สัมภาษณ์ เปิดใจโต๊ะครูสะบ้าย้อยหลังสิ้นเสียงปืน : "คนมุสลิมเจ็บปวดมาตลอด"

เมื่อคืนวันที่ 17 เมษายน 2550 กลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวน ถล่มยิงปอเนาะอิสลาฮุดดีน หรือโรงเรียนบำรุงศาสน์วิทยา หมู่ที่ 2 ตำบลเปียน อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลาอย่างหนัก จนเป็นเหตุให้นักเรียนเสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บอีก 8 คน

ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ นี่เป็นครั้งแรกที่ "ปอเนาะ" ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีโดยตรง

คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้นกับสถานศึกษาทางศาสนาแห่งนี้ เกิดอะไรขึ้นกับสถานศึกษาทางศาสนา ณ จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งมวล

ข้อมูลและความเห็นจาก "บาบอเลาะ" หรือ "อับดุลเลาะห์ หะยีเจะเลาะห์" โต๊ะครู ผู้เป็นเจ้าของสถาบันการศึกษาทางศาสนาแห่งนี้ น่าจะบ่งชี้อะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย

0 0 0

 

เหตุการณ์คืนวันที่ 17 เมษายน 2550 เป็นอย่างไร

คืนนั้น มีชาวบ้านมาเชิญผมกับเด็กนักเรียนปอเนาะที่นี่ ไปทำพิธีละหมาดศพที่บ้านห้วยบอน ตำบลบ้านโหนด อำเภอสะบ้าย้อย ไปกัน 2 คันรถ ประมาณ 40 คน ละหมาดศพเวลา 3 ทุ่ม เสร็จแล้วรับข้าวสารคนละ 1 ลิตร จากเจ้าภาพตามปกติ แล้วขึ้นรถกลับมาถึงประมาณ 3 ทุ่ม 20 นาที เด็กนักเรียนแยกย้ายขึ้นไปบนปอเนาะ (กระท่อมที่พักภายในโรงเรียน) ของตัวเอง ส่วนชาวบ้านที่ไปด้วยกัน ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมก็เข้าไปในบ้านไม่ทันเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ได้ยินเสียงดัง ปัง ปัง ปัง บึ้ม ปัง ปัง ปัง บึ้ม จำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนกับมีสงคราม

พอเสียงปืนสงบ ผมนั่งอยู่นิ่งๆ จากนั้นได้ยินเสียงชาวบ้านที่อาศัยอยู่ข้างๆ เคาะผนังบ้านพักนักเรียนหญิง บอกให้นักเรียนไปอยู่ในบ้านผม พวกนักเรียนหญิงก็พากันเข้ามาอยู่ที่บ้าน ตอนนั้นผมคิดว่าคงโดนนักเรียนหญิง เพราะมีเสียงโวยวายมาทางบ้านนักเรียนหญิงก่อน

ต่อมา มีเด็กนักเรียนชาย 4 - 5 คน เดินมาตะโกนเรียก บอกว่ามีเด็กถูกยิงหลายคน ผมรีบไปดูพบว่ามีหลายคนถูกยิงจริง ผมเลยบอกว่าจะไปรอที่บาลาย (อาคารละหมาด) ให้ยกคนที่ถูกยิงมาที่บาลาย พบว่า ตาย 2 คน ชื่อฆอซาลี เด็กบ้านฮูแตตูวอ ตำบลท่าม่วง อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา อีกคนชื่อซาการียา เป็นเด็กในหมู่บ้าน

จากนั้นผมประกาศผ่านไมโครโฟน ตะโกนให้ชาวบ้านเอารถยนต์มา 2 คัน เพราะอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 400 เมตร เพื่อจะนำคนเจ็บไปโรงพยาบาล พอชาวบ้านได้ยินเสียง ก็ประกาศต่อๆ กันผ่านไมโครโฟนของมัสยิด ชาวบ้านมากันเยอะมาก ช่วยกันนำคนเจ็บ 8 คน ไปโรงพยาบาลโคกโพธิ์ 5 คน ที่เหลือส่งโรงพยาบาลปัตตานี เพราะอาการหนักกว่า

เด็กที่รอดมาได้บอกว่า เขาได้ยินคนร้ายที่ตามมาจะยิงเขา พูดว่า "มันเล็กเกิน" เขาก็เลยรอด เพราะเด็กคนนั้นตัวเล็กจริงๆ ด้วย แต่เรื่องนี้จะเอาไปเป็นหลักฐานไม่ได้ ส่วนคนที่ตายถูกคนร้ายตามมายิงถึงในปอเนาะ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้ยินคำว่ามันเล็กเกิน เพราะมองไม่เห็นแน่ ถ้าไม่ตามเข้าไปถึงปอเนาะ

คืนนั้น ผมได้แต่นั่งเฝ้าศพ ชาวบ้านเข้ามาเพิ่มขึ้น เพราะมีการบอกข่าวต่อๆ กันไปว่า ปอเนาะถูกยิง ยังไม่มีปอเนาะที่ไหนเคยโดนอย่างที่ผมโดน เป็นร้อยๆ ปีมาแล้ว ตั้งแต่รุ่นคนเฒ่าคนแก่ ตั้งแต่มีการเปิดปอเนาะมา เท่าที่ถามก็ยังไม่มีที่ไหนเคยโดนอย่างนี้

ตอนนั้น คนก็เข้ามาเรื่อยๆ ผมอยู่ข้างในปอเนาะไม่รู้เรื่องว่า ข้างนอกมีพวกผู้หญิงปิดทางเข้าออกหมู่บ้านแล้ว ตั้งแต่คืนนั้น เท่าที่รู้ คือไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามา คนที่เพิ่งมาเยี่ยมก็ไม่ให้เข้าด้วย เพราะมากันมากเหลือเกิน ขนาดคนตายหนึ่งคนยังมีคนมามาก นี่เด็กปอเนาะตายเจ็บหลายคน ผมมีลูกศิษย์เป็นร้อย ญาติพี่น้องเด็กอีก ชาวบ้านอีก จะไม่มากได้อย่างไร คนที่ไม่เป็นญาติก็เข้ามาถามข่าว จึงต้องปิดทางเข้าออกเอาไว้ ไม่งั้นคนจะเข้ามามากเกินไป

คืนนั้น มีข้าราชการผู้ใหญ่คนหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ โทรศัพท์เข้ามา บอกว่าจะเข้ามาที่ปอเนาะ ผมก็เลยประสานกับคนที่ปิดทางอยู่ด้านนอก แต่ชาวบ้านก็ยังไม่ให้เข้ามา เขาบอกไม่เป็นไร แต่ขอให้นำศพคนตายไปชันสูตร ผมบอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องถามพ่อของคนตายก่อน ปรากฏว่าพ่อเขาบอกว่า ไม่ต้องนำไปชันสูตรก็ได้ เพราะคนตายไปแล้ว ถึงเวลาตายก็ต้องตาย ไม่ต้องไปเอาอะไรมาก ถ้านำศพไปชันสูตรจะยุ่งยากหลายเรื่อง ฝ่ายข้าราชการคนนั้นก็พยายามอธิบายว่าจำเป็นต้องชันสูตร แต่สรุปคือไม่ได้นำทั้งสองศพไปชันสูตร

จนกระทั่งรุ่งเช้า เวลาประมาณ 09.00 น. มีการอาบน้ำศพตามพิธีทางศาสนา แล้วห่อศพด้วยผ้าขาว จากนั้นก็เรียกคนที่อยู่ในบริเวณปอเนาะมาละหมาดศพ ศพหนึ่งที่ชื่อซาการียาฝังไว้ที่นี่ ส่วนฆอซาลี พ่อเขาของพาไปฝังที่บ้านเกิด

ส่วนด้านหน้าปอเนาะชาวบ้านยังปิดทางเข้าออกอยู่เช่นเดิม จนกระทั่งวันที่ 3 มีคนติดต่อคุณอังคนา นีละไพจิตร กับคุณหญิงแพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ขอให้เข้ามาที่ปอเนาะ ทั้ง 2 รับปากว่าจะเข้ามา ตอนนั้นทางชาวบ้านก็ยังไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจที่เกิดเหตุ จนกว่าคณะของคุณอังคนาจะเข้ามาก่อน

ก่อนหน้านี้ ก็มีปลัดจังหวัดสงขลา กับนายอาศิส พิทักษ์คุมพล ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา ที่มีโอกาสได้เข้ามาถึงปอเนาะในวันแรก พอวันที่ 2 ก็มีนายปรีชา ดำเกิงเกียรติ นายอำเภอสะบ้าย้อย กับปลัดอาวุโส และอาสาสมัครรักษาดินแดนจำนวนหนึ่ง ที่เข้ามาได้ ทุกคนที่เข้ามาชาวบ้านไม่ยอมให้นำอาวุธติดตัวเข้ามาด้วย

นายอำเภอสะบ้าย้อยมาอยู่ที่นี่ประมาณ 3 ชั่วโมง กินข้าวเที่ยงที่นี่ เขารู้ข้อเท็จจริงลึกซึ้งมาก ตอนนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาจะเข้ามาด้วย แต่ติดปัญหาบางอย่าง คือชาวบ้านจะให้คณะของผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาเข้ามาได้ 7 คน เฉพาะคนที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ทางผู้ว่าฯ ต้องการเข้ามา 15 คน ตกลงไม่ได้เข้ามา ผมคิดว่าทางผู้ว่าฯ คงไม่มั่นใจในความปลอดภัย ทางนายอำเภอสะบ้าย้อยที่รออยู่ข้างในก็เลยกลับออกไป

วันที่ 3 หมอพรทิพย์ กับคุณอังคนา และเจ้าหน้าที่เข้ามามาพบบาบอแล้วไปตรวจที่เกิดเหตุ ชาวบ้านนำเอาปลอกกระสุนที่เก็บได้ใส่กระสอบ พร้อมกับขวดน้ำมันอีก 14 ขวด มาวางไว้ตรงหน้า

จากนั้น หมอพรทิพย์ก็แถลงข่าวกับนักข่าวที่ตามมาด้วยว่า ไม่มีการประกอบระเบิด เพราะข่าวออกไปก่อนหน้านี้ว่า เด็กปอเนาะประกอบระเบิดแล้วพลาดเกิดระเบิดขึ้น ส่วนปลอกกระสุนปืนที่พบมีลูกซอง, อาก้า, เอ็ม-16 และเอ็ม-79

นักข่าวหันมาถามผม ผมเลยพูดทันทีว่า ทำไมข่าวถึงได้ออกไปก่อนว่าเด็กประกอบระเบิดแล้วเกิดระเบิดขึ้น ทั้งที่ยังไม่มีนักข่าวคนไหนได้เข้ามาในที่เกิดเหตุ ออกข่าวอย่างนั้นก่อนได้อย่างไร นักข่าวรู้ได้อย่างไร เพราะก่อนหน้านั้น มีนักข่าวโทรทัศน์หลายช่องจะเข้ามา แต่ชาวบ้านไม่ให้เข้า ข่าวที่ออกมาสร้างความเสียหายกับปอเนาะ ใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้

มีนักข่าวผู้หญิงคนหนึ่งถามกลับมาว่า ทำไมวันแรกถึงไม่ให้เข้ามา ผมบอกว่า ก็เพราะอารมณ์ความรู้สึกของชาวบ้านตอนนั้นยังไม่ดี ถ้าเกิดกับลูกคุณเองคุณจะรู้สึกอย่างไร นี่เกิดกับเด็กปอเนาะถึง 7 - 8 คน เพราะอย่างนี้แหละชาวบ้านจึงไม่ให้เข้ามา เพราะกลัวจะคุมอารมณ์ไม่อยู่ และอาจจะเกิดความวุ่นวายขึ้นมาได้

ตอนเจ้าหน้าที่ตรวจที่เกิดเหตุเสร็จแล้ว หมอพรทิพย์ก็บอกกับชาวบ้านด้วยว่า ไม่เป็นไรแล้ว ขอให้สบายใจ และขอให้พวกเราสลายตัวได้แล้ว

 

ที่มีการระบุว่าคนที่ถูกยิงตายในปอเนาะเป็นชาฮีดนั้น หมายความว่าอย่างไร

            ซาฮีดมีหลายประเภท หรือ 2 ระดับ คือชาฮีดเล็กและชาฮีดใหญ่ คนที่ถูกยิงตาย จมน้ำตาย หรือแม้แต่ผู้หญิงที่คลอดลูกตาย ก็เรียกชาฮีดเหมือนกัน ต้องทำพิธีศพเหมือนกับคนมุสลิมทั่วไป คือต้องมีการอาบน้ำศพ ห่อศพ และละหมาดศพ แต่สุดยอดของชาฮีด คือคนที่ตายในการรบเพื่อปกป้องศาสนาของอัลเลาะห์ ส่วนชาฮีดที่นี่ก็ทำเหมือนกับคนทั่วไป

 

ถังใส่ยาที่พบด้านหลังปอเนาะมาจากไหน

เจอในวันที่คณะของคุณอังคนากับหมอพรทิพย์มาที่ปอเนาะ เพราะว่าทหารที่เข้ามาด้วย เขาก็เดินดูรอบๆ เขาก็เดินไปด้านหลังปอเนาะ ไกลพอสมควร เขาบอกว่าเจอถังใส่ยาฝังดินไว้ โผล่ฝามานิดหนึ่ง ผมก็ไม่เคยไปดู แต่รู้ว่ามีพวกยาพารา ยาแก้ปวด ถุงน้ำเกลือ ไม่รู้ว่าใครไปฝังไว้ตรงนั้น และไม่รู้ว่าเป็นของใคร ฝังไว้ในที่ดินของชาวบ้าน ตอนนั้น ในคณะของคุณอังคนาก็พูดกันว่า มันอยู่นอกเขตปอเนาะไปมาก ไม่น่าจะเกี่ยวกับปอเนาะ ผมก็เลยไม่ได้สนใจมากนัก

 

หลังจากพบยามีการเชื่อมโยงว่า เวลาเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ เคยมีคนพบรอยเลือดหยดมาถึงปอเนาะแห่งนี้

            รอยเลือดที่เคยพบอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 2 กิโลเมตรกว่า คนละพื้นที่กัน เป็นรอยเลือดเล็กน้อยเท่านั้นเอง ตกอยู่บนรถจักรยานเด็ก ส่วนยาที่พบนั่นทางหัวหน้าตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่ก็เอาไปแล้ว เขาก็บอกว่าไม่มีอะไร ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ก็ต้องชี้แจงว่า รอยเลือดที่พบทำไมต้องมาโยงกับปอเนาะด้วยทั้งที่อยู่คนละพื้นที่กัน บริเวณที่พบรอยเลือดเจ้าหน้าที่ก็ตรวจค้นไปหมดแล้ว

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับปอเนาะอย่างนี้ จะส่งผลอะไรต่อไปในอนาคต

สำหรับเด็กไม่เป็นไร เขาทำใจได้ เพราะมีคนมาเอาใจ เราเองก็ทำพิธีละหมาดฮายัตครบ 40 คืน ในวันที่ 29 เมษายน2550 ที่ผ่านมา เพื่อขอพรจากอัลเลาะห์ให้ประทานความสันติสุขมาให้ เพราะเราเป็นคนที่ไม่มีความสามารถ ไม่มีอะไรเลย สู้คนอื่นไม่ได้ คนที่ก่อเหตุก็ไม่รู้เป็นใคร จึงมีคนมาร่วมละหมาดฮายัตทุกคืน เพื่อไม่ให้บาบอเหงาด้วย และคนมุสลิมจะไปพึ่งอย่างอื่นไม่ได้นอกจากพึ่งพระเจ้า เราอยู่อย่างโต๊ะครู

เมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เพื่อนเราทุกคนและชาวบ้าน เขาเป็นห่วงเรา ก็กลัวไม่มีความปลอดภัย เราก็นับถืออย่างคนมุสลิม ถึงเวลาตายมันก็ต้องตาย แต่ชาวบ้านและเพื่อนเป็นห่วงเรามาก เพราะเกิดเรื่องใหญ่กับปอเนาะ ปอเนาะนี้ยังไม่ร้าง ยังมีคนส่งลูกมาเรียน ตอนจัดงานเลี้ยงข้าวยำหารายได้สมทบทุนสร้างกำแพงรอบบริเวณปอเนาะ เพื่อให้กำลังใจเด็กๆ ไม่ให้เขากลัว ก็ได้มาล้านกว่าบาท เรียกว่าเพียงพอที่จะสร้างกำแพง ตอนนี้มีเด็กทั้งหมด 200 กว่าคน อีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมแล้ว

ไม่มีที่ไหนเกิดเหตุร้ายแรงอย่างนี้มาก่อน อย่างที่ปอเนาะตาเซะ (อำเภอเมือง จังหวัดยะลา) เกิดเหตุนอกปอเนาะก่อน แล้วถึงตามเข้าไปในปอเนาะ แต่ที่นี่เป้าหมายอยู่ที่นี่โดยตรง มาถล่มใส่เลย

เรื่องนี้สร้างความเสียใจให้กับพ่อแม่พี่น้องที่มีต่อเรา ไม่เฉพาะคนในหมู่บ้านนี้เท่านั้น หมู่บ้านอื่นก็เหมือนกัน เพราะผมเปิดโรงเรียนที่นี่มานาน ผมเข้ามาอยู่กับชาวบ้าน จนกระทั่งมีลูกศิษย์มากมาย มีไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานของคนที่นี่ นี่เองที่ทำให้เขารู้สึกอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ผมเองมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ญาติพี่น้องเลย เป็นคนนอกพื้นที่ แต่ตอนนี้กลายเป็นพี่น้องกันแล้ว

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว จะแก้ปัญหาก็ยาก เพราะสถานที่นี้เป็นสถานที่ทางศาสนา เขาเล่นกับเรื่องศาสนา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร มันเป็นเรื่องใหญ่ เพราะคนเรารักศาสนา ยิ่งคนทั้ง 3 - 4 จังหวัดนี้เป็นคนเคร่งศาสนา นี่เป็นความเห็นส่วนตัว ปอเนาะเป็นที่สอนศาสนา ถ้าปอเนาะสูญสลาย ศาสนาก็จะสูญสลายไปด้วย ชาวบ้านคิดว่า ถ้าทำกันถึงขั้นศาสนาสูญสลาย มันหนักหนาสาหัสมากเกินไป

 

ทำไมเหตุการณ์อย่างนี้ถึงเกิดขึ้นกับที่นี่

คิดว่ามันต้องมีคนให้ข้อมูล ถ้าคนให้ข้อมูลดีเขาก็ไม่ทำอะไรผม ผมเชื่อว่ามีคนให้ข้อมูลที่ดูแล้วร้ายแรงมาก จนเขาคิดว่าต้องทำลายปอเนาะแห่งนี้เสีย คนให้ข้อมูลเป็นใครไม่รู้ อาจจะไม่ถูกกับเรา ไม่ชอบเรา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา แม้แต่ในสมัยท่านนบี มูฮัมหมัด ศาสดาศาสนาอิสลาม ก็ยังมีคนไม่ชอบ คือ อาบู ญาฮาล จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สมัยนี้จะมีคนประเภทเดียวกับอาบู ญาฮาล

ทำไมโต๊ะครูจึงมีคนไม่ชอบ ถ้าอยากรู้ก็ลองเปรียบเทียบกับท่านนบีดู ท่านเป็นคนสุดยอดแล้ว ก็มีคนไม่ชอบหลายคน แม้แต่น้าของท่านเอง ชื่อ อาบูลาฮับ ก็ยังไม่ชอบท่าน

 

คิดว่าใครเป็นคนก่อเหตุ

เราในฐานะผู้นำ ถ้าไม่มีหลักฐานชัดเจนจะไปพูดกล่าวร้ายใครไม่ได้ ส่วนชาวบ้านเขาจะคิดว่าเป็นใคร นั่นเป็นเรื่องชาวบ้าน เราจะไปใส่ร้ายคนนั้นคนนี้ มันไม่ถูกต้อง ขัดกับหลักศาสนาอิสลามเลย เราต้องมองในแง่ดี มองในแง่ร้ายไม่ได้ ในฐานะที่เราเป็นผู้นำ แต่เราจะไปห้ามไม่ให้ชาวบ้านสงสัยคนนั้นคนนี้ไม่ได้ คนเป็นพันจะไปปิดปากไม่ให้เขาพูดได้อย่างไร

 

ก่อนหน้านี้เคยเกิดอะไรกับที่นี่บ้าง

บ้านของผมถูกเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปี 2549 มีหมายค้นมาด้วย เขาต้องการบุคคลคนหนึ่ง แต่เจ้าตัวไม่อยู่นานแล้ว คนนั้นเคยเป็นครูสอนศาสนาที่นี่ เป็นคนปัตตานี ตอนแรกเขาคิดจะมาลงหลักปักฐานที่นี่ แต่พอเขาแต่งงานก็ย้ายกลับไปบ้านเดิม เขามาช่วยสอนอยู่พักหนึ่ง โดยไม่ได้รับเงินเดือน

มีการสร้างสถานการณ์มาก่อน เพื่อให้เห็นว่าที่นี่ไม่ดี แล้วเจ้าหน้าที่รัฐก็จะเข้ามา ถ้าจะพูดถึงเรื่องมันยาว

กรณีแรก คือมีข่าวซ่อนอาวุธไว้ที่ต้นมังคุดในปอเนาะ ผมก็บอกไปว่า ถ้าสงสัยก็มาค้นได้ ผมอยู่ที่นี่ตลอด 24 ชั่วโมง ขออย่างเดียวอย่านำของผิดกฎหมายเข้ามาทิ้ง สร้างหลักฐานเท็จมากล่าวหาก็แล้วกัน

กรณีที่สอง ผมได้ประชุมกับชาวบ้าน จะสร้างปอเนาะเป็นที่พักของนักเรียนหลังใหม่อีก 10 หลัง สรุปว่าแต่ละหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆ จะสร้างให้หมู่บ้านละ 1 หลัง คุยกันเสร็จก็มีคนจะบริจาคไม้ไผ่ให้ พวกเราทั้งนักเรียนและชาวบ้านก็พากันไปโค่น แต่กลับมีข่าวออกมาว่ากลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่กำลังเคลื่อนไหว มีหนังสือพิมพ์ออกข่าวนี้ด้วย แต่ผมจำไม่ได้ว่าฉบับไหน ไม่ได้ตัดเก็บไว้ แต่ผมก็อะไรก็ได้ ใครจะว่าอย่างไรก็ว่าไป ช่างมัน

กรณีที่สาม มีการออกข่าวหนังสือพิมพ์เป็นครั้งที่สองว่า มีการควบคุมผู้นำศาสนาในตำบลเปียน เป็นข่าวลอยๆ ไม่มีรายละเอียด ทั้งที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชาวบ้านสงสัยว่าเป็นผมหรือเปล่า ต่อมา มีการออกข่าวอีกว่า มีการควบคุมวัยรุ่นในปอเนาะ 4 - 5 คน ในพื้นที่หมู่ที่ 2 ตำบลควนหลัน คนที่อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเอามาให้ผมดู แต่ที่จริงไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านโหนด อำเภอสะบ้าย้อยเอง ก็ถามมาด้วยว่า เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ผมก็บอกว่าไม่มีใครถูกควบคุมตัว และไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนเข้ามาเลย แต่ก่อนหน้าที่จะเป็นข่าว ก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามาหลายครั้ง รวมทั้งครั้งที่มาค้นบ้านผม แต่มาทุกครั้งไม่เคยพบสิ่งผิดกฎหมาย

ถึงตอนนี้ ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่า คงจะโดนอะไรซักอย่างแล้ว คิดว่าซักวันคงจะเจออะไรสักอย่างแน่ คาดไม่ถึงว่าจะเจออย่างนี้ แต่บอกไม่ได้ว่าใครเป็นต้นเหตุ

เรื่องข่าวที่ออกไป มีคนยุให้เอาเรื่องหนังสือพิมพ์ด้วย แต่ผมไม่เอา ใครจะทำอะไรก็ทำไป เรื่องของเขา ถึงเราจะเสียหายก็จริงแต่ไม่เป็นไร เจอมาหนักๆ อย่างนี้ก็เลยคิดว่าเป็นการสร้างกระแสโดยใครก็ไม่รู้ แต่ผมเริ่มเข้าใจแล้ว มันน่าจะเหมือนที่เกิดกับปอเนาะแถวนราธิวาส ตั้งแต่มีเหตุการณ์ความไม่สงบเป็นต้นมา

 

แล้วเรื่องหมวกทหารที่พบในสวนยาง หลังจากเกิดเหตุบุกยิงปอเนาะ ตกอยู่ห่างจากปอเนาะแค่ 500 เมตร ที่ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าทหารทำหล่นจากเฮลิคอปเตอร์ ขณะโปรยใบปลิวในวันที่ชาวบ้านชุมนุมกัน

ทำไม เขาไม่มาบอกก่อนว่าเขาทำหล่นไว้ อธิบายตอนพบแล้วอย่างนี้ ชาวบ้านจะหายสงสัยได้อย่างไร หนึ่ง หมวกทั้ง 2 ใบตกอยู่ใกล้กันห่างไม่เกิน 5 เมตร สองถ้าตกจากเฮลิคอปเตอร์ทำไมถึงคว่ำทั้งสองใบน่าจะหงายบ้าง นี่เป็นเรื่องที่ชาวบ้านพูดกัน แต่เราไม่เอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นสาระสำคัญ แค่บอกให้รู้เท่านั้น

ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรเราไม่รู้ ที่ชาวบ้านพูดกันบางเรื่องเราก็ไม่รู้เรื่อง เพราะปอเนาะอยู่ห่างจากบ้านคนประมาณ 500 เมตร ตอนที่ชุมนุมกันด้านหน้า ผมก็ไม่รู้ว่าเขาตัดสินใจกันอย่างไร รู้แต่ว่าพวกเขาไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในปอเนาะ เพราะยังเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดกับลูกหลานของพวกเขา ผมเองก็ได้แต่นั่งนอนอยู่ในนี้ ชาวบ้านไม่อยากให้ออกไปไหน กลัวจะเป็นอันตราย

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่คิดว่าจะแก้ไขอย่างไร

ยาก เพราะเกิดความสับสน ที่สับสนเพราะมีการยิงปอเนาะ ยิงเด็ก แล้วก็ยิงมัสยิด เช่นที่เกิดที่บ้านฮูแตบองอ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี แล้วจะให้เกิดสันติสุขได้อย่างไร  นี่คือ ความสับสน ใครเป็นคนยิงมัสยิด ใครเป็นคนยิงวัด ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าใครยิง

ถ้าคิดว่าชาวบ้านเป็นคนยิงมัสยิด มันไม่น่าเป็นไปได้ มุสลิมที่ไหนจะยิงมัสยิด ถ้ายิงนั่นคือมุสลิมมุนาฟิก (กลับกลอก) นั่นคือ ความเข้าใจของชาวบ้าน แต่เราพูดอย่างชาวบ้านไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐาน

ถ้ามีคนไปยิงวัด แล้วถ้าบอกคนยิง คือคนไทยพุทธ จะมีคนเชื่อหรือไม่ ลองทำความเข้าใจแบบตรงๆ ว่าจะเชื่อหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ที่ชาวบ้านสงสัยกันมาก คือกรณีทหารยิงเด็กที่บ้านบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เสียชีวิต นี่คือความสับสน เพราะตอนนี้เล่นกันในเรื่องศาสนา ต่างกับในอดีตที่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องส่วนตัว

ถ้าเป็นเรื่องศาสนาแล้ว คนนับถือศาสนาไม่ว่าศาสนาใด ต่างถือว่าศาสนาที่ตัวเองนับถือสุดยอด ไม่ว่ามุสลิม พุทธ หรือคริสต์ก็ตาม เมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าไปพัวพันกับศาสนาอย่างนี้ จะให้เกิดความสันติสุขง่ายๆ ได้อย่างไร ถ้ายังเล่นกันอยู่อย่างนี้ นับวันจะยิ่งเกิดเหตุการณ์มากขึ้น อย่างนี้ลำบากแน่ คนมุสลิมเจ็บปวดมาตลอด เพราะถูกสงสัยอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นคอเต็บ บิหลั่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ถูกค้นตลอด ขณะที่รัฐยอมให้คนไทยพุทธใช้ปืนอย่างเสรี

บ้านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โต๊ะครู บ้านชาวบ้านที่นี่ ถูกตรวจค้นมาหมดแล้ว มีปืนก็ยึดปืน ขณะที่เป็นคนไทยพุทธ อยากได้ปืนก็ได้ใช้ ลองคิดดูว่า อย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้น แบบนี้จะเกิดสันติสุขได้อย่างไร

 

จะแก้ปัญหานี้อย่างไร

เราไม่มีความสามารถ แม้แต่จุฬาราชมนตรี ที่มีอำนาจมากกว่าเรา พูดเรื่องศาสนามากกว่าเรา ใครเชื่อบ้าง แล้วคนเล็กๆ เหมือนแพะอย่างเรา ใครจะเชื่อ จุฬาราชมนตรีพูดเรื่องศาสนามากก็ยังไม่มีใครทำตามเลย เวลาเขาพูดไม่มีใครเชื่อ เวลาเขาจะแก้ปัญหาก็ไม่มีใครปฏิบัติตาม มีแต่กดดันให้เขาออกมาแก้ปัญหา กลายเป็นว่าทางฝ่ายโน้นก็ไม่เชื่อจุฬาราชมนตรี ฝ่ายนี้ก็ไม่เชื่อจุฬาราชมนตรี แล้วเรานักการศาสนาอย่างนี้จะไปบอกอะไรใครได้ ขนาดจุฬาราชมนตรีพูดยังไม่มีใครฟัง

 

 

ครูที่สอนในปอเนาะมาจากไหน

โรงเรียนสอนศาสนาแบบผม ส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีการหาคนมาช่วยสอนโดยไม่มีค่าตอบแทนเป็นช่วงๆ คนที่มาช่วยสอนพอจะมีรายได้ของตัวเองอยู่บ้าง เช่น สอนประจำอยู่อีกโรงเรียนหนึ่ง หรือมีอาชีพอื่นอยู่แล้ว เช่น กรีดยาง ที่เราไม่มีค่าตอบแทนให้เพราะไม่มีเงินจ้าง ต้องใช้วิธีขอช่วยให้มาสอนหมุนเวียนกันไป มีหลายคน เราจะจ้างประจำก็ไม่มีเงิน ต้องขอให้เขามาช่วยอยู่ตลอด

ส่วนใหญ่ครูที่มาช่วยสอนเป็นคนในหมู่บ้าน บางคนมาช่วยสอน 2 - 3 เดือนก็กลับไป ที่มาอยู่ 1 - 2 ปีเคยมี บางคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็มาเช้าเย็นกลับ ที่มาพักที่นี่เลยก็มี ส่วนครูประจำจริงๆ มี 2 คนเท่านั้น คือ ผมกับญาติอีกคนหนึ่ง ที่เหลือมาช่วยสอนทั้งนั้น

คนที่อยู่เป็นปีก็ใช่ว่าจะสอนทุกวัน อาจจะ 2 วันบ้าง 3 วันบ้างแล้วแต่ แล้วก็ไปทำงานอย่างอื่น พอมีเงินติดตัวก็กลับมาช่วยสอนที่นี่ เพราะฉะนั้น ต้องใช้ครูช่วยสอนหลายคนเพื่อให้ครบ 6 วันต่อสัปดาห์ ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ที่เคยเรียนอยู่ที่นี่

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท