นศ.ชาติพันธุ์ฯ มรช. ฉะผู้บริหารลอยหน้าอบรมสิทธิมนุษยชน แต่ไม่แก้ไขปัญหาละเมิด นศ.

ประชาไท - 27 มิ.ย.50 เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ดึงอนุกรรมการสิทธิฯ ติวเข้มผู้นำชุมชนชายขอบเชียงของเป็นผู้ช่วยนักกฎหมาย (ชาวบ้าน)

กิจกรรมในครั้งนี้ จัดโดยส่วนงานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ วิทยาลัยนานาชาติภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรช.) กับคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และอำเภอเชียงของ จ.เชียงราย โดยในพิธีเปิดการอบรม มี ผศ.สุรพล เวียงนนท์ ผู้ช่วยอธิการบดี มรช.ร่วมเป็นประธาน ที่บริเวณศูนย์ฝึกอบรมข้าราชการอำเภอเชียงของ จ.เชียงราย

การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการผู้ช่วยนักกฎหมายชาวบ้านครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยด้านสิทธิมนุษยชนของ มรช. รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า ผศ.สุรพล เวียงนนท์ ผู้ช่วยอธิการบดี ม.ราชภัฎเชียงราย กล่าวว่า อธิการบดีได้มอบหมายให้เขาเป็นตัวแทนในการฝึกอบรมครั้งนี้เพราะถือว่า มรช.เป็นมหาวิทยาลัยที่เห็นความสำคัญของผู้ด้อยโอกาสพร้อมให้ความร่วมมือและช่วยเหลือเต็มที่ในฐานะมหาวิทยาลัยของประชาชน เรื่องสิทธิมนุษยชนนี้เป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่ "ยูเอ็น" ก็ให้ความสนใจ ดังนั้น มรช.ก็ต้องช่วยเหลือเต็มที่ตามกรอบของกฎหมาย โดยได้เชิญวิทยากรจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มาเป็นวิทยากรด้วย (ที่มา : มรช.ดึงกรรมการสิทธิฯ ติวเข้มผู้ช่วยนักกฎหมาย(ชาวบ้าน)ชายขอบ ชร.)

อย่างไรก็ตาม การจัดฝึกอบรมเรื่องสิทธิมนุษยชนในครั้งนี้นั้น ได้สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้กับอดีตนักศึกษาชาติพันธุ์ ลัวะ ปกาเกอญอ ลีซู ลาหู่ ดาราอ้าง ชั้นปีที่ 1 รุ่นที่1 ของสาขาชาติพันธุ์ศึกษาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง สถาบันชาติพันธุ์และสันติศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ที่ได้มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ์ของพวกเขาเมื่อ 4 เดือนกว่าที่ผ่านมา โดยกลุ่มนักศึกษาดังกล่าวตั้งข้อสงสัยว่าวิทยาลัยนานาชาติภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มรช. และนายมาณพ ภาษิตวิไล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีความตั้งใจจริงใจที่จะส่งเสริมสิทธิมนุษยชน หรือเป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเท่านั้น

นายประสิทธิ์ ศรีใส อดีตนักศึกษาชั้นปีที่ 1 รุ่นที่ 1 ของสาขาชาติพันธุ์ศึกษาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง สถาบันชาติพันธุ์และสันติศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีความคิดเห็นว่า

"ผมคิดว่า การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมวิทยาลัยนานาชาติภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งปรับเปลี่ยนมาจากสถาบันชาติพันธุ์ฯ จึงเพิกเฉยไม่แก้ปัญหาในอดีตกรณีนายสมบัติ บุญคำเยือง ผอ.สถาบันชาติพันธ์ฯ ละเมิดสิทธิของนักศึกษาของพวกผม อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ชัดเจน โดยหลอกลวงว่าจะมีทุนการศึกษาให้แต่กลับไม่มีให้

"ผมคิดว่า การส่งเสริมสิทธมนุษยชนเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมวิทยาลัยนานาชาติภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งเป็นวิทยาลัยฯ ที่ ปรับเปลี่ยนมาจาก สถาบันชาติพันธุ์ ฯ นั้น ได้เคยมีอดีตนายสมบัติ บุญคำเยือง ผอ.สถาบันชาติพันธ์ฯ ได้กระทำละเมิดสิทธิของนักศึกษา ของพวกผม อัน เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ชัดเจน โดยหลอกลวงว่าจะมีทุนการศึกษาให้ แต่กลับไม่มีให้ และไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ เลยจนปัจจุบัน ตอนเป็นอาจารย์สอนก็มีลักษณะการกระทำแบบบังคับเกินเหตุเกินควรกับพวกผม ซึ่งผมถือว่าเป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์"

นายประสิทธิ์ ยังได้กล่าวอีกว่า "ขณะที่ทางวิทยาลัยนานาชาติภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายบางคน กลับลอยหน้าลอยตาไม่จริงใจแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนที่ผ่านมา แต่กลับจัดฝึกอบรมด้านสิทธิ์มนุษยชนให้ชาวบ้านในครั้งนี้ อย่างนี้เขาเรียกว่า ทฤษฎีไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติมากกว่า หรือปากว่าตาขยิบทำนองนั้น"

ขณะที่นายสุรพจน์ มงคลเจริญสกุล อดีตนักศึกษา ชั้นปีที่ 1 รุ่นที่1 ของสาขาชาติพันธุ์ศึกษาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง สถาบันชาติพันธุ์และสันติศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเช่นกัน มีความคิดเห็นว่า

"ผมคิดว่าการที่ทำให้ชาวบ้านรับรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนนั้น เป็นเรื่องหน่วยงานต่างๆ ต้องส่งเสริม แต่มันตลกหรือไม่ ? ถ้าหน่วยงานที่ได้เคยมีส่วนหรือรับรู้เกี่ยวข้องด้วยไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในการกระทำละเมิดสิทธิมนุษยชนเสียเอง แล้วกลับมากระทำตนเป็นนักสิทธิ์มนุษยชน เที่ยวประกาศหลักการอันสวยงาม แต่ไม่เคยจริงใจแก้ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน นี่จึงเป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์ เพื่อไม่ให้ตกกระแสเท่านั้น"

"พวกผมได้เคยยื่นเรื่องให้ทางอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ดำเนินการสอบสวนอดีตผอ. สถาบันชาติพันธุ์ฯ เป็นเวลาเข้าสู่เดือนที่ 5 แล้วยังไม่มีความคืบหน้า ไม่มีการแจ้งผลการสอบสวนให้พวกเรารับทราบ พวกผมคงไม่อยู่เฉย จำเป็นต้องปกป้องสิทธิมนุษยชน เราได้เตรียมที่จะทำหนังสือทวงถามอธิการบดีและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเร็ววันนี้ ซึ่งปัจจุบันพวกเราหลายคนต้องทำงานหนักและกู้หนี้ยืมสินมากขึ้น เราไม่เคยคิดเลยว่าผู้ใหญ่จะรังแกและหลอกลวงเด็กซ้ำแล้วซ้ำเล่า" นายสุรพจน์ กล่าว