Skip to main content
sharethis

คนร้ายวางระเบิดปากซอยถนนราชวิถี 24 มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย


แนวหน้า : เกิดเหตุระเบิดบริเวณข้างเสาไฟฟ้าปากซอยถนนราชวิถี 24 แรงระเบิดทำให้ตู้โทรศัพท์สาธารณะได้รับความเสียหาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ทราบชื่อคือ นายประภัทร เมืองสองชั้น อายุ 22 ปี ซึ่งระหว่างเกิดเหตุได้เข้าไปใช้โทรศัพท์ และได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ล่าสุดได้รับการช่วยเหลือแล้ว



 


แม่ทัพภาค 1 สั่งเพิ่มกำลัง รับมือสร้างสถานการณ์ป่วนกรุง


สำนักข่าวเนชั่น : พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวภายหลังเดินทางเข้าร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุระเบิด บริเวณปากซอยราชวิถี 24 ว่า ได้ประสานให้เจ้าหน้าที่เพิ่มแสงสว่างในจุดเกิดเหตุให้มากกว่านี้ โดยเบื้องต้นคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับการก่อวินาศกรรม แต่ต้องรอดูผลสอบสวนของเจ้าหน้าที่ก่อน คงยังวิเคราะห์อะไรไม่ได้มากไปกว่านี้


 


ด้านพล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวว่า จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) พบว่าเป็นระเบิดแรงดันต่ำ ไม่มีสะเก็ดที่จะทำอันตราย ไม่หวังผลทำลายหรือหวังผลต่อชีวิต มีเพียงดินระเบิด ซึ่งการวางระเบิดนั้นเป็นลักษณะการตั้งเวลาตั้งแต่ช่วงค่ำเอามาวางไว้ที่เสาไฟฟ้าด้านหลังตู้โทรศัพท์ เชื่อว่าเป็นการสร้างความวุ่นวาย อย่างไรก็ตามจากการสอบถามเบื้องต้นไม่มีใครเห็นคนร้ายมาวางระเบิดไว้ที่จุดดังกล่าว เนื่องจากจุดเกิดเหตุเป็นที่มืด มีต้นไม้ และเสาไฟฟ้าบังอยู่ ทั้งนี้มีพยานเพียงสองคน คือนายประภัทร เมืองสองชั้น ผู้ได้รับบาดเจ็บและบุคคลที่เห็นนายประภัทร เข้าไปโทรศัพท์ดังกล่าวเท่านั้น


 


 


หน.ปชป.เตือนรัฐบาล-คมช.อย่าประมาทก่อการร้ายสากล แนะเร่งคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน


แนวหน้า : นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จะต้องไม่ประมาทเกี่ยวกับกรณีการเคลื่อนไหวจากต่างประเทศ เพื่อเตรียมก่อการร้ายในประเทศไทย ที่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. ออกมาระบุก่อนหน้านี้ เนื่องจากความรุนแรงการก่อความไม่สงบและการก่อกวนต่างๆ ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดในขณะนี้ รัฐบาล และ คมช.จะต้องคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชนผ่านการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด อันจะเป็นการลดปัญหาการชุมนุมต่างๆ รวมถึงการเคลื่อนไหวของคนไทยในต่างประเทศด้วย เพื่อให้ความน่าเชื่อถือของไทยต่อนานาประเทศกลับคืนมา



 


ยื่นจี้ถามทูตอังกฤษ อัด "สพรั่ง" เลี้ยงแกะ


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ  : ที่สถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย กลุ่มผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี นำโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกรรมการบริหารฯ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงกรณีที่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ระบุพบแผนก่อการร้าย กทม.ในอพาร์ตเมนต์ลอนดอน


 


ด้านนายจักรภพ เพ็ญแข ที่ปรึกษาสถานีโทรทัศน์พีทีวี เปิดเผยด้วยว่า ก่อนหน้าที่จะมายังสถานทูตอังกฤษ พีทีวีได้ยื่นหนังสือต่อนายแอนดี้ เพียร์ซ อุปทูตอังกฤษประจำประเทศไทย หรือรักษาการเอกอัครราชทูตในเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งสถานทูตอังกฤษมีความกระตือรือร้น ร้อนใจในเรื่องนี้อย่างยิ่ง โดยระบุว่าคำพูดของ พล.อ.สพรั่ง สร้างความรวนเรให้เขาเป็นอย่างมาก จึงได้ตรวจสอบไปยังกระทรวงการต่างประเทศ แล้วก็แจ้งมายังตนด้วยวาจาว่าไม่มีเรื่องที่พล.อ.สพรั่งพูด ไม่มีความเคลื่อนไหว และไม่มีมูลความจริงใดๆ ทั้งสิ้น และถ้าสมมติว่ามีเรื่องทำนองนี้จริงเขาคงไม่ส่งข้อมูลผ่าน พล.อ.สพรั่ง แต่จะส่งผ่านกระทรวงการต่างประเทศ



"กรณีที่เกิดขึ้น ประชาชนคงรู้แล้วว่าใครเป็นคนสร้างความระส่ำระสาย สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง ทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ สร้างความสับสนไปถึงระดับชาติ ลากประเทศอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย วันนี้พล.อ.สพรั่ง ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง" นายจักรภพ กล่าว



ด้าน พล.อ.สพรั่ง ให้สัมภาษณ์ถึงการออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า "กรณีที่ผมพูดคือขบวนการการการก่อการร้ายสากล ไม่ใช่การเมือง ที่พูดก็เพื่อให้พวกเราต้องเตรียมรับมือไว้เท่านั้น"



 


ทรท. เตรียมยื่นถวายฎีกา หากถูกยุบ


แนวหน้า : นายจำลอง ครุฑขุนทด ประธานคณะทำงานติดตามตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการยื่นถวายฎีกาหากมีการตัดสินยุบพรรคไทยรักไทยว่า เป็นเรื่องของบุคคลไม่เกี่ยวกับพรรค เพราะหากพรรคถูกตัดสินให้ยุบพรรคแล้วมีการระบุว่ากรรมการบริหารพรรคในขณะนั้น ต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วยเป็นเวลา 5 ปี เขาก็มีสิทธิและเสรีภาพที่จะถวายฎีกาในฐานะพสกนิกรที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท แต่เป็นการอาศัยช่องทางทางกฎหมายเพื่อขอความเป็นธรรม กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในอดีตเคยมีคดีในลักษณะคล้ายกันแล้ว เช่น กรณีของนายอุดม เฟื่องฟุ้ง สมัยเป็นผู้พิพากษา เคยถูกคณะกรรมการข้าราชการตุลาการ (กต.) มีมติให้ออกจากราชการ (สมัยนายประภาศน์ อวยชัย เป็นรมว.ยุติธรรม) ซึ่งนายอุดมก็ได้ยื่นถวายฎีกาจนสำเร็จ



 


 "เว็บไฮทักษิณ" แฉ  "คมช."ทุ่มงบลับ 319 ล้านสร้างฐานเสียงภาคกลาง


แนวหน้า : เว็บไซต์ "hi-thaksin" เขียนบทความโจมตี พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 อีกระรอก โดยล่าสุดลงบทความพร้อมกับเปิดเผยเอกสาร ชุดการจัดวางกำลังและจัดตั้งงบประมาณของกองทัพภาคที่ 1 ซึ่งสาระสำคัญของเอกสารชุดนี้อยู่ตรงที่ได้มีการบรรยายในห้องประชุมกองทัพภาคที่ 1 โดยมี พล.ท.ประยุทธ์ เป็นประธาน คือ การจัดวางกำลังทหารของกองทัพภาคที่ 1 ให้กำกับเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหว รายงานความผิดปกติ ตลอดจนดำเนินการตามความเหมาะสมเมื่อประสบเหตุและสถานการณ์ต่างๆ ตามพื้นที่ที่กองทัพภาคที่ 1 รับผิดชอบ ประกอบด้วย กทม.ปริมณฑล และจังหวัดภาคกลางทั้งหมดรวม 25 จังหวัด



โดยเอกสารแผ่นที่ 18 , 19 และ 20 ซึ่งเป็นการกำหนดวงเงินงบประมาณสำหรับการทำงานของทหารในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1ในฐานะศูนย์ปฏิบัติการพิเศษกองทัพภาคที่ 1 (ศปก.ทภ.1) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์ปฏิบัติการพิเศษคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (ศปก.คมช.) ที่มี พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกและผู้ช่วยเลขาธิการ คมช.เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ ได้มีการตั้งงบประมาณจำนวน 319.1 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณสำหรับการปฏิบัติการ 3 ส่วน ตามลักษณะการดำเนินงาน คือ 1.กรุงเทพฯ วงเงิน 64.9 ล้านบาท สำหรับปฏิบัติการในชุมชน ชุมชนละ 35,000 บาท 2. ต่างจังหวัด วงเงิน 212.3 ล้านบาท สำหรับปฏิบัติการในหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 13,000บาท และ 3. งบอำนวยการ สำหรับการประสานการปฏิบัติงาน กำกับดูแลจัดทำห้องปฏิบัติการอีก 41.9 ล้านบาท



 


ทรท.สรุปประเด็นร่าง รธน. ถอยหลังลงคลอง ทำฝ่ายบริหารอ่อนแอ ฟื้นอำมาตยาธิปไตย


กรุงเทพธุรกิจ : นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รักษาการรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แถลงข่าวกรณีที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จะเชิญ 44 หัวหน้าพรรคไปหารือเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ ว่า พรรคได้หารือเพื่อเตรียมข้อมูลให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไว้ชี้แจงแล้ว โดยพรรคได้ระดมความเห็นจากผู้มีประสบการณ์ในการยกร่างฯและแก้ไขรัฐธรรมนูญ และได้รวบรวม 4ประเด็นหลักได้ ดังนี้



1.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยกร่างโดยไม่เชื่อว่าประชาชนตัดสินใจทางการเมืองได้ เช่น การสรรหา ส.ว.โดยใช้ 7คน การยึดอำนาจประชาชนในการมีส่วนร่วมการสรรหาองค์กรอิสระ


 


2.ไม่ได้ยึดหลักการในการร่างที่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่และเหตุผล แต่ยกร่างโดยยึดประโยชน์ให้ฝ่ายที่ยึดอำนาจ เช่น ระบบเลือกตั้งส.ส. ที่ถอยหลังเข้าคลอง ไม่ชัดเจนและไปกำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และส.ส.ร.คนหนึ่งพูดว่าหากใช้ระบบเก่า ก็รู้ว่าใครจะกลับเข้าสภานั้น แสดงว่า ส.ส.ร.กีดกันไม่ให้ใครเข้าสภา และมาตรา 299 ที่รับรองประกาศและคำสั่งคปค.ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการรับรองการกระทำผิดกฎหมายและการทุจริตไม่ให้ถูกตรวจสอบ



3.จำกัดการทำงานฝ่ายบริหารหรือ ครม.อ่อนแอ ไม่มีเสถียรภาพและผลร้ายจะตกอยู่กับประชาชน เช่น มาตรา173 ห้ามรัฐมนตรีลงคะแนนในเรื่องที่เกี่ยวกับตำแหน่ง เช่น หากนายกฯถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีที่เป็นส.ส.จะลงคะแนนให้นายกฯไม่ได้ และเสียงของรัฐบาลอาจน้อยกว่าฝ่ายค้านจะกระทบเสถียรภาพของรัฐบาล มาตรา 257และ 259 ที่ห้ามรัฐมนตรีเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติราชการของข้าราชการ ทั้งที่รัฐมนตรีมีหน้าที่บริหารบุคคลให้การทำงานสำเร็จลุล่วง และ


 


4.รื้อฟื้นระบอบอำมาตยาธิปไตย คือให้บทบาทข้าราชการ-เจ้าหน้าที่รัฐมากเกินไป เช่น มาตรา 68 ที่อาจทำให้ฝ่ายการเมืองอาจแทรกแซงสถาบันศาล โดยล่าสุดศาลแสดงความไม่เห็นด้วยในมาตรานี้แล้ว เพราะหากประธานศาลฎีกามีอำนาจมาก บางฝ่ายก็อาจแทรกแซงได้



 


รมต.หลายคนไม่เห็นด้วยร่างรธน.ให้มีองค์กรแก้วิกฤติชาติ


สำนักข่าวเนชั่น : นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะประธานคณะทำงานรวบรวมความเห็นของรัฐมนตรีต่อร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า ล่าสุด เมื่อวานนี้ (4 พ.ค.) ได้รับความเห็นจากรัฐมนตรีมาแล้ว 26 คน จาก 33 คน ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมาตราต่าง ๆ ในร่างรัฐธรรมนูญ แต่รัฐมนตรีหลายคนตั้งข้อสังเกต และไม่เห็นด้วยในมาตราที่กำหนดให้มีองค์กรแก้ไขปัญหาวิกฤติประเทศ เนื่องจากจะมีปัญหาการตีความคำว่า "วิกฤติ" ในอนาคต


 


 


คนสงขลา 98% ยันค้านบัญญัติศาสนาประจำชาติ


ผู้จัดการออนไลน์ : นายวรรณชัย สุวรรณกาญจน์ เลขานุการและโฆษกคณะคณะกรรมการธิการวิสามัญรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชน จ.สงขลา เปิดเผยว่า ในการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนใน จ.สงขลา รอบที่สอง สาระสำคัญที่หยิบยกมาพูดถึงมากที่สุดคือเรื่องของศาสนาโดยชาว จ.สงขลา ร้อยละ 98 ไม่เห็นด้วยกับการบัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะเกรงว่าจะเกิดความแตกแยก ส่วนที่มาของ ส.ว.ควรให้มาจากการเลือกตั้ง และเห็นด้วยกับจำนวน ส.ส.400 คน และเสนอให้เพิ่มสาระหมวดสิทธิเสรีภาพ และการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชน รวมทั้งประเด็นการเข้าชื่อถอดถอนหรือเสนอกฎหมายควรให้เหลือ 2 หมื่นคน จากเดิมที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 40 กำหนดไว้ที่ 5 หมื่นคน


         


 


ไอซีทีตั้งกรรมการ เดินหน้ายื่นฟ้องเจ้าของเว็บไซต์ ยูทิวบ์


ไอ.เอ็น.เอ็น : ผู้สื่อข่าวรายงานจากการเปิดเผยของ นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที  ว่าจากกรณีที่เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ยูทิวบ์ เว็บไซต์ชื่อดังจากต่างประเทศกระทำการเผยแพร่เนื้อหา และข้อมูลซึ่งถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยที่ผ่านมาทางกระทรวงไอซีทีที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ออกหนังสือเตือนและติดต่อให้นำเนื้อหาดังกล่าวออกจากกระบวนการเผยแพร่ไปแล้วแต่ไม่ได้รับความร่วมมือนั้น ล่าสุด ทางกระทรวงไอซีทีได้สั่งตั้งกรรมการ เพื่อพิจารณาการยื่นฟ้องเจ้าของเว็บไซต์ยูทิวบ์แล้ว อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากเว็บไซต์ยูทิวบ์แล้ว กระทรวง ไอซีที ยังตรวจพบเว็บไซต์ขายสินค้าบางเว็บไซต์ที่เผยแพร่ภาพ ที่ไม่เหมาะสมเกี่ยวกับศาสนา ซึ่งถือเป็นการหมิ่นศาสนาพุทธอย่างร้ายแรงอีกด้วย ซึ่งจะทำการสกัดกั้นการเผยแพร่ภายในประเทศต่อไป พร้อมกับจะดำเนินการจัดตั้งสารวัตรไอซีที เพื่อดำเนินการดูแลอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต ให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. .... ที่ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการยกร่างจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.อีกด้วย


 


 


สปสช.ฟุ้งทำซีแอลยาช่วยประหยัดเงินกว่า 1,600 ล้านบาท


ผู้จัดการออนไลน์ : นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ผลด้านค่าใช้จ่ายของประเทศไทย หลังจากการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตร (ซีแอล) ในยา 3 รายการ คือ ยาเอฟฟาไวเรนซ์ ยาคาเลตรา สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี และยาพลาวิกส์ ในคนไข้โรคหัวใจ คาดว่าจะประหยัดเงินในการให้บริการผู้ถือบัตรทองได้ปีละ 1,035 ล้านบาท ถึง 1,665 ล้านบาท โดยยาเอฟฟาไวเรนซ์ บังคับใช้สิทธิเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2549 ตลอดทั้งปีงบประมาณ 2549 มีผู้ใช้ยานี้ภายใต้งบกองทุนเอดส์แห่งชาติ ประมาณ 25,000 ราย ปีงบประมาณ 2550 คาดว่า จะมีผู้ใช้ยานี้ไม่ต่ำกว่า 30,000 ราย ต้องใช้ยานี้ 360,000 ขวด เมื่อบังคับใช้สิทธิแล้ว ประหยัดได้ขวดละ 700 บาท ดังนั้น การประมาณการขั้นต่ำของความประหยัดคือ 252 ล้านบาท


 


ส่วนยาคาเลตรา ในปีงบประมาณ 2549 สปสช. ซื้อยานี้ด้วยงบรัฐบาลทั้งหมด 12,000 ขวด ราคาขวดละ 8,900 บาท สำหรับเป้าหมายผู้ป่วยดื้อยาสูตรพื้นฐาน 1,600 ราย ปีงบประมาณ 2550 ตั้งเป้าหมายจัดหายาให้ผู้ป่วยดื้อยาสูตรพื้นฐาน 8,000 ราย ซึ่งประมาณผู้ป่วยดื้อยาสูตรพื้นฐานไว้ร้อยละ 12-17 จำนวน สูงสุดน่าจะเป็น 17,000 ราย ต้องใช้ยานี้ 96,000 ขวด เมื่อบังคับใช้สิทธิแล้ว ประหยัดได้ประมาณขวดละ 1,900 บาท ดังนั้น การประมาณการขั้นต่ำของความประหยัดคือ 183 ล้านบาท


 


สำหรับยาพลาวิกส์ ในปี 2548 มีคนไข้โรคหัวใจใช้ยานี้ประมาณ 705 ล้านบาท ซึ่งผู้ที่จำเป็นต้องใช้ยานี้ ยังเข้าถึงยาไม่ได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม จากยอดเงินนี้ หลังการบังคับใช้สิทธิแล้ว จะซื้อยาได้ถูกลง เม็ดละ 60 บาท ดังนั้น จะประหยัดได้ 600 ล้านบาท โดยสมาคมโรคหัวใจ ประมาณการว่า เฉพาะคนไข้ในระบบหลักประกันสุขภาพระบบเดียว ซึ่งใช้ฐานข้อมูลการขึ้นทะเบียนบัตรทอง 45 ล้านคน จำเป็นต้องใช้ยานี้ 20.5 ล้านเม็ดต่อปี ดังนั้น ภายหลังการบังคับใช้สิทธิแล้ว สามารถซื้อยาได้ถูกลง ทำให้ประหยัดงบประมาณได้ 1,230 ล้านบาท


 


 


"หมอวิชัย" เตือนจับตา "พาณิชย์" แก้ พ.ร.บ.ยาตามมะกัน หวั่นซ้ำรอยเดิม


ผู้จัดการออนไลน์ : นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิระดับ 11 ในฐานะประธานคณะกรรมการสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรโดยรัฐ กล่าวว่า ประเทศไทย ไม่จำเป็นที่จะต้องจ้างนักล็อบบี้ยิสต์ เพราะประเด็นเรื่องการประกาศบังคับใช้สิทธิผลิตยาที่ติดสิทธิบัตร(ซีแอล)ของไทยเป็นเรื่องตรงไปตรงมา และมีเวทีสาธารณะมากมายที่สามารถเผยแพร่ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องผัดหน้าทาปาก เพราะเป็นข้อมูลจริงตรงไปตรงมาที่สามารถชี้แจงได้ทุกกรณี


 


นพ.วิชัย กล่าวว่า สิ่งที่น่าจับตาหลังจากนี้คือ การแก้ไขพ.ร.บ.สิทธิบัตรตามข้อเสนอของสหรัฐฯ โดยอาจมีการแก้ไขพ.ร.บ.ดังกล่าวตามข้อเสนอที่สหรัฐฯ เคยเสนอให้แก้ไขในข้อตกลงเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ)ไทย-สหรัฐฯ เพราะมีหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการใช้ซีแอล อาทิ ในมาตรา 51 ระบุว่า หากจะใช้ซีแอลโดยรัฐ ไม่จำเป็นต้องหารือกับผู้ทรงสิทธิบัตรหรือบริษัทเจ้าของสิทธิก่อน ซึ่งหากเกิดการแก้ไขตามที่สหรัฐฯต้องการคือ ต้องขออนุญาตจากเจ้าของสิทธิบัตรก่อน ทำให้การใช้ซีแอลในอนาคตต้องดำเนินการลำบากมากขึ้น ซึ่งหากดำเนินการเช่นนั้นเท่ากับว่าไทยยอมตัดแขนตัดขาของตนเอง


 


นพ.วิชัย กล่าวด้วยว่า ข้อเสนอของสหรัฐฯในเวทีเอฟทีเอที่ไทยอาจจะแก้ไขในพ.ร.บ.สิทธิบัตรตามที่สหรัฐฯต้องการ อาทิ การยืดอายุสิทธิบัตรยาเป็น 25 ปี หรือการคุ้มครองข้อมูลยาให้ผูกขาดไปอีก 5 ปี ฯลฯ ทั้งหมดเพื่อหวังว่าสหรัฐฯจะปรับบัญชีให้ไทยออกจากประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ จึงเชื่อว่ารัฐบาล กระทรวงทบวง กรมที่เกี่ยวข้องจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว หากมีการแก้ไขพ.ร.บ.สิทธิบัตรในประเด็นเหล่านี้


 


 


ญี่ปุ่นเสนอให้มีการปรับปรุงสนธิสัญญาป้องกันโลกร้อนฉบับใหม่


ศูนย์ข่าวแปซิฟิค : นายโคจิ โอมิ รัฐมนตรีคลังของญี่ปุ่น เสนอให้มีการกำหนดมาตรการขึ้นมาใหม่ เพื่อบรรเทาภาวะเรือนกระจก หลังปี 2556 ซึ่งรวมถึงการโน้มน้าวให้สหรัฐฯ จีน และอินเดีย 3 ประเทศอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศของโลกมากที่สุด เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามต่อสู้กับปัญหาโลกร้อนด้วย นายโอมิ กล่าวว่า จากภาวะเรือนกระจกและปัญหาโลกร้อนในปัจจุบัน เห็นสมควรอย่างยิ่งให้มีการจัดทำสนธิสัญญาเกียวโตฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดให้ทุกประเทศ รวมทั้งสหรัฐฯ จีน และอินเดีย ที่ยังไม่ยอมให้สัตยาบันในสนธิสัญญาเกียวโต ต้องปฏิบัติตามกรอบกำหนด เพื่อการป้องกันปัญหาโลกร้อนในทิศทางเดียวกัน


 


ทั้งนี้ สนธิสัญญาเกียวโตฉบับปัจจุบัน มีการประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2540 โดยมีความมุ่งหวังที่จะลดปฏิกิริยาก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 5.12 ภายในปี 2555 ทำให้จำเป็นต้องมีการปรับปรุงสนธิสัญญาครั้งใหญ่หลังจากนั้น ทั้งนี้ มีการคาดการณ์กันว่า การประชุมประจำปีของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย หรือ ADB ซึ่งจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ที่นครเกียวโต ของญี่ปุ่น ก็จะมีการหยิบยกประเด็นเรื่องนี้เข้ามาหารือด้วย


 


 


อาเซียน+3 ตกลงตั้งระบบกองทุนสำรอง


กรุงเทพธุรกิจ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 10 ชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ตลอดจนญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ (อาเซียน+3) บรรลุข้อตกลงจัดตั้งระบบกองทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศร่วมกันระหว่างการประชุมนอกรอบการประชุมประจำปีของธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น นับเป็นก้าวสำคัญของกระบวนการรวมระบบการเงินภายในภูมิภาค โดยข้อตกลงดังกล่าวพัฒนามาจากข้อตกลงเบื้องต้น ที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อปี 2543

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net