รัฐบาลคิวบาประกาศให้มีการไว้อาลัยแก่ Vilma Espin Guillos หรือ "วิลมา เอสปิน กิโยส" ในเวลาค่ำของวันที่ 19 มิ.ย.50 เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็น "วีรสตรีแห่งขบวนการใต้ดิน" ซึ่งใช้ชื่อจัดตั้งว่า "เดบราห์" และร่วมต่อสู้ในกองกำลังด่อต้านระบอบเผด็จการของผู้นำ "ฟุลเกนชิโอ บาติสตา" ซึ่งปกครองคิวบาในยุค 50"s
วิลมา เอสปิน เป็นบุตรสาวของเจ้าของผลิตภัณฑ์เหล้ารัม "บาร์คาดี" ซึ่งมีฐานะร่ำรวย ทำให้วิลมามีโอกาสได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมเคมี และเป็นผู้หญิงคิวบาคนแรกๆ ที่สามารถเข้าไปเรียนในสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเซทส์ (Massachusetts Institute of Technology) ของสหรัฐอเมริกาได้ แต่เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองในคิวบาสุกงอม วิลมา เอสปิน ก็ละทิ้งการเรียนไปเข้าร่วมกับกองกำลังใต้ดินที่ต่อต้านการปกครองของประธานาธิบดีบาติสตา
หลังจากทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ได้สำเร็จ "ฟิเดล คาสโตร" ผู้นำกองกำลังปฏิวัติก็ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งคิวบา นับตั้งแต่ปี 2502 จนถึง 2549 ในขณะที่วิลมา เอสปิน แต่งงานกับ ราอูล คาสโตร น้องชายของผู้นำคิวบา ซึ่งทั้งคู่ต่างเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้การปฏิวัติครั้งนั้นลุล่วงไปได้
ภาพถ่ายไม่ระบุเวลาซึ่งสื่อของรัฐบาลคิวบาเผยแพร่แก่ประชาชนหลังจากที่วิลมา เอสปิน ถึงแก่อสัญกรรม
(จากซ้ายไปขวา: มานูเอล พิเนโร, ฟิเดล คาสโตร, ราอูล คาสโตร, เด็กหญิงไม่ทราบชื่อ และวิลมาฯ)
เมื่อ ฟิเดล คาสโตร ประกาศยกตำแหน่งทางการเมืองให้ ราอูล คาสโตร สืบทอดอำนาจในเดือน ก.ค. 2549 วิลมา เอสปิน จึงดำรงตำแหน่ง "สุภาพสตรีหมายเลข 1" ของคิวบาอย่างเป็นทางการ
แต่ถึงแม้จะถูกเรียกว่า สุภาพสตรีหมายเลข 1 แห่งคิวบา ในฐานะภรรยาของราอูล คาสโตร ประธานาธิบดีรักษาการณ์คนปัจจุบัน วิลมา เอสปิน ได้ทำหน้าที่ "คู่คิด" คนสำคัญของผู้นำคิวบามานานแล้ว ตั้งแต่สมัยแรกๆ ที่ฟิเดล คาสโตร ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะภรรยาและครอบครัวของ ฟิเดล คาสโตร ไม่ค่อยปรากฏตัวต่อสาธารณชนมากนัก รวมทั้งปลีกตัวจากเรื่องราวทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง
นอกเหนือจากความสำคัญในฐานะที่ว่ามาทั้งหมด ต้องถือว่า วิลมา เอสปิน กิโยส คือนักเคลื่อนไหวซึ่งมีความโดดเด่นด้วยตัวของเธอเองด้วย
ความโดดเด่นด้านแนวคิดและการทำกิจกรรมขับเคลื่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิสตรีของวิลมา ได้แก่ การผลักดันให้เกิด "สมาพันธุ์สตรีคิวบา" หรือ Cuban Women Federation ซึ่งรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างเพศหญิงและเพศชาย โดยภายหลังได้ขยายขอบเขตการรณรงค์ไปยังเรื่องสิทธิเด็กและความเท่าเทียมให้แก่กลุ่มผู้หลากหลายทางเพศด้วย
วิลมา เอสปิน ดำรงตำแหน่งประธานสมาพันธุ์สตรีคิวบามาตลอดเวลา 4 ทศวรรษ นับตั้งแต่มีการก่อตั้งขึ้นในปี 2503 โดยที่สมาพันธุ์แห่งนี้เป็นผู้สนับสนุนชั้นดีให้แก่รัฐบาลคอมมิวนิสต์ของฟิเดล คาสโตรมาตลอด และถูกมองว่าเป็นกลุ่มการเมืองที่ทรงอิทธิพลอีกแห่งหนึ่ง
การทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมสิทธิสตรีของวิลมา ทำให้จำนวนประชากรเพศหญิงที่รู้หนังสือมีเพิ่มมากขึ้นจากยุคที่ถูกปกครองโดยบาติสตา นอกจากนี้ยังมีการรณรงค์เรื่องยาคุมกำเนิด และการผลักดันให้ผู้หญิงสามารถทำแท้งได้ในกรณีจำเป็น ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวในด้านสิทธิสตรีที่เป็นรูปธรรม
วิลมา เอสปิน ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 50 ที่บ้านพักในฮาวานา หลังจากป่วยเรื้อรังเป็นเวลานาน แต่ไม่มีการแจ้งให้ประชาชนและสื่อมวลชนทราบว่า สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของคิวบาเสียชีวิตด้วยโรคอะไร
พิธีไว้อาลัย ลดธงครึ่งเสา ถูกประกาศขึ้นในวันที่ 19 มิ.ย. พร้อมกับแถลงการณ์ของรัฐบาลซึ่งระบุว่าจะมีการจารึกชื่อของ วิลมา เอสปิน ไว้ที่เมืองซาติเอโก อันเป็นสถานที่เกิดของเธอด้วย
เรียบเรียงข้อมูลจาก: Cuba's "first lady" dies aged 77 จาก สำนักข่าว BBC
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)