสัญจรไปมาร่วมกัน
ซึ่งชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์มาตลอด จนกระทั่งโรงแยกก๊าซได้ปิดกั้นล้อมรั้วสร้างโรง
แยกก๊าซ ไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปใช้ประโยชน์ดังเดิม จนล่าสุดมีการออกพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว ตนในฐานะทายาทไม่ยอมรับพระราชกฤษฎีกาที่ทำลายหลักการศาสนาอิสลาม และจะต่อสู้จนถึงที่สุด


 


จากนั้น แกนนำเครือข่ายคัดค้านฯ ได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว เพื่อคืนที่ดินวะกัฟให้กับพี่น้องมุสลิม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net