Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

โดย  ภฤศ ปฐมทัศน์


           


นาน ๆ ทีผมถึงจะเปิดทีวี...


           


ไม่เกี่ยวกับความหวาดกลัวลัทธิบริโภคนิยม หรือเกรงว่าตนจะเสพข่าวสารมากเกินไป (เพราะถึงไม่มีทีวี ผมก็รับข่าวสารทางอินเตอร์เน็ตอยู่ดี) แต่การที่ผมห่างหายจากการรับสื่อแขนงนี้มานาน ทำให้ผมเริ่มรู้ตัวเองว่า ผมขาดมันได้ ไม่เป็นไร อาจรวมไปถึงความเชื่อมั่นในสื่อแขนงนี้ที่ลดลงเรื่อยๆ และลดลงจนเป็นศูนย์ในช่วงการเมืองร้อนแรงของปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Free TV.หรือ Cable TV.ก็ตาม


           


ครั้นผมเปิดทีวีขึ้นมาหมายจะเป็นเพื่อนแก้เหงาชั่วยาม ก็ได้พบกับรายการรายงานข่าวรูปแบบใหม่ (จริงๆ ไม่ใหม่เท่าไหร่แล้ว) ที่เอาคนสามคนมานั่งพูดกันเรื่อยเปื่อย มีรุ่นน้องที่เรียนด้านสื่อมาโดยตรงบอกผมว่า "การนำเสนอข่าวไม่สมควรใส่ความเห็นส่วนตัวของผู้รายงานข่าวไปด้วย" เมื่อแรกผมก็ตั้งคำถามกับรุ่นน้องคนนี้ว่ามันเป็นแค่คำสำเร็จรูปจากบทเรียนที่ปิดกั้นสิ่งใหม่ๆ หรือเปล่า? แต่พออยู่ไปก็เริ่มให้คำตอบแก่ตัวเองได้ว่า มันไม่สมควรมีจริงๆ แหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรายการตรงหน้านี้ พวกเขาเอาข่าวมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมีอคติ แถมยังช่วยผลิตซ้ำอคติมากมายหลายอย่างที่ควรจะตายๆ กันไปได้แล้วในสังคมที่พัฒนา ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดปิตาธิปไตย (ชายเป็นใหญ่), แนวคิดที่มองไม่เห็นหัวคนกลุ่มน้อย, รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์โดยใช้คติแบบพวกขวาปฏิกิริยา ไม่ก็พวกอนุรักษ์นิยม (ทั้งเก่าและใหม่)


           


รายการนี้ไม่ได้มีอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นการสร้างสรรค์ทางปัญญาเลย แค่เอาข่าวมานั่งคุยกันธรรมดาๆ ซึ่งจะหาฟังจากที่ไหนก็ได้ เผลอๆ ไปนั่งฟังตามร้านเหล้าข้างทางยังจะสนุกและได้อะไรเสียมากกว่าจะมาฟังจากรายการนี้ จำได้ว่าเมื่อก่อนก็เคยมีหนุ่มแว่นคนหนึ่งทำรายการแบบนี้ขึ้นมา แต่แล้วเขาก็หลุดออกไป เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง?


           


หมายความว่า การเมืองมีอิทธิพลต่อสื่อ? แล้วสื่อก็มีอิทธิพลต่อประชาชน? เสรีภาพของสื่อมีอยู่จริงหรือ? หรือสิทธิที่จะแสดงความเห็นของประชาชน มีเพียงแค่ใน SMS กระจ่อยร่อยไม่รู้แหล่งที่มา ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน ไม่ต้องรับผิดชอบ เพียงเท่านั้น?


           


ผมเชื่ออยู่เสมอว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้มแข็ง มีศักยภาพในการพัฒนา มีเจตจำนงอิสระ มีพลังสร้างสรรค์ แต่มนุษย์ก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในอุดมคติ มนุษย์มีด้านที่อยากทำลายล้าง มีความกระหาย และความอ่อนแอ นั่นทำให้มนุษย์ไม่ว่าจะในยุคสมัยใดก็ตาม ต่างต้องการแสงสว่างนำทาง ในยุคหนึ่งอาจเป็นแสงสว่างแห่งศรัทธา ในยุคต่อมาอาจเป็นแสงสว่างแห่งเหตุผล นำพาไปสู่แสงสว่างแห่งวิทยาการ แล้วในยุคสมัยที่เราอยู่กันนี้...เป็นแสงสว่างจากอะไรกัน?


 


Neon Bible เป็นสตูดิโออัลบั้มที่สองของของวง Arcade Fire วง Indie rock จากประเทศแคนาดา มีสมาชิกวงทั้งหมด 7 คน ก่อตั้งโดย พี่น้อง Win กับ William Butler และ ภรรยาของ Win คือ Regine Charssagne รวมถึงสมาชิกปัจจุบันอีกคือ Richard Reed Parry, Tim Kingsbury, Sarah Neufeld และ Jeremy Gara  สมาชิกวงนี้แทบทั้งหมดสามารถเรียกได้ว่าเป็น Multi-instrumentalist หรือก็คือมีสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชิ้น จึงไม่เจาะจงว่าใครเล่นอะไรเป็นพิเศษ ในงานแสดงสดก็มีการสับเปลี่ยนตำแหน่งกันเมื่อเปลี่ยนเพลงด้วย นอกจาก กีต้าร์, เบส, กลอง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรี Rock ดั้งเดิมแล้ว ยังมีเครื่องดนตรีอื่น ๆ อีกมากมายหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เปียโน , ไวโอลิน , เซลโล่ , ดับเบิ้ลเบส , คีย์บอร์ด, เฟรนช์ฮอร์น, แอคคอร์เดี้ยน, พิณ ฯลฯ มาเป็นส่วนช่วยเสริมให้ซาวด์ดนตรีของวง Arcade Fire มีสีสันมากขึ้นกว่า Pop , rock ทั่วไป โดยในอัลบั้มนี้ยังได้เพิ่ม Pipe Organ (ที่ใช้กันในโบสถ์คริสต์), เฮิร์ดดี้-เกอร์ดี้, การร้องประสานเสียง และวงออร์เคสตร้าของฮังการี่ เข้าไปอีกด้วย นั่นทำให้วงนี้เรียกว่าเป็น Baroque Pop เลยทีเดียว


 



ภาพปกอัลบั้ม Neon Bible


 


ดนตรี Baroque Pop นอกจากจะใช้วงออร์เคสตร้าหรือเครื่องดนตรีอื่นๆ เสริมเป็นพื้นผิวแล้ว ยังได้หยิบยืมองค์ประกอบบางอย่างจากดนตรีคลาสสิคในยุค Baroque มาใช้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการประสานเสียงต่างระดับพร้อมกัน (Polyphonic) จังหวะและการเดินคอร์ดที่ไหลไปข้างหน้าเรื่อยๆ ทำให้วงดนตรีแนวนี้ รวมถึงวง Arcade Fire ไม่ใช่วงที่ฟังติดหูง่ายๆ อย่างวงตลาดทั่วไป


 


เพลงเปิดในอัลบั้ม Neon Bible คือ "Black Mirror" หรือ "กระจกดำ" ซึ่งในที่นี้หมายถึงวัตถุในยุคสมัยก่อน เชื่อกันว่าสามารถใช้ส่องเพื่อให้เห็นภาพเหตุการณ์ในอนาคตได้ โดยในเนื้อเพลงได้บอกไว้ว่าพวกเขาได้ใช้มันส่องดูโลก ราวกับจะบอกพวกเราว่า จากที่พวกเขาพูดถึงความรู้สึกส่วนตัวเป็นส่วนใหญ่ใน Funeral อัลบั้มแรกของพวกเขาแล้ว คราวนี้เนื้อหาของพวกเขาจะออกมาสำรวจโลกภายนอกกันบ้าง


 


"I know a time is coming
All words will lose their meaning
Please show me something that isn't mine
But mine is the only kind that I relate to"


-           Black Mirror


 


ผมปิดทีวี เมื่อไม่มีภาพบนจอแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับกล่องสี่เหลี่ยมที่มีกระจกสีดำติดอยู่เลย ผมคว้ากุญแจ ขับรถออกจากบ้าน หมายจะฝังตัวอยู่ในร้านหนังสือที่เปิดดึกกว่าร้านหนังสือทั่วไป ในประเทศนี้มันจะมีร้านหนังสือที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงแบบร้าน Mini-Mart ที่ผุดเป็นดอกเห็ดหรือเปล่านะ ผมนึก


 


ในเพลง Keep the car running มีจังหวะจะโคนร่าเริง ชวนให้เต้นรำ ขณะเดียวกันก็มีการร้องประสานเสียงแบบปลุกใจสอดรับขึ้นมาเป็นระยะๆ 


 


"Every night my dream's the same


Same old city with a different name


Men are coming to take me away


I don't know why, but I know I can't stay"


- Keep the Car Running


 


ระหว่างทางออกจากบ้าน ผมผ่านป้ายที่เป็นตู้ไฟมากมาย เมื่อตอนเด็กๆ มันยังไม่มีมากมายขนาดนี้ เมื่อก่อนค่ำคืนคงเป็นที่สิงห์สถิตของภูตผี แต่เมื่อมนุษย์เราเริ่มสร้างแสงประดิษฐ์ได้เอง พวกเราก็เริ่มยึดครองพื้นที่ของค่ำคืนจากภูตผีเหล่านั้น สิ่งที่น่ากลัวกว่าสำหรับผู้คนสมัยนี้คือ "ความเดียวดาย" ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้คนเหล่านั้น บางครั้งผมก็เข้าไปนั่งพูดคุยดื่มกินกับเพื่อนฝูง ตามผับบาร์ที่ผุดเป็นดอกเห็ด หรือไม่ก็นั่งคุยกับผู้คน ผ่านทางโลกเสมือนจริง อย่าง Webboard, แช็ตผ่าน MSN, ดู MV ของศิลปินต่างประเทศจาก Youtube …แสงไฟจากหน้าจอคอมพิวเตอร์พอจะสาดส่องให้โรคระบาดแห่งยุคสมัยที่ชื่อว่าความเดียวดายหายไปได้บ้าง


 


"Take the poison of your age


Don't lick your fingers when you turn the page


What I know is what you know is right


In the city it's the only light"


-           Neon Bible


 


ผมผ่านร้านเหล้ากึ่งร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องเดาเลยว่าข้างในนั้นย่อมเต็มไปด้วยผู้คนชนชั้นที่ค่อนข้างมีฐานะ มาสรวลเสเฮฮากัน เขาพูดกันเรื่องอะไรบ้าง รถใหม่? เสื้อใหม่? กิ๊กใหม่? การบริโภควัตถุใหม่ๆ ? ผมไม่ปฏิเสธการเที่ยวกลางคืน มันคือรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างหนึ่ง แต่มันชวนให้ผมนึกถึงตอนเข้ามหาวิทยาลัยช่วงแรกๆ วันคืนที่ผ่านไปซ้ำๆ ราวเป็นพิธีกรรม...ซึ่งไม่ได้นำไปสู่อะไรเลย นักศึกษาหลบมาพักเหนื่อยเพื่อที่จะกลับไปตั้งใจเรียนในโครงสร้างระบบการศึกษาเดิมๆ คนวัยทำงานเข้ามาดื่มกินพักผ่อนเพียงเพื่อที่จะมีพลังในกลับไปทำงานรับใช้ระบบอำนาจเม็ดเงินเดิมๆ ทุกอย่างหมุนเวียนเป็นวงกลมที่น่ารังเกียจ ผมมองภาพพนักงานเฝ้าที่จอดรถกำลังยืนโบกรถของวัยรุ่นคนหนึ่ง รถยนต์หรูหราราคาแพงแล่นออกไปอย่างไม่ใยดี ผมอยากรู้ว่าพนักงานคนนั้นคิดอะไร รู้สึกยังไง


 


เพลง Intervention เป็นเพลงที่โดดเด่นที่สุดในอัลบั้ม จากการที่ใช้ Pipe organ เป็นทั้งเสียงหลัก และ Background ตลอดเพลง ทั้งยังค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละท่อน ทำให้เพลงนี้มีพลัง อีกทั้งยังมีเมโลดี้งดงาม แต่ขณะเดียวกันเสียงร้องก็ฟังดูเศร้า เนื้อเพลงพูดถึงความอัดอั้นซ้ำๆ ของชีวิตในระบบอันเลวร้ายในปัจจุบัน


 


"You say it's money that we need


As if we're only mouths to feed


I know no matter what you say


There are some debts you'll never pay


 


Working for the Church while your family dies


You take what they give you and you keep it inside


Ever spark of friendship and love will die without a home


Hear the solider groan, "We'll go at it alone" "


 


-           Intervention


 


หากใครชอบเพลงที่ฟังดูเหงาๆ อัลบั้มนี้ก็มี Ocean of Noise ที่มีเสียงกีต้าร์ทุ้มๆ คลอตามเพลง ลงท้ายด้วยเสียง Orchestra อย่างสวยงาม ก่อนจะกลับมามีจังหวะคึกคักอีกครั้งใน The Well and the Lighthouse ในเพลงนี้ผมชอบตรงเนื้อหาเชิงเล่าเรื่องที่ใช้เทคนิคการเปลี่ยนคนร้องอย่างฉับพลัน รวมถึงเสียงระยิบระยับที่ประดับอยู่ตลอดเพลงด้วย


 


ผมขับรถมาถึงที่ตั้งร้านหนังสือ รู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นเล็กน้อย จริงๆ ในเวลานี้ถนนมันควรจะโล่ง ถึงจะมีเสียงรบกวนจากร้านรวงต่างๆ บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าวันนี้ รถราแน่นขนัดเต็มถนนเนื่องจากผู้คนแห่แหนกันมางานเทศกาลอะไรสักอย่าง เอาเถอะ คิดเสียว่าเป็นโอกาสสร้างรายได้ของคนที่จะมาออกร้าน ที่งานมีเวทีจัดแสดง มีเด็กขึ้นไปแสดงบนเวที และก็เป็นตามคาดเวทีจัดแสดงนี้สุดท้ายแล้วก็เหมือนเป็นเวทีที่ผู้ใหญ่ใช้ปลุกปั้นเด็กให้ความบันเทิงแก่ตน แถมยังปลูกฝัง ยัดเยียด ผลิตซ้ำค่านิยมต่างๆ เช่นการจำยอม และระบอบอาวุโส ฯลฯ


 


เพลง (Antichrist television blues) เป็นเพลงที่ไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ในด้านดนตรี แต่ก็ช่วยขับเน้นเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน หวาดระแวง และกระหายอยากอยู่ลึกๆ ได้เป็นอย่างดี ดั่งบทสวดอ้อนวอนของคนในสังคมเมืองที่อยู่ท่ามกลางค่านิยมบิดเบี้ยวถูกผลิตซ้ำโดยสื่อ และผลิตซ้ำโดยตัวของเขาเอง


 


"My girl's 13 but she don't act her age


She can sing like a bird in a cage


O Lord, if you could see her when she's up on that stage!


...


You're such a sensitive child!


Oh! You're such a sensitive child!


I know you're tired but it's alright


I just need you to sing for me tonight


You're gonna have your day in the sun


You know God loves the sensitive ones"


 


-           (Antichrist Television Blues)


 


เสียงโหวกเหวกของเครื่องเสียงตีกันไปมา แสงไฟทั่วงานที่อลังการสว่างโร่ราวกลางวัน รถเป็นร้อยๆ คันไหลเบียดกันอย่างช้าๆ ในถนนสายเดียวกัน ผมได้แต่นั่งหลบซุกตัวเองให้มิดที่สุดอยู่ในร้านหนังสือ พยายามจะไม่จินตนาการว่า อนาคตข้างหน้าถนนสายนี้จะเป็นยังไง เมืองที่ผมอยู่จะเป็นยังไง โลกใบนี้จะเป็นยังไง


 



 


เพลงที่ร่าเริงปลุกใจในอัลบั้มนี้ยังมีอีกเพลงคือ No Cars Go ที่ทั้งดนตรีและเนื้อเพลงชวนเราหนีออกจากความวุ่นวายไม่รู้จบ ในส่วนของดนตรีจัดว่าเป็นเพลงที่เรียบเรียงได้ดีที่สุดในอัลบั้มนี้เลยก็ว่าได้ ส่วนเพลง Windowsill เองก็ได้นำความเป็น Modern Rock มาดัดแปลงได้อย่างเข้าที เนื้อเพลงพูดถึงความสิ้นหวัง มองโลกเป็น Dystopia อันน่าหดหู่ และอยากจะปิดหูปิดตา หนีไปให้พ้นจากมันเสีย


 


"MTV, what have you done to me?


Save my soul, set me free!


Set me free! What have you done to me?


I can't breathe! I can't see!


World War III, when are you coming for me?


Been kicking up sparks, we set the flames free


The windows are locked now so what'll it be?


A house on fire or a rising sea?"


 


- Windowsill


 


เพลงปิดของอัลบั้มนี้คือ My Body is a Cage เสียง Percussion เป็นฉากหลังฟังดูเวิ้งว้าง มีเสียง Pipe Organ คอยห่อหุ้มความเวิ้งว้างนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความรู้สึกให้เหมือนตกอยู่ภายใต้อะไรที่ยิ่งใหญ่ไม่อาจต่อกร ซึ่งบางครั้งอะไรที่กดทับเราไว้อยู่นั้นอาจไม่ใช่โลกภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นอาจเป็นอะไรที่มาจากภายในตัวของเราเองด้วย


 


"I'm living in an age


That calls darkness light


Though my language is dead


Still the shapes fill my head"


 


- My Body is a Cage


 


ผู้คนในยุคสมัยเราต่างสร้างแสงสว่างกันขึ้นมาเอง เพื่อห่อหุ้มค่ำคืนสงบสงัด นำทางจิตวิญญาณสับสนแม้เพียงชั่วยาม ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้คนของยุคสมัยที่หลงใหลในแสงประดิษฐ์เหล่านี้ หากแต่ไม่ใช่แสงลวงทีวีที่มีผู้กุมอำนาจ (อำนาจเงินหรืออะไรก็ตาม) เป็นเจ้าของ ไม่ใช่แสงที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตซ้ำซากของผู้คน และไม่ใช่แสงที่เกิดจากความอลังการบ้าคลั่งเกินตัว (Megalomania) ของภาครัฐ


 


ผมขับรถกลับบ้าน ค่ำคืนจะน่ารักขึ้นมากหากไม่มีพวกลูกคนรวยมาซิ่งรถแข่งกัน ผู้คนที่หลงเหลือเป็นเพื่อนร่วมถนนบางส่วนคงมาจากงานเทศกาล บางส่วนคงมาจากร้านเหล้า บางส่วนคงมาจากอาชีพการงานที่ต้องทำจนดึกดื่น หรือสำหรับบางคนแล้วนี่เป็นเวลาเข้างานของเขาด้วยซ้ำ เพื่อนร่วมถนนกับผมไม่มีโอกาสได้สนทนากัน ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปยังจุดหมายของตน


 


...โดยมีแสงไฟส่องถนนนำทาง


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net