ปาฐกถา ส.ศิวรักษ์ : "ตราบใดที่สังคมอยู่ในระบบชนชั้น จะให้คนพวกนี้เห็นคนจนสำคัญกว่าตัวกระไรได้"

ประชาไท - 21 เม.ย. 2550 เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์ศึกษาพัฒนาสังคม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสมัชชาคนจน จัดสัมมนาเรื่อง "ข้อเสนอสู่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 เพื่อสร้างประชาธิปไตยที่กินได้และการเมืองที่เห็นหัวคนจน" โดยนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักคิดนักเขียน ปาฐกถาในหัวข้อ "ทำไมต้องสร้างประชาธิปไตยที่กินได้และการเมืองที่เห็นหัวคนจน" ซึ่งมีรายละเอียดการปาฐกถา ดังนี้


 

0 0 0 0 0

 

วันที่ 24 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ประชาธิปไตยไทยจะมีอายุครบค่อนศตวรรษ

 

ณ เวลา 6 นาฬิกาของวันดังกล่าว คณะกรรมการประสานงานพัฒนาองค์กรเอกชน ชักชวนพวกเราให้ไปประกาศเจตนารมณ์ แล้วใส่บาตรพระภิกษุสงฆ์ 75 รูป เป็นฤกษ์ โดยที่คืนก่อนหน้านั้นก็ชวนกันไปค้างที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อสนทนาประวัติศาสตร์และอนาคตของประเทศไทย กับให้มีเวลาภาวนาเพื่อมงคลชีวิต โดยเราต้องไม่ลืมว่า มีหมุดจารึกไว้ที่นั่น ความว่า

 

"ณ ที่นี้ คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง" จึงใคร่บอกกล่าวให้พวกเราไปร่วมกันให้มากๆ อย่างน้อยเราต้องมีจิตสำนึกในทางนี้ 

 

ขอย้ำว่าการสถาปนาประชาธิปไตยขึ้นเมื่อ 75 ปีก่อนนั้น ได้กระทำในนามของคณะราษฎร ซึ่งก็คือคนส่วนใหญ่ อันได้แก่คนจนนั้นแล

 

ธรรมนูญการปกครองฉบับแรกที่ปรากฎตัวออกมา ณ วันที่ 27 มิถุนายนนั้นเล่า ก็ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่า อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎร นับเป็นครั้งแรกที่ราษฎรได้เป็นเจ้าของประเทศ นี่คือการเห็นหัวคนจนว่าสำคัญ โดยที่ก่อนหน้านั้นผู้คนเป็นเพียงไพร่หรือข้า หาไม่ก็เป็นฝุ่นเมืองหรือข้าทูลละอองธุลีพระบาท คือเป็นผู้ที่ไม่มีความหมายใดๆ สำหรับชนชั้นปกครองซึ่งมีอภิสิทธิ์นานาประการ จำเพาะคนจำนวนน้อยที่ไต่เต้าเอาดีได้ในทางราชการหรือเป็นพ่อค้าม้าขายจนร่ำรวยนั่นแหละถึงจะมีความหมาย แต่ยังต่ำต้อยกว่าเจ้านายในราชวงศ์ทุกประการ อย่างน้อยก็ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา

 

ก่อนรัชกาลที่ 5 เจ้านายไม่ใหญ่โตมาก เพราะมีขุนนางคุมอยู่ แต่รัชกาลที่ 5 ที่เรายกย่องกันมากนั้นแลเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่รังแกราษฎรยิ่งกว่าคนอื่นๆ ดังจะเห็นได้ว่า กบฎผีบุญเกิดขึ้นในรัชกาลที่ 5 ตั้งตัวเป็นท้าวธรรมิกราช เป็นผู้มีบุญ เขาไม่ต้องการให้กรุงเทพฯ มากดหัวคนจน คนกรุงเทพฯ กดหัวคนจนได้ เพราะเอาอาวุธไปฆ่าเขา ทำมาตลอด ครั้งแรกที่อุบลราชธานี ครั้งที่สองที่แพร่ ครั้งที่สามที่ปัตตานี รัชกาลที่ 5 ทั้งนั้น เสด็จพ่อ ร.5 ที่ทุกคนยกย่อง จนตั้งชื่อมหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยนี้ก็เป็นสถาบันซึ่งมอมเมาผู้คนอย่างเลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่ง

 

นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นมันสมองของคณะราษฎรฝ่ายพลเรือน เกือบจะเป็นคนเดียวที่ในบรรดาขุนนางข้าราชการแห่งยุคสมัยที่เข้าใจซึ่งถึงความยากไร้ของคนจนซึ่งถูกเอารัดเอาเปรียบนานาประการ แม้จะเลวร้ายไม่เท่าเวลานี้

 

ที่นายปรีดีนำขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองในครั้งนั้น นั่นคือท่านต้องการให้คนจนมีศักดิ์ศรี ดังการที่ท่านร่างเค้าโครงเศรษฐกิจขึ้นเสนอรัฐบาล ก็เพื่อให้ประชาธิปไตยกินได้ โดยเฉพาะสำหรับคนยากคนจนนั้น เพราะเค้าโครงดังกล่าวเท่ากับเป็นการประกันความกินดีอยู่ดีของราษฎรทั้งหลาย ให้ทุกคนมีงานทำ และเมื่อพ้นเกณฑ์การทำงานแล้ว ก็มีรัฐสวัสดิการ ให้อยู่ดีมีกิน ได้รับการดูแลสุขภาพ ให้ชีวิตเป็นไปอย่างไม่ขัดสน โดยมีชีวปัจจัยอย่างสมควร

 

ท่านใช้คำว่า ชีวปัจจัย คือไม่เน้นเพียงปัจจัย 4 ซึ่งจำเป็นสำหรับสมณะ อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค เพราะผู้ครองเรือนจำต้องมีปัจจัยอื่นอันควรแก่ชีวิต เช่น หนังสือสำหรับอ่าน เครื่องดนตรีสำหรับความบันเทิง พาหนะสำหรับการเดินทาง เป็นต้น

 

น่าเศร้าตรงที่ชนชั้นปกครองซึ่งเข้ามามีอำนาจแทนเจ้านาย ได้กลายเป็นเจ้านายอย่างใหม่ขึ้นมา จึงไม่ยอมรับเค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าว นั่นก็คือการไม่เห็นหัวคนจนและไม่ต้องการให้ประชาธิปไตยกินได้สำหรับประชาชนนั่นเอง

 

กระแสต่อต้านคนจนนั้นเป็นมาโดยตลอด ทุกครั้งที่มีปฏิวัติรัฐประหาร อย่างน้อยก็ตั้งแต่ พ.ศ.2490 เป็นต้นมา ล้วนเป็นการเบียดเบียนบีฑาราษฎรตาดำๆ

 

ก่อนรัฐประหารดังกล่าว เมื่อนายปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 8 นั้น ท่านได้อาราธนาพุทธทาสภิกขุไปสนทนาธรรมที่ทำเนียบท่าช้างติดต่อกัน 5 วัน วันละประมาณ 3 ชั่วโมง เป้าหมายที่สำคัญคือ ท่านผู้สำเร็จฯ ใคร่ได้ธรรมะที่สำคัญมาประยุกต์ใช้กับประชาธิปไตย โดยเฉพาะก็สันตุฏฐีธรรม ให้คนยากจนมีความภูมิใจในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ อย่างมีความพอใจในความเป็นอยู่ของตน ซึ่งเป็นหลักการอันสำคัญ ทั้งพระและฆารวาสต้องช่วยกันขจัดตัณหา หรือปราบตัณหาให้เชิ่องเพราะตัณหาหรือความทะยานอยากนี้แล ย่อมเป็นเครื่องมือที่สำคัญของลัทธิทุนนิยมและบริโภคนิยม ซึ่งกระตุ้นให้ทุกๆ คนต้องการตะเกียกตะกาย ชิงดีชิงเด่น เพื่อแสวงหาทรัพย์ศฤงคารและอำนาจวาสนายิ่งๆ ขึ้นอย่างหาความสุขที่แท้ไม่ได้

 

ที่ชนชั้นปกครองบอกว่าประชาธิปไตยเป็นของฝรั่ง ซึ่งไม่เหมาะกับสังคมไทยนั้น ก็เพื่อจะตีประเด็นให้เห็นว่า ถ้าได้ชนชั้นปกครองที่เป็นคนดี และมีความสามารถแล้วไซร้ ไพร่บ้านพลเมืองก็อาจหาความสุขได้ โดยไพร่บ้านพลเมืองต้องยอมรับระบบชนชั้นว่า คนจนต้องอยู่ต่ำกว่าชนชั้นอื่น ที่ร้ายคือชนชั้นปกครองอ้างพุทธศาสนามาสนับสนุนการปกครองของตน ไม่ว่าจะสมัยราชาธิปไตย หรือเสนาอำมาตยาธิปไตย ในบัดนี้ เรื่อยมาถึงทักษิณาประชาธิปไตย แม้จะปลดทักษิณ (ชินวัตร) ไปได้แล้ว ด้วยอุบายอันชอบธรรมหรือไม่ น่าสงสัยอยู่ แต่ก็ขอยืนยันว่า การทำรัฐประหารทุกครั้งตั้งแต่ปี 2490 เป็นต้นมา จนครั้งสุดท้ายเมื่อ 19 กันยา 2549 ออกจะเข้าตำราที่ว่า อัปรีย์ไป จัญไรมา

 

รัฐประหาร 2490 ซึ่งกระทำด้วยคณะทหารจำนวนน้อย อันอยู่ฝ่ายปฏิกิริยาขวาจัด ร่วมมือกับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนสำคัญ พรรคประชาธิปัตย์นั้นมีจุดยืนต่อต้านคนจนและอยู่ฝ่ายศักดินามาตลอด

 

รัฐประหาร 2490 เป็นการทำลายประชาธิปไตยที่เนื้อหาสาระ หากแต่รักษารูปแบบไว้ ทั้งยังเป็นไปในรูปแบบราชาธิปไตยอีกด้วย นั่นก็คือการเอาเปรียบคนจนนั้นแล และรัฐประหารคราวนั้น ประเด็นที่สำคัญคือการกำจัดนายปรีดี พนมยงค์ และมิตรสหายของท่าน ซึ่งรวมอยู่ในขบวนการประชาธิปไตยเพื่อคนยากคนจน โดยเฉพาะ ส.ส. หัวก้าวหน้าทางภาคอีสานถูกสังหารเกือบหมด ดังจะรวมเรียกว่า ประชาธิปไตยในแนวทางของสังคมนิยมก็ได้

 

และนี่คือปากท้องของประชาธิปไตยหรือระบบเศรษฐกิจที่คำนึงถึงความยุติธรรมทางสังคม เท่าๆ กับระบบการเมืองที่ให้สิทธิเสรีภาพ รวมถึงการกระจายอำนาจ ดังคนในภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคอีสาน ต่างก็มีเอกลักษณ์พิเศษได้ ทั้งทางวัฒนธรรมและการปกครองตนเอง รวมถึงสิทธิที่จะนับถือศาสนาที่ต่างกัน และสิทธิที่จะใช้ภาษาที่ต่างกันกับของคนภาคกลางอีกด้วย ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาของคนภาคกลางไปกดขี่ภาคที่เหลือ ปรากฎว่านักการเมืองที่อยู่ฝ่ายคนจนถูกสังหารไปตามๆ กัน ในข้อหากบฎแบ่งแยกดินแดน แม้รอดตายไป ก็ถูกประหารชื่อเสียงและเกียรติคุณ จนความเท็จมาแทนที่ความจริง ความกึ่งจริงกึ่งเท็จ กึ่งดิบกึ่งดี ได้รับการยอมรับแพร่หลาย โดยใช้การศึกษาและการสื่อสารมวลชนเป็นเครื่องมือมอมเมาผู้คนในแทบทุกระดับ

 

พร้อมกันนี้ก็ต้องกล่าวไว้ด้วยว่า จักรวรรดิอเมริกา ซึ่งเป็นต้นแบบของทุนนิยมระดับโลก ได้เข้ามาแทรกแซง โดยควบคุมชนชั้นบนของไทยไว้ในอำนาจจนเกือบหมดสิ้น รวมทั้งพระสงฆ์องคเจ้า ซึ่งก็ถูกเผดียงไม่ให้สอนเรื่องสันตุฏฐีธรรมอีกด้วย

 

เมื่อรัฐบาล ป.พิบูลสงคราม เริ่มเห็นความเลวร้ายของระบบอาณานิคมอย่างใหม่ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นตัวกำหนดกดชา จึงพยายามถอนตัวออก เพื่อหันมารับรองรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ และหาทางเชิญนายปรีดี พนมยงค์กลับมาเมืองไทย พร้อมออกกฎหมายไม่ให้ใครๆ มีที่อยู่อาศัยได้เกินคนละ 5 ไร่ และที่ทำกินไม่เกินคนละ 50 ไร่ นี่ก็เท่ากับว่ารัฐบาลเริ่มเห็นหัวคนจน อย่างน้อยก็เริ่มกีดกันคนรวยไว้ในกรอบอย่างมีขอบเขต และหันกลับมาสนใจกับปากท้องของราษฎรส่วนใหญ่ ขอให้เปรียบเทียบกับสภาพปัจจุบันเพียงกรณีของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ประเด็นเดียว ก็เป็นเจ้าของที่ดินในกรุงเทพฯ ถึง 30% และไล่คนซึ่งเช่าที่ทรัพย์สินฯ อยู่มาเป็นชั่วคน ให้ออกไปจากที่ของเขาเหมือนไล่หมูไล่หมา เพียงเพื่อต้องการพัฒนาตามระบบโลกาภิวัตน์ เพื่อบรรษัทใหญ่ๆ จะได้เข้ามาสร้างอาคารอย่างใหม่อย่างโอฬาริก ซึ่งคนจนไม่มีทางจะเผยอเข้าไปได้เลย และวัดวาอารามก็เอาอย่างสำนักทรัพย์สินฯ เฉกเช่นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ไล่ที่คนในทำนองเดียวกัน

 

ใครก็ตามที่พูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แล้วมีที่ดินอย่างมหาศาล ในขณะที่คนยากไร้ไม่มีที่ทำกินหรือถูกไล่ที่เพื่อการพัฒนาประเทศหรือเพื่อสร้างเขื่อน นั่นคือการตีฝีปากอย่างปราศจากความชอบธรรมใดๆ ทั้งสิ้น เพราะคนยากคนจนในเวลานี้มีหนี้สินมากมายขนาดไหน ทำไมเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดไม่เอาที่ดินของตนมาค้ำประกันให้คนจนเหล่านั้นปลอดไปเสียจากหนี้สินเล่า ถ้าเป็นเช่นนี้ นี่แหละจึงจะเป็นการเห็นหัวคนจนอย่างแท้จริง ดังเมื่อเจ้าเพชรราชกลับไปกอบกู้เอกราชให้ประเทศลาวนั้น ท่านขายที่ดินของท่านแก่ชาวนาชาวไร่ซึ่งเช่าที่ท่านด้วยราคาที่ชาวนานั้นๆ พอจะจ่ายได้ ท่านไม่ได้ให้เปล่า หากขายให้ชาวนาเขาได้ภูมิใจในศักดิ์ศรีและความสามารถของเขา แล้วเราจะไม่เรียนจากประเทศเพื่อนบ้าน จากเจ้านายของมิตรประเทศละหรือ แม้บัดนี้ลาวจะเป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้ว แต่ผู้คนส่วนใหญ่แถวหลวงพระบางยังนิยมยกย่องเจ้าเพชรราชอยู่จนตราบเท่าปัจจุบัน สงสัยว่าถ้าไทยเปลี่ยนการปกครองไปจากระบอบราชาธิปไตย จะมีใครนึกถึงเจ้าไทยสักกี่คน

 

น่าเศร้าใจที่แนวโน้มอันดีที่รัฐบาล ป.พิบูลสงครามเริ่มขึ้นในเมืองไทย แม้จะล่าช้าไปบ้างก็ยังดี หากถูกสกัดกั้นโดยจักรวรรดิอเมริกัน ด้วยความเห็นชอบของราชสำนัก และทหารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยไทย ซึ่งมี ส. เป็นตัวนำ ไม่ใช่ ส.ศิวลักษณ์ แต่เป็น ส.ธนะรัชต์ ยิ่งเมื่อบุคคลผู้นี้ประกาศปฏิวัติเมื่อ 2501 ด้วยแล้ว นั่นยิ่งเท่ากับเป็นการทำลายประชาธิปไตยโดยไม่เหลือไว้แม้แต่รูปแบบ โดยยกเอาสถาบันกษัตริย์มาเชิดชู จนสมมติเทพกลายสภาพเป็นเทวราชอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ใครๆ แตะต้องไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้

 

ประกาศคณะปฏิวัติแต่ละฉบับ ขาดความชอบธรรมด้วยประการทั้งปวง แต่ประกาศนั้นๆ เป็นกฎหมาย ซึ่งไม่แต่กดขี่ข่มเหงปัญญาชนและนักคิดนักเขียนเท่านั้น หากคนยากคนจนก็ยิ่งต้องเผชิญความเลวร้ายยิ่งไปกว่าเสียอีก เพราะสิ่งซึ่งเรียกว่า การพัฒนาประเทศนั้นคือการทำลายสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ หรือทำลายทรัพยากรทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิตของคนยากคนจน ซึ่งได้รับผลกระทบจากโครงสร้างทางสังคมและการเมืองแบบเผด็จการอย่างอยุติธรรมและรุนแรงยิ่งๆ ขึ้นทุกที ถ้าใครเป็นตัวของตัวเองก็ถูกกล่าวหาเป็นคอมมิวนิสต์ได้อย่างง่ายๆ นอกจากถูกปราบอย่างง่ายๆ ถึงกับถูกฆ่าตายอย่างง่ายๆ อีกด้วย หาไม่ก็ถูกจองจำไว้เป็นเวลานาน โดยไม่มีขบวนการยุติธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเอาเลย แม้อาสภเถระซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ ชั้นรองสมเด็จพระราชาคณะ หากท่านอยู่ฝ่ายคนยากไร้และไม่ก้มหัวให้กับมาร ท่านจึงถูกถอดออกจากสมณศักดิ์ ถูกจับสึก และถูกจองจำไว้ 5 ปี ทั้งนี้โดยมีพวกพระกะล่อนในวงการสังฆาธิการชั้นสูงร่วมด้วยอย่างเต็มที่ 

 

ถ้าจะกล่าวว่า ขบวนการ 14 ตุลาคม 2516 เอาชนะเผด็จการได้ก็เพียงในส่วนบุคคล แต่โครงสร้างทางเสนาอำมาตยาธิปไตยยังคงอยู่ โดยโยงเอาขัตติยาธิปไตยเข้ามาพัวพันกับการเมืองอย่างจังๆ อีกด้วย  ที่ร้ายกว่านั้นก็คือการเปิดประตูให้ระบบทุนนิยมเข้ามาควบคุมการเมืองการปกครองโดยตรง ก่อนนั้นทุนต้องอาศัยทหารบังหน้าถึงจะมาเกี่ยวข้องการเมืองได้ หลัง 14 ตุลา ทุนมีบทบาททางการเมืองโดยตรง แม้มีทีท่าว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้เอื้ออาทรต่อคนยากคนจน ที่ซ้ำร้ายก็ตรงที่นักศึกษาซึ่งนึกว่าตัวเองเอาชนะเผด็จการได้นั้น ก็ไม่เข้าใจคนยากคนจนหรือเข้าใจประชาธิปไตย แถมยังอวดเก่ง ออกไปสอนประชาธิปไตยให้ชาวบ้านเสียด้วย

 

หารู้ไม่ว่า ชัยชนะของกรณี 14 ตุลาคม 2516 นั้น แท้ที่จริงเป็นของทหารฝ่ายหนึ่งซึ่งเก็บตัวเงียบอยู่ แล้วเอาชนะทหารอีกฝ่ายหนึ่งได้ โดยมีนักศึกษาและประชาชนหนุนเนื่องอย่างเป็นองค์ประกอบ ทั้งๆ ที่องค์ประกอบที่สำคัญยิ่งกว่านั้นออกมาจากราชสำนักมากกว่า พร้อมๆ กันนั้น เราก็ต้องยอมรับว่า ในช่วง 2516-2519 พรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่ได้รับคำบงการมาจากคอมมิวนิสต์จีน ได้มีบทบาทมิใช่น้อยอีกด้วย

 

เมื่อสหรัฐแพ้สงครามเวียดนาม เขมรก็กลายเป็นคอมมิวนิสต์ เฉกเช่นประเทศลาว ซึ่งปลดเจ้ามหาชีวิตออกจากตำแหน่งประมุขของประเทศ เป็นเหตุให้พวกปฏิกิริยาขวาจัดในเมืองไทยหันไปหาความเป็นเผด็จการยิ่งๆ ขึ้น จนเกิดการนองเลือดขึ้น ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งพยายามทำลายขบวนการประชาธิปไตยให้หมดไป

 

พอจะฟูมฟักประชาธิปไตยขึ้นมาได้บ้าง แม้ในทางรูปแบบ หลังจากปลดธานินทร์ กรัยวิเชียร ไปได้แล้ว ก็ถูกพวก รสช. (คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ) ทำลายล้างลงอีกในปี 2534 ครั้นขจัด รสช. ไปได้ด้วยความเคลื่อนไหวของประชาชนจนได้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 แต่แล้วรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็หาเห็นหัวคนจนไม่ เช่น ผู้แทนราษฎรต้องจบปริญญาตรี และที่ร้ายยิ่งก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้เปิดโอกาสให้เกิดคนอย่างทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทยซึ่งปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองอย่างเลวร้ายที่สุด

 

ความข้อนี้จะโทษรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว หาได้ไม่ อย่างน้อยผู้ที่คิดการณ์ไกล ก็วางมาตรการคานอำนาจไว้แล้ว เช่น ให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้ง ให้มีศาลรัฐธรรมนูญ ให้มีศาลปกครอง ให้มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ฯลฯ แต่คนที่รับตำแหน่งต่างๆ ดังกล่าวเติบโตมาในระบอบเสนาอำมาตยาธิปไตยที่ปราศจากความกล้าหาญทางจริยธรรม แต่ละคนจึงมัวแต่เอาตัวรอด ยังพวกที่พร้อมจะขายตัว เพื่อเงินและเพื่ออำนาจ ก็มีมิใช่น้อย

           

เราต้องไม่ลืมว่าทักษิณและพรรคไทยรักไทยของเขาได้รับการเลือกตั้งมาอย่างท่วมท้นที่สุดเท่าที่เคยมีมาในระบอบประชาธิปไตยของไทย และแล้วเขาก็เป็นเผด็จการในคราบของประชาธิปไตยอย่างเลวร้ายที่สุด โดยเราต้องไม่ลืมว่า ฮิตเลอร์ก็ได้รับเลือกเข้ามาสู่รัฐสภาอย่างท่วมท้นที่สุดเช่นกัน และแล้วฮิตเลอร์ก็เป็นเผด็จการอันเลวร้ายที่สุดในช่วงเวลาต่อมา

           

เราน่าจะตราไว้ด้วยว่า วันนี้ตรงกับวันเกิดของฮิตเลอร์แห่งเยอรมัน และตรงกับวันเกิดของเสาหลักทางประชาธิปไตยไทยที่ซอยสวนพลู

           

แม้จนบัดนี้แล้ว คนส่วนใหญ่ก็ยังแลไม่เห็นเลยว่า "หม่อมป้า" แห่งซอยสวนพลูคนนั้น เป็นตัวการที่สำคัญในการทำลายเนื้อหาสาระของประชาธิปไตย และเขาดูถูกคนยากไร้อย่างเห็นได้ชัด หากใช้ทุกๆ อย่างในอำนาจของเขา เพื่อสะกดให้ผู้คนหันไปนิยมยกย่องศักดินาขัตติยาธิปไตย โดยเฉพาะก็คนที่อ้างว่ามีการศึกษาสูง ล้วนสยบยอมกับลัทธิที่ว่านี้ด้วยกันแทบทั้งนั้น และขณะนี้อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มธ.ก็พร้อมที่จะเอามหาวิทยาลัยแห่งนั้นอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์

 

ดังนั้น หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตแล้ว สิ่งซึ่งเรียกว่าประชาธิปไตยไทย ก็คือการเดินตามก้นลัทธิทุนนิยมโลกกระแสเดียว หากเปลี่ยนไปเรียกเสียใหม่ว่า โลกาภิวัตน์ หรือระบบเศรษฐกิจเสรี

           

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ จะให้มีประชาธิปไตยซึ่งห่วงใยถึงปากท้องของคนยากคนจนกระไรได้ รัฐบาลและคณะทหารที่มากำกับรัฐบาล หลังการรัฐประหารที่ล้มทักษิณไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ล้วนปราศจากจิตสำนึกถึงคนยากคนจนด้วยกันทั้งนั้น และที่จะให้เข้าใจถึงเนื้อหาสาระของประชาธิปไตย ย่อมเป็นไปไม่ได้ ยังที่เพ้อๆ กันว่าประชาธิปไตยเป็นของฝรั่งด้วยแล้ว รู้กันบ้างไหมว่าคณะสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าทรงจัดตั้งขึ้นเมื่อกว่า 2500 ปีมาแล้วนี้ มีความเสมอภาคเป็นหลัก และมีภราดรภาพเป็นตัวเชื่อมที่สำคัญ เพื่อให้เกิดเสรีภาพจากความโลภ โกรธ หลง ยังพระวินัยก็เป็นแนวทางของประชาธิปไตยที่เนื้อหาสาระอย่างควรแก่การเข้าใจอย่างถ่องแท้ เป็นที่น่าเสียใจว่าคณะสงฆ์เวลานี้เป็นเพียงพิธีกรรมเท่านั้นเอง จริงๆ เนื้อหาสาระของสงฆ์ นั่นแหละรูปแบบประชาธิปไตยที่สำคัญยิ่ง ที่บอกว่าปู่ย่าตายายเดินตามนี้มาหลายร้อยปี ก็เพราะสงฆ์เป็นแกนสำคัญของประชาธิปไตย

           

ใช่แต่เท่านั้น สาระของประชาธิปไตยดังกล่าว มีอยู่ในระดับบ้านของไทยแทบทุกหัวระแหง แม้หลักเรื่องธรรมจักรที่พระสงฆ์เป็นแกน ก็เข้ามาช่วยผดุงอาณาจักรไว้ไม่ให้เลวร้ายเกินไป และธรรมจักรยังเป็นเสียงแห่งมโนธรรมสำนึก ที่คอยเตือนสติชนชั้นปกครองอีกด้วย

           

เมื่อธรรมจักรถูกสะกดให้สยบยอมอยู่ใต้อาณาจักร แต่รัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา และการขยายอำนาจการปกครองจากเมืองกรุงออกไปครอบงำบ้านเล็กเมืองน้อยตั้งแต่นั้นมา ความเป็นประชาธิปไตยที่เนื้อหาสาระจึงปลาสนาการไปเรื่อยๆ จนแทบถึงที่สุด

           

นิมิตดีก็ตรงที่คนยากจนตื่นตัวขึ้นอีกแล้ว ดังสมัชชาคนจนเป็นพยานที่สำคัญ และนี่เป็นขบวนการประชาธิปไตยในระดับรากหญ้า ซึ่งเข้าซึ้งถึงภูมิปัญญาชาวบ้าน และแนบสนิทอยู่กับธรรมชาติอีกด้วย ทั้งผู้นำชุมชนนั้นๆ ยังมีเวลาเจริญสิกขาให้เยือกเย็น และใช้สันติวิธีต่อสู้กับมารร้ายที่ใช้ความรุนแรงในวิถีทางต่างๆ อย่างน่าสำเหนียกยิ่งนัก

           

ใช่แต่เท่านั้น ชนชั้นกลางก็เริ่มตื่นตัว หลายคนเห็นคุณค่าของคนยากจน หลายหน่วยรวมตัวกัน ทั้งชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง ต่อต้านท่อแก๊สที่เมืองกาญจน์ และที่สงขลา ที่บ่อนอก ที่หินกรูด ต่อต้านเหมืองแร่โปตาส ที่อุดร และมีที่อื่นๆ อีกมิใช่น้อย

           

นอกจากนี้แล้วนักธุรกิจเพื่อสังคมที่ไม่มุ่งเพียงผลกำไรกับการลงทุนทางทุนนิยมเท่านั้น หากคนเหล่านี้หันมามองสังคมอย่างเห็นหัวคนจน และเห็นว่าปากท้องสำคัญกับทุกๆ คน คนพวกนี้โยงใยให้ชนชั้นกลางและชนชั้นล่างได้แลเห็นทุกขสัจทางสังคม การแก้ปัญหาปากท้อง การแก้ปัญหาคนจน จะต้องเห็นทุกขสัจทางสังคม และหาเหตุแห่งทุกข์ที่ว่านั้นได้จากโลภะคือทุนนิยม บริโภคนิยม โทสะคืออำนาจนิยม และโมหะคือการศึกษาและสื่อสารมวลชนที่มอมเมาให้คนเชื่อง ให้คนแหย อย่างไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ หรือปราศจากความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะต่อสู้กับอธรรม

           

เมื่อตีประเด็นไปที่ทุกข์และสมุทัยทางสังคมได้ชัด เราก็หาทางดับทุกข์ได้ด้วยอุบายอันแยบคาย คือมรรคมีองค์ 8 หรือ ไตรสิกขา คือ

 

1) ให้มีศีล คือความเป็นปกติสุขของสังคม ด้วยการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ทุกๆ คนควรมีชีวิตอย่างสอดคล้องกันและกัน และกับธรรมชาติด้วย

 

2) ให้มีสมาธิ เพื่อเจริญสติให้รู้จักตัวทั่วพร้อม รู้จักอัปมาทธรรมและสันตุฎฐีธรรม ไม่ตะเกียกตะกายแก่งแย่งแข่งดีกัน ให้เห็นคุณค่าของลมหายใจว่ามีค่ายิ่งกว่าความคิด จนสามารถเจริญอานาปานัสสติได้ จนสามารถโยงหัวสมองให้มาประสานกับหัวใจจนลดความเห็นแก่ตัวลงไปได้เรื่อยๆ และแลเห็นความเป็นจริงทางธรรมชาติ เท่าๆ กับเห็นโครงสร้างทางสังคมอันอยุติธรรมและรุนแรง จากนั้น

 

3) ปัญญาจึงเกิด ว่าเราทุกคนโยงใยถึงกัน ในทางอทัปปัจจยตาอย่างเป็นเช่นนั้นเอง ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่เอาไหน การที่นายกรัฐมนตรีอ้างความเป็นพุทธ แล้วปล่อยเกียร์ว่างไว้นั้น นั้นหาใช่สาระของความเป็นพุทธไม่ ดังการประยุกต์อิทัปปัจจยตามาใช้ ประเด็นอยู่ที่ว่า เราต้องเข้าใจถึงการอิงอาศัยซึ่งกันและกันให้ชัดเจน

 

ไม่แต่ขบวนการคนจนในประเทศจะต้องรวมกับชนชั้นกลางและนักธุรกิจการค้าเพื่อสังคมเท่านั้น หากเราต้องขยายออกไปยังนานาประเทศอีกด้วย โดยรู้จักแยกแยะรัฐบาลออกจากราษฎร รัฐบาลจีนก็เอาเปรียบราษฎรของเขา รัฐบาลจีนเอาเปรียบเราด้วย ถ้าเราช่วยกันหาทางเข้าใจ น่าจะช่วยให้ราษฎรจีนเองเงยหน้าอ้าปากขึ้นได้ นี่จะเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่ง ยังราษฎรในสหรัฐก็ขัดขืนรัฐบาลของเขากันมากยิ่งขึ้นทุกทีแล้ว ทั้งการต่อต้านท่อแก๊สที่มาเลเซียนั้น ต้องโยงใยไปถึงบริษัทยูโนคัลที่สหรัฐให้ชัดเจน โดยตราลงไปได้เลยว่าบรรษัทข้ามชาติเลวร้ายอย่างสุดๆ หากการเอาตถตามาใช้ หมายความว่าเราใช้สติวิจารณญาณอย่างสันติวิธี ซึ่งสามารถเอาชนะความเลวร้ายและรุนแรงได้ แม้จะไม่ใช่ในระยะสั้นก็ตามที

           

หากทำตามที่กล่าวมานี้ให้เป็นรูปธรรมได้ชัด ประชาธิปไตยก็จะเป็นอาหารที่กินได้ ไม่ใช่ทฤษฎีที่ฝรั่งเอามามอมเมาชนชั้นบนให้หลงใหลได้ปลื้มไป หากประชาธิปไตยแบบฝรั่งที่ชนชั้นบนปลื้มอยู่นี้ไม่มีประโยชน์ หรือเป็นโทษกับคนจนด้วยซ้ำไป

           

ธนบัตรเป็นของสมมติ ในขณะที่ข้าวปลาเป็นของจริง แต่คนก็หลงใหลแต่ของสมมติกันมาก เราไม่สำเหนียกกันเลยหรือว่าศีลข้อที่ 10 สำหรับสมณะนั้น ห้ามแม้แต่แตะเงินทอง แต่เมื่อเจ้ากูหลงใหลกับสิ่งเหล่านี้ นั่นคือความหายนะของสถาบันสงฆ์

           

ข้าวปลาจะเป็นของจริงแท้ ก็ต่อเมื่อมีข้าวปลาให้ทุกๆ คน ไม่ใช้มีบางคนกินมากเกินไป บางคนน้อยเกินไป หรือไม่มีเลย ที่ทำกินและเสื้อผ้า บ้านเรือน ตลอดจนยารักษาโรค และชีวปัจจัยอื่นๆ ก็ต้องเฉลี่ยกันให้เพียงพอ ให้สมกับที่ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวว่า ควรเป็นไปตามแนวทางของธรรมิกสังคมนิยม

           

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ พวกเราคงเข้าใจ แต่ชนชั้นปกครองในเวลานี้ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ ไม่ว่าคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ หรือรัฐบาล ตลอดจนสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แม้จนอาจารย์ในมหาวิทยาลัย รวมถึงปัญญาชนในกระแสหลักและสื่อมวลชนทั้งหลาย ทั้งๆ ที่มีคนดีที่สามารถอยู่ในหน่วยงานนั้นๆ ด้วยก็ตาม เพราะตราบใดที่โครงสร้างทางสังคมยังเป็นไปในระบบชนชั้น ที่ให้ใครๆ สยบยอมกับเบื้องสูงอย่างปราศจากความกล้าหาญในการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ แล้วจะไปให้คนพวกนี้เห็นหัวคนจนว่าเท่าเทียมกับตนหรือสำคัญยิ่งกว่าตนกระไรได้

           

การที่จะสร้างประชาธิปไตยให้กินได้ มีอยู่ทิศทางเดียว คือคนจนที่อยู่ในสมัชชาคนจนและนอกแวดวงนี้ ต้องรวมตัวกัน และรวมตัวกับชนชั้นกลางที่เข้าใจในเรื่องคุณค่าของคนปลายอ้อมปลายแขม ที่มีประสบการณ์กับการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางสังคม และเพื่อความสมดุลทางธรรมชาติ รวมทั้งโยงใยถึงนักธุรกิจเพื่อสังคม โดยอาจมีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนร่วมด้วย แล้วถ้าได้คนชั้นบนในกระแสหลัก รวมทั้งที่อยู่ในมหาวิทยาลัยที่กลับใจจากมิจฉาทิฐิ มาอยู่ฝ่ายคนยากไร้ได้มากเท่าไหร่ และโยงใยไปทางขบวนการของราษฎรในนานาชาติให้ได้ด้วย โดยต้องช่วยกันปลุกมโนสำนึกให้เกิดขึ้น

           

ที่สำคัญที่จะสร้างรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 นี้ ต้องสร้างปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ให้เกิดขึ้น

           

(1) เกิดความกล้าหาญทางจริยธรรมยิ่งๆ ขึ้น กล้าเผชิญกับสัจจะ โดยท้าทายอาสัตย์อาธรรมยิ่งๆ ขึ้น พร้อมกับกล้ายกย่องคนดีที่เป็นสามัญชนที่ถูกสังหารไปในอดีต ไม่ว่าจะนายปรีดี พนมยงค์ นายเตียง สิริขันธ์ นายถวิล อุดล นายชิต สิงหเสนี นายกำจัด พลางกูร นายอารีย์ ลีวีระ และคนอื่นๆ ทั้งนี้มิใช่หมายถึงการสร้างลัทธิวีรบุรุษ หากต้องรู้จักบูชาคนที่ควรบูชา รวมถึงท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันด้วย

           

(2) เข้าใจคุณค่าของวัฒนธรรมของเราเอง ซึ่งมีสาระแห่งความเป็นประชาธิปไตยที่เนื้อหามิใช่น้อย ถ้ายังเข้าใจความข้อนี้ไม่ชัด ก็ต้องเรียนรู้ให้ชัดยิ่งๆ ขึ้น แต่ก็ไม่หลงไปกับความเป็นไทยอย่างเลิศเลอหรืออย่างหาข้อติมิได้

           

(3) กล้าท้าทายระบบโลกาภิวัตน์ หรือจักรวรรดินิยมอย่างใหม่ ซึ่งสนิทแน่นอยู่กับบรรษัทข้ามชาติ ต่างๆ รวมถึงบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ซึ่งเคยแนบแน่นอยู่กับพวกชินวัตร อันจอมปลอมต่างๆ ที่ควบคู่มากับลัทธิบริโภคนิยม

           

(4) กล้าท้าทายสิ่งซึ่งยกให้เป็นความศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ต่างๆ ไม่ว่าจะจตุคามรามเทพหรือวัตถุมงคลอื่นใด รวมทั้งพระนเรศวรมหาราช เสด็จพ่อ ร.5 แม้จนพระราชนัดดาธิราชของพระองค์ซึ่งเสวยราชสมบัติอยู่ในปัจจุบัน

           

(5) ใช้สันตุฎฐีธรรมเป็นแกนกลาง โดยมีชีวปัจจัยที่เหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่ธรรมิกสังคมนิยม โดยที่ประเด็นนี้เองก็ควรตีให้แตก และทำให้เป็นรูปธรรม อย่าใช้โวหารหรือการตีฝีปากเช่นกรณีเศรษฐกิจพอเพียงอีกต่อไปเลย

           

หวังว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คงจะมีประโยชน์ต่อท่านทั้งหลาย เอาไปร่วมอภิปรายในกลุ่มต่างๆ และทำให้เป็นรูปธรรมเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยที่กินได้ และให้มีการเมืองที่เห็นหัวคนจน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท