วิทยากร บุญเรือง
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ข่าว่าใกล้ๆ บ้าน ที่โรงเรียนวัดเวฬุวัน อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ครูฝึกทหารกองพันพัฒนาที่ 3 อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นำนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทั้งหญิงและชายจำนวน 114 คน เข้าฝึกอบรมหลักสูตรยุวชนทหาร 40 ชั่วโมง เป้าหมายคือ เพื่อฝึกเด็กให้มีคุณธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย มีความซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ครูอาจารย์ ลดความก้าวร้าว มีสัมมาคารวะต่อผู้มีพระคุณ และเป็นคนดีในสังคม
โดยครูฝึก (ที่เป็นทหาร) ได้กล่าวว่า หลักสูตรยุวชนทหารนี้ได้จัดทำขึ้นมาเพื่อพัฒนาความรู้ทักษะ และปลูกฝังอุดมการณ์ให้เยาวชนได้มีระเบียบวินัย ก่อให้เกิดความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งมีวิทยากรทั้งพระสงฆ์ ทหาร และอาจารย์ มาให้ความรู้เกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมกับเด็ก
ส่วนผู้อำนวยการโรงเรียนเวฬุวันได้กล่าวว่า สังคมปัจจุบันเยาวชนมีความก้าวร้าวมากขึ้น การที่นักเรียนได้มาอบรมปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมตั้งแต่เด็ก ทำให้เด็กลดความก้าวร้าวลงได้ ... โดยจากการอบรมรุ่นแรกที่ผ่านมานั้นพบว่าผู้ปกครองมีการตอบรับและชื่นชมกลับมาว่า เด็กมีความประพฤติดี ปฏิบัติดีต่อสังคมและชุมชน และครอบครัวของตัวเอง ซึ่งในขณะนี้มีโรงเรียนหลายโรงเรียนในจังหวัดเชียงใหม่สนใจที่จะส่งเด็กเข้ามาฝึกอบรมในหลักสูตรนี้ ...
???
บทบาทของกองทัพหลังจากที่ออกมาทำลายประชาธิปไตยครั้งล่าสุด ซึ่งถึงแม้ชนชั้นกลางทั้งหลายจะหน้าบานมอบดอกไม้ให้อย่างไม่เคอะเขิน ... แต่ทหารส่วนใหญ่คงรู้สึกเคอะเขินถึงความไม่ชอบธรรมในการปฏิบัติการโหดที่ผ่านมา
การนำกองทัพออกมาพบปะกับประชาชน ให้ประชาชนไว้ใจได้ใจ จึงเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด --- คืออย่าทำให้เกิดความรู้สึกดั่งเช่นกรณีหลังพฤษภาทมิฬ ที่ว่ากันว่าหากทหารในชุดเต็มยศดันทะลึ่งขึ้นไปบนรถเมล์เมื่อไร ก็อาจจะโดนรุมกระทืบได้โดยง่าย เพราะหลังเหตุการณ์นั้นประชาชนเกลียดทหารเหลือขนาด!
ในปัจจุบัน นอกจากการสร้างความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจ ด้วยตบเท้าออกไปนั่งตามบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ และการเพิ่มงบประมาณของกองทัพแล้ว การทำงานทางการเมือง การครองใจครองความคิดผู้คน การสร้างมวลชนพลเรือนจึงเป็นอีกภารกิจหนึ่งที่ทหารต้องทำ เพื่อให้สถาบันนี้มีความมั่นคงต่อไปอย่างน้อยอีกช่วงเวลาหนึ่ง
ดังนั้นโปรเจคสร้างเครือข่ายสีเขียวจึงต้องเร่งสร้างขึ้นในห้วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นความพยายามยืดเวลาดำรงตำแหน่งให้กำนันผู้ใหญ่บ้าน , หรือการเพิ่มพลพรรค กอ.รมน. หลายหมื่นคนทั่วประเทศ , การทัวร์คอนเสริตลูกทุ่งที่จัดโดย คมช. , รวมถึงการสนับสนุนค่ายยุวชนทหารในสถาบันการศึกษา
กอปรกับทุกเราจะพบได้ว่าสังคมไทยได้หมุนเวียนกลับไปหาแนวคิด "ชาตินิยม" เห็นได้ชัดจากกรณีสร้างภาพให้ประเทศสิงคโปร์เป็นปิศาจตัวร้าย ไม่ว่าจะเป็น กรณีเทมาเสค , เรื่องการเช่าสนามบินที่อุดร , ฟุตบอลไทเกอร์คัพนัดชิงชนะเลิศ เป็นต้น --- สิงคโปร์ถูกจัดให้คล้ายกับเป็น "ยิวแห่งบูรพา" เมื่อสมัย ร.6 ... ศัตรูคู่ขนานของชาติ
หลายสิ่งหลายอย่างที่รับใช้อุดมการณ์ชาตินิยม กำเนิดขึ้นในยุคชาตินิยมไทยสุดขั้ว ( ในสมัย ร.6 และก้าวขั้นข้ามช่วงเวลามาถึงสมัยคณะราษฎรเมื่อจอมพล ป. เป็นใหญ่ ) --- ธงชาติ , อนุสาวรีย์ , ประเทศไทย ฯลฯ
รวมถึงการนำเยาวชนมาเป็นเครื่องมือด้วย ..
การนำเยาวชนมาเป็นเครื่องมือเชิดชูรัฐชาตินั้น ส่วนมากจะมีในรัฐที่เป็นเผด็จการ และมักจะใช้ข้ออ้างเรื่องของระเบียบ วินัย ความรักในสถาบันชาติ อันเป็นแนวอุดมการณ์ฝ่ายขวา ที่เชื่อมั่นในเผ่าพันธุ์ของตนเองว่า "กูแน่กว่าคนอื่น! "
ในอดีตสำหรับยุวชนทหารของไทยนั้น คือเยาวชนที่ได้รับการฝึกวิชาทหารขึ้นในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2477 - 2490 เนื่องจากรัฐบาลไทยสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามมีนโยบายพื้นฟูการฝึกวิชาทหารให้แก่ประชาชน โดยทำการฝึกจากนักเรียนและนิสิตนักศึกษาตามอย่างการฝึกยุวชนนาซีของเยอรมนี
การฝึกยุวชนทหารถูกยกเลิกใน พ.ศ. 2490 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงได้ 2 ปี ตามพระราชบัญญัติยกเลิกพระราชบัญญัติยุวชนแห่งชาติ พุทธศักราช 2486 พ.ศ. 2490 เนื่องจากภาวะขาดแคลนครูฝึกและงบประมาณ อย่างไรก็ตาม แนวคิดเกี่ยวกับการฝึกยุวชนทหารนี้ได้พัฒนาต่อมาเป็นการฝึกนักศึกษาวิชาทหาร ภายใต้การควบคุมของกรมการรักษาดินแดน หรือหน่วยบัญชาการกำลังสำรองในปัจจุบัน
แน่นอนว่าถึงจะไม่มีการฝึกฝนค่ายยุวชนทหารแล้ว การฝึกลูกเสือที่มีในหลักสูตรการศึกษาขั้นต้นของไทยนั้นก็ถือว่าเป็นกิจกรรมปลูกฝังชาตินิยมอันหนึ่ง --- แต่นั่นแค่ครูฝึกลูกเสือพุงหลามที่ผ่านการอบรมเล็กน้อย มาคอยสอนการผูกเงื่อนปมต่างๆ เท่านั้น ไม่ใช่การนำ ทหาร ออกมาจากกรมกอง เพื่อพบปะบุตรหลานของท่านโดยเฉพาะ
หนึ่งเหตุผลที่ฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าสำหรับการสนับสนุนการนำเด็กไปฝึกในรูปแบบค่ายยุวชนทหารก็คือ สามารถลดความก้าวร้าวของเด็กลงได้นั้น มันดูเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับภาพแห่งการร่วมทำกิจกรรมแบบทหารเป็นยิ่งนัก
ทหารเขามีไว้ฆ่าคนนะครับ! ... ถึงแม้ทหารไทยจะไม่ค่อยได้ทำสงครามกับใครมากนัก แต่สำหรับการฆ่าคนไทยด้วยกันเองนี่ประวัติศาสตร์สามารถยืนยันได้ว่ามันเคยเกิด เช่น เหตุการณ์กบฏผีบุญ , 14 ตุลา , 6 ตุลา หรือพฤษภาทมิฬ , เหตุการณ์กรือเซะ เป็นต้น
ส่วนความมีระเบียบวินัย ที่เด็กได้ฝึกนั้นมันเกิดขึ้นจาก "การหล่อหลอมทำให้เด็กคิดได้โดยสันติ เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน" ใช่หรือไม่? --- สำหรับการฝึกแบบทหารนั้นไม่ใช่แน่อย่างแน่นอน ความมีระเบียบวินัย นั้นมันเกิดจากกฎข้อบังคับ และการลงโทษต่างหาก ... ระเบียบวินัยที่เกิดจากการบังคับนั้นมั่นใจหรือว่ามันเป็นสิ่งที่ ... เด็กจะรู้สึกเก็บกด อยากระบาย หรือไม่ ? แล้วใครจะตกเป็นเหยื่อ ? เด็กได้เสพย์ติดลักษณะอำนาจนิยมไปไว้ ฝังมันไว้อยู่ข้างใน ไว้ระเบิดในอนาคต
และการฝึกแบบทหาร ไม่เคยสอนให้ใครได้คิด มีแต่สอนให้รับคำสั่งและปฏิบัติตามเท่านั้น! ลองมีใครตั้งคำถามว่า "ถ้ารักชาติแล้วพ่อแม่ผมจะหายจนหรือเปล่าครับครูฝึก" --- คำถามง่ายๆ แบบนี้อาจส่งผลให้ผู้ถามได้รับคำตอบเป็นรองเท้าคอมแบตก็เป็นได้
ที่สำคัญที่สุดทหารคือสัญลักษณ์แห่งความรุนแรง ในประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมาคนกลุ่มใดกันเล่าที่คร่าชีวิตเพื่อนมนุษย์มากที่สุด เราผ่านสงครามกันมากี่ครั้ง และใครเป็นผู้ห้ำหั่นชาวบ้านตาดำๆ ที่ไม่มีอาวุธ
ถ้าอยากให้ความรุนแรงมันอยู่ห่างๆ เด็กๆ ห่างลูกหลานของเรา ... ขั้นแรกอย่าให้พวกเขาอยู่ใกล้ ทหาร ปืน รถถัง จะดีกว่ามั้งครับ ;-)
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)