ภัควดี วีระภาสพงษ์
หลังจากใครหลายคนเชื่อว่า ยุคนี้เป็น "จุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์" (กล่าวคือความเชื่อว่า ระบบทุนนิยมได้รับชัยชนะเด็ดขาดแน่นอนแล้ว) ประเทศนอกสายตาอย่างเวเนซุเอลากลับทำให้โวหารของคำว่า "สังคมนิยม" พลิกฟื้นคืนพลังขึ้นมาใหม่ นับตั้งแต่เวทีสังคมโลกในเดือนมกราคม ค.ศ. 2005 เมื่อประธานาธิบดีชาเวซประกาศถึง "ระบบสังคมนิยมแห่งศตวรรษที่
ความหมายของ "สังคมนิยมแห่งศตวรรษที่
ประธานาธิบดีชาเวซเองก็ไม่เคยนิยามชัดเจนนักว่า "ระบบสังคมนิยมแห่งศตวรรษที่
ในเมื่อไม่มีการนิยามแบบยืนยันชัดเจน เราก็น่าจะหันไปหาความหมายจากสิ่งที่ชาเวซปฏิเสธหรือแสดงออกในเชิงต่อต้านอย่างชัดเจน สิ่งที่ชาเวซวิพากษ์วิจารณ์เป็นประจำก็คือ ระบบทุนนิยม ในแง่นี้ การปฏิวัติโบลิวาร์ก็น่าจะหมายถึงระเบียบสังคมเศรษฐกิจที่แยกทางไปจากระบบทุนนิยม เวเนซุเอลากำลังเดินไปบนเส้นทางที่แยกออกจากรางรถไฟสายทุนนิยม (เสรีนิยมใหม่) หรือไม่? และกำลังเดินไปทางไหน? เราคงต้องจำกัดความก่อนว่า ระบบทุนนิยมคืออะไรหรือมีองค์ประกอบหลักอะไรบ้าง
องค์ประกอบหลักที่กำหนดความเป็นระบบทุนนิยมมีด้วยกันอย่างน้อย 3 ประการคือ 1) การมีกรรมสิทธิ์เอกชนในปัจจัยการผลิต อาทิ ที่ดิน โรงงาน ทุน ฯลฯ 2) การกระจายและการแลกเปลี่ยนอยู่ภายใต้การกำกับของกลไกตลาดที่เน้นการแข่งขัน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การสร้างผลกำไรสูงสุดให้ผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิต และ 3) ระบบทุนนิยมจำเป็นต้องมีรัฐที่ส่งเสริมระบบทุนนิยม รัฐที่คอยอุ้มชูหรือแก้ไขข้อผิดพลาดให้ในกรณีที่ระบบทุนนิยมไม่ทำงานหรือทำงานผิดพลาด
เวเนซุเอลากำลังบุกเบิกเส้นทางที่แยกออกไปจากทุนนิยมหรือไม่? เราจะดูนโยบายของรัฐบาลชาเวซในแต่ละองค์ประกอบ ดังนี้:
1. ความเปลี่ยนแปลงของกรรมสิทธิ์เอกชนในปัจจัยการผลิต
ในขณะที่ปัจจัยการผลิตส่วนใหญ่ในเวเนซุเอลายังเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนจำนวนน้อยที่มั่งคั่งหรือเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ แต่อย่างน้อยรัฐบาลชาเวซก็พยายามขยายรูปแบบกรรมสิทธิ์และการควบคุมปัจจัยการผลิตที่ไม่ใช่เอกชน อาทิเช่น สหกรณ์, การบริหารงานร่วม (co-management หรือ congestion คือการที่แรงงานเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารโรงงาน) รวมทั้งขยายกรรมสิทธิ์และการควบคุมของรัฐออกไปอย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่น ในยุครัฐบาลชาเวซ จำนวนสหกรณ์ในเวเนซุเอลาเติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 800 แห่ง ใน ค.ศ. 1998 เป็นกว่า 100,000 แห่ง ใน ค.ศ. 2005 เพิ่มมากกว่า 100 เท่าในเวลาแค่ 7 ปี ในปัจจุบัน มีชาวเวเนซุเอลากว่า 1.5 ล้านคนเป็นสมาชิกสหกรณ์ คิดเป็น 10% ของประชากรที่เป็นผู้ใหญ่ทั้งหมดในประเทศ รัฐบาลสนับสนุนสหกรณ์เหล่านี้ด้วยการให้สินเชื่อ ให้การอบรม และให้อภิสิทธิ์เป็นลำดับต้นในการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล
ส่วนในแง่ของการบริหารงานร่วม รัฐบาลเวเนซุเอลาทดลองวิธีการนี้ในกิจการของรัฐหลายแห่งด้วยกัน เช่น ในบริษัทไฟฟ้า CADAFE และโรงงานผลิตอลูมิเนียม Alcasa และมีแนวโน้มว่าจะขยายระบบบริหารงานร่วมในกิจการของรัฐมากยิ่งขึ้น รัฐบาลยืนยันชัดเจนว่า กิจการเหล่านี้ต้องใช้ระบบบริหารงานร่วมเท่านั้น รัฐบาลไม่สามารถยกกิจการให้คนงานเป็นผู้บริหารได้ทั้งหมด เนื่องจากกิจการส่วนใหญ่มีผลกระทบต่อสังคมโดยรวม รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและเป็นตัวแทนของเสียงส่วนใหญ่ในสังคม จึงควรมีสิทธิ์มีเสียงในการบริหารร่วมกับคนงาน
ยุทธศาสตร์อีกอย่างหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงระบบกรรมสิทธิ์เอกชนในปัจจัยการผลิตก็คือ การยึดโรงงานที่เลิกกิจการหรือล้มละลาย ในปัจจุบันมีโรงงานอย่างน้อย 4 แห่งถูกยึดมาและยกให้คนงานเป็นผู้บริหาร รัฐบาลกับสหภาพแรงงานแห่งชาติ UNT กำลังพิจารณาโรงงานแบบนี้เพิ่มอีก 700 แห่งที่จะยึดมาให้คนงานเป็นผู้บริหาร
ในส่วนกรรมสิทธิ์ของรัฐ นี่เป็นประเด็นที่ทุกคนทราบกันดีว่า รัฐบาลชาเวซกำลังเดินหน้ามากที่สุด รัฐบาลสร้างกิจการของรัฐเพิ่มในหลายภาคส่วน ไม่ว่าในด้านโทรคมนาคม, สายการบิน และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมทั้งการเข้าไปซื้อหุ้นของเอกชนในด้านการผลิตน้ำมัน
แน่นอน รูปแบบกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตที่ไม่ใช่ของเอกชนนี้ ยังถือเป็นแค่ส่วนน้อยในระบบการผลิตของประเทศเวเนซุเอลา ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะตัดสินว่า มันจะสามารถเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของระบบทุนนิยมในด้านนี้ได้จริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ระบบกรรมสิทธิ์รูปแบบใหม่ย่อมไม่มีประโยชน์อันใดเลย หากมันยังมีเป้าหมายเพื่อผลกำไรสูงสุดของคนกลุ่มน้อยในสังคม
2. การถอยห่างจากกลไกตลาด
รัฐบาลชาเวซพยายามใช้รัฐเป็นกลไกกำกับการผลิต รวมทั้งการกระจายสินค้าและบริการที่แยกออกมาจากกลไกตลาด กล่าวคือ รัฐเข้ามามีบทบาทในการนำความมั่งคั่งมากระจายใหม่ อาทิเช่น โครงการปฏิรูปที่ดินในชนบทและในเมือง, การนำความมั่งคั่งของน้ำมันมาใช้ในโครงการทางสังคมต่าง ๆ รวมถึงให้ทุนอุดหนุนเพื่อให้ราคาอาหารลดลง กระนั้นก็ตาม ถึงแม้กลไกการกระจายความมั่งคั่งโดยรัฐไม่ได้ดำเนินไปตามตรรกะของทุนนิยม แต่มันก็ไม่ได้แตกหักกับทุนนิยม เพราะการแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่ยังเกิดขึ้นในบริบทของตลาดเสรีอยู่ดี ในแง่นี้ รัฐบาลเวเนซุเอลามีนโยบายในลักษณะของสังคมประชาธิปไตย (social democracy) มากกว่าแบบสังคมนิยม
สิ่งที่รัฐบาลเวเนซุเอลาแยกขาดจากระบบกลไกตลาดมากที่สุด น่าจะเป็นการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลชาเวซไม่เพียงคัดค้านเสียงแข็งต่อข้อตกลงการค้าเสรีที่สหรัฐอเมริกาพยายามผลักดัน แต่เวเนซุเอลายังพยายามสร้างทางเลือกใหม่ในการค้าระหว่างประเทศ ที่เน้นความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันหรือการแสวงหาผลกำไร อาทิเช่น ข้อตกลงการค้าทางเลือก ALBA การแลกเปลี่ยนน้ำมันกับสินค้าหรือบริการกับหลาย ๆ ประเทศในอเมริกาใต้แทนที่จะซื้อขายด้วยเงิน เป็นต้น แต่การค้าที่ไม่ตั้งอยู่บนกลไกตลาดเหล่านี้ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัด รัฐบาลชาเวซจะขยายหรือค้นหากลไกแบบอื่นที่เข้ามาแทนที่ตลาดได้มากขึ้นหรือไม่ เป็นเรื่องที่ยังมองไม่เห็นชัดเจน
3. บทบาทของรัฐที่ไม่ได้อุ้มชูแต่ผลประโยชน์ของภาคเอกชนอีกต่อไป
องค์ประกอบนี้ดูเหมือนเป็นด้านที่เวเนซุเอลามีความก้าวหน้ามากที่สุด มีอย่างน้อยสามประการด้วยกันที่รัฐบาลชาเวซประสบความสำเร็จอย่างเห็นชัดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ประการแรก รัฐบาลชาเวซสลัดหลุดจากอำนาจครอบงำของกลุ่มทุนเอกชนในประเพณีทางการเมืองแบบเดิม ๆ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก การสลัดหลุดนี่เองทำให้รัฐบาลชาเวซสามารถออกมาตรการต่าง ๆ ที่คัดง้างกับระบบทุนนิยมได้ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งพรวดขึ้นมาในระยะหลังนี่เอง เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้รัฐบาลมีอิสระจากกลุ่มทุน ต่างจากรัฐบาลฝ่ายซ้ายอื่น ๆ ในอเมริกาใต้ เช่น รัฐบาลลูลาในบราซิล ซึ่งไม่สามารถดำเนินนโยบายได้อย่างเป็นอิสระ รายได้มหาศาลจากน้ำมันทำให้รัฐบาลชาเวซมีเงินในการลงทุน การดำเนินนโยบายภาษีแบบก้าวหน้า การออกกฎข้อบังคับต่าง ๆ การใช้จ่ายในโครงการทางสังคม ฯลฯ โดยไม่ต้องหวั่นวิตกว่าจะเกิดการไหลออกของเงินทุนหรือการหนีหายของทุนต่างชาติ
ประการที่สอง รัฐบาลพยายามคานอำนาจของทุนเอกชนด้วยการนำระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมเข้ามาใช้ในหลายพื้นที่ของภาครัฐ แม้ว่าสภาวางแผนสาธารณะท้องถิ่นจะล้มเหลว แต่รัฐบาลก็แก้ไขด้วยการออกกฎหมายสภาชุมชนขึ้นมาแทน และพยายามส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยทางตรงในชุมชนต่าง ๆ
รัฐธรรมนูญของเวเนซุเอลารับรองสิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม โดยมี 2 ด้านหลักคือ 1) ประชาชนสามารถรวบรวมรายชื่อเพื่อเรียกร้องให้มีการลงประชามติ 2) องค์กรทางสังคมมีสิทธิร่วมเสนอชื่อผู้สมัครชิงตำแหน่งศาลสูงสุด คณะกรรมการการเลือกตั้งและองค์กรอื่น ๆ เช่น คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ฯลฯ
ประการที่สาม รัฐบาลชาเวซสร้างหลักประกันที่สำคัญให้ระบอบประชาธิปไตยในประเทศอีกอย่างหนึ่งคือ การปฏิรูปกลไกที่อาจกลายเป็นเครื่องมือกดขี่ประชาชน กล่าวคือ กองทัพนั่นเอง ชาเวซกล่าวว่า การที่กองทัพในประเทศละตินอเมริกาส่วนใหญ่ตกเป็นเครื่องมือของเผด็จการ ก็เพราะกองทัพถูกแยกขาดจากภาคประชาสังคมเสมอมา การขาดความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประชาชน ทำให้ทหารสามารถปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมชาติอย่างทารุณโหดร้ายได้ รัฐบาลชาเวซจึงใช้กลยุทธ์แบบลัทธิเหมา โดยดำเนินตามคำขวัญว่า "กองทัพกับประชาชนก็เปรียบเหมือนปลากับน้ำ" และนำหลักการของ "ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างพลเมืองกับกองทัพ" มาใช้ในทางปฏิบัติ หมายความว่า กองทัพกับพลเรือนต้องมีปฏิสัมพันธ์กันให้มาก กองทัพต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาของภาคพลเรือนด้วย ฝ่ายพลเรือนเองก็ได้รับการขอร้องให้สมัครเป็นกองทหารสำรอง รวมทั้งฝึกการสู้รบแบบกองโจร! ในกรณีที่กองทัพภายนอก (แน่นอน เช่น กองทัพสหรัฐฯ ) รุกรานดินแดนของเวเนซุเอลา
แม้ว่าการทำให้กองทัพมี "ความเป็นพลเรือน" (civilize) อาจเป็นเรื่องที่ดี แต่การทำให้ภาคประชาสังคมมี "ความเป็นกองทัพ" (militarize) อาจกลายเป็นดาบสองคม เพราะภาคประชาสังคมอาจตกเป็นเครื่องมือในการกดขี่คนส่วนน้อยของประเทศ เพียงแต่ความเสียหายในแง่นี้ยังไม่เกิดขึ้นในเวเนซุเอลา ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต ประเด็นนี้ยังเป็นที่ถกเถียงได้ถึงข้อดีข้อเสียที่จะตามมา
เมื่อพิจารณาดูแต่ละองค์ประกอบข้างต้นแล้ว เราจะเห็นภาพชัดขึ้นว่า การปฏิวัติโบลิวาร์มีความแตกต่างจากสังคมนิยมในศตวรรษที่ 20 ไม่น้อย ในเชิงเศรษฐกิจ เวเนซุเอลายังรักษาระบบทุนนิยมแบบเสรีนิยมใหม่เอาไว้ และใช้ความมั่งคั่งที่ได้จากระบบทุนนิยมนี้มาสนับสนุนให้เกิดระบบเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ทุนนิยม จนเกิดลักษณะระบบคู่ขนานขึ้นมา ส่วนในเชิงการเมือง เห็นได้ชัดว่าการปฏิวัติโบลิวาร์แตกต่างจากสังคมนิยมยุคก่อนโดยสิ้นเชิง เพราะมีแนวโน้มที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนและประชาธิปไตยทางตรงมากกว่า
ขวากหนามบนเส้นทางสู่สังคมนิยมแห่งศตวรรษที่ 21
อุปสรรคที่อาจขวางให้การปฏิวัติโบลิวาร์ของเวเนซุเอลาสะดุดล้ม แบ่งออกเป็นปัจจัยภายนอกกับปัจจัยภายในกระบวนการ ปัจจัยภายนอกกระบวนการมีทั้งปัจจัยที่อยู่ในและนอกประเทศ ปัจจัยภายนอกกระบวนการปฏิวัติโบลิวาร์ที่อยู่ภายในประเทศก็คือฝ่ายค้าน แต่หลังจากที่ฝ่ายค้านของเวเนซุเอลาแสดงพลังมาหลายครั้งและต้องพ่ายแพ้ทุกครา อิทธิพลของฝ่ายค้านก็มีกำลังอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงขนาดต้องออกมายอมรับชัยชนะในการเลือกตั้งของประธานาธิบดีชาเวซอย่างเป็นทางการ
ปัญหาการต่อสัญญาสัมปทานให้ RCTV ถือเป็นแรงกระตุ้นครั้งล่าสุด ฝ่ายค้านพยายามปลุกกระแสต่อต้านประธานาธิบดีชาเวซในสื่อต่างประเทศ ซึ่งดูเหมือนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถทำให้กลุ่มประเทศใหญ่ ๆ อย่างสหภาพยุโรปออกมาต่อต้านชาเวซแบบเต็มตัว ส่วนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็สูญเสียความน่าเชื่อถือไปกับสงครามอิรักจนหมดสิ้น และไม่ว่าสหรัฐอเมริกาจะพยายามกดดันอย่างไรก็ไม่เป็นผล เพราะพูดง่าย ๆ ได้ว่า เวเนซุเอลาเคยชินกับแรงกดดันจากมหาอำนาจสหรัฐฯ เสียแล้วจนไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนอะไร
แม้ว่าฝ่ายค้านสามารถดึงเอาพลังนักศึกษา ซึ่งมักถือกันว่าเป็น "พลังบริสุทธิ์" ออกมาประท้วง แต่นักศึกษาผิวขาวจากมหาวิทยาลัยเอกชนก็ทำได้เพียงแค่เรียกร้องความสนใจจากสื่อต่างประเทศระยะหนึ่ง แล้วค่อย ๆ เงียบเสียงลงเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง โดยเฉพาะหลังจากที่ฝ่ายรัฐบาลยื่นข้อเสนอเปิดโอกาสให้กลุ่มนักศึกษาเข้ามาวิวาทะประเด็น RCTV ในสมัชชาแห่งชาติในวันที่ 7 มิถุนายน โดยจะถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่องไปทั่วประเทศ แต่กลุ่มนักศึกษากลับปฏิเสธข้อเสนอครั้งนี้! ยิ่งตอกย้ำให้ฝ่ายที่สนับสนุนการปฏิวัติโบลิวาร์มองว่า เหตุผลในการประท้วงของพวกเขามีแต่ความกลวงเปล่า อีกทั้งถูกชักใยจากฝ่ายอื่นอยู่เบื้องหลัง หลังจากนั้น นักศึกษากลุ่มนี้ก็ทิ้งประเด็น RCTV ไปเฉย ๆ แล้วหันไปหาประเด็นการปกป้องความเป็นอิสระของมหาวิทยาลัยเอกชนแทน
ส่วนปัจจัยภายนอกที่มาจากนอกประเทศ แน่นอน รัฐบาลบุชของสหรัฐอเมริกาย่อมเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งของการปฏิวัติโบลิวาร์ ดังที่มันเป็นภัยคุกคามต่อการปฏิวัติพัฒนาสังคมของทุกประเทศในอเมริกากลางและอเมริกาใต้เสมอมา รัฐบาลบุชพยายามเข้ามาแทรกแซงการเมืองของเวเนซุเอลาหลายครั้ง นับตั้งแต่การรัฐประหารใน ค.ศ. 2002 เป็นต้นมา เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ และรัฐบาลชาเวซมีอำนาจเป็นปึกแผ่นมากขึ้นทุกที นับวันรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยิ่งทำอะไรไม่ได้ถนัดนัก
ปัจจัยภายนอกอีกประการหนึ่งคือทุนต่างประเทศ แต่จะมีบรรษัทข้ามชาติแห่งไหนกล้าถอนตัวจากขุมน้ำมันอย่างเวเนซุเอลา? เท่าที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่า ไม่ว่ารัฐบาลจะขึ้นภาษีอุตสาหกรรมน้ำมันแค่ไหน ก็ไม่มีบรรษัทไหนย่อท้อ ส่วนการที่รัฐบาลเข้าไปซื้อหุ้นในกิจการน้ำมันเอกชนเพื่อโอนกลับมาเป็นของรัฐ มันไม่ก่อให้เกิดปัญหาเลยแม้แต่น้อย ตราบที่รัฐบาลยังคงซื้อหุ้นในราคาตลาด (เงินย่อมพูดภาษาเดียวกัน ไม่ว่าเจ้าของเงินจะมีอุดมการณ์แบบไหน)
อุปสรรคจากปัจจัยภายนอกไม่มีผลต่อกระบวนการปฏิวัติโบลิวาร์สักเท่าไรในตอนนี้ อุปสรรคที่แท้จริงกลับฝังอยู่ภายในกระบวนการปฏิวัติโบลิวาร์เองต่างหาก
อุปสรรคร้ายแรงประการแรกก็คือ วัฒนธรรมอุปถัมภ์พวกพ้องที่มีมายาวนานในระบบการเมืองเวเนซุเอลา ถึงแม้อูโก ชาเวซวิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมนี้มากแค่ไหน แต่ภายในกระบวนการปฏิวัติโบลิวาร์ก็หนีไม่พ้นวัฒนธรรมล้าหลังนี้ สมัยก่อนใครไม่มีเส้นสายกับพรรคการเมืองฝ่ายขวาย่อมยากที่จะรับราชการหรือทำมาหากินกับรัฐบาลฉันใด เจ้าหน้าที่รัฐบาลในยุคชาเวซก็จงใจกีดกันคนที่อยู่ฟากฝ่ายค้านฉันนั้น
ตัวอย่างอันฉาวโฉ่ในเรื่องนี้ก็คือ การจัดทำบัญชีรายชื่อ "Tascon List" ชื่อนี้ได้มาจากนาย
ระบบอุปถัมภ์พวกพ้องทำให้สังคมแตกแยก บ่อนทำลายหลักนิติธรรม ก่อให้เกิดการคอร์รัปชั่น ลดทอนความชอบธรรมของรัฐบาล รวมทั้งขัดกับหลักการความเสมอภาคที่รัฐบาลประกาศปาว ๆ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
อุปสรรคภายในประการที่สองคือ ลัทธิบูชาตัวบุคคลที่ห้อมแหนชาเวซ รวมทั้งแนวโน้มที่จะทำให้การเมืองเวเนซุเอลาโดยรวมให้น้ำหนักแก่ตัวบุคคลที่มีบารมีมากเกินไป จริงอยู่ บุคลิกภาพของชาเวซมีประโยชน์ต่อการปฏิวัติโบลิวาร์ ตรงที่เขาสามารถเป็นศูนย์รวมของคนจำนวนมากได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความสามารถของชาเวซก็ทำให้กระบวนการปฏิวัติโบลิวาร์ต้องพึ่งพิงเขามากเกินไป จนไม่อาจก่อเกิดสถาบันการเมืองที่เข้มแข็ง อีกทั้งทำให้ผู้สนับสนุนชาเวซเปิดปากวิพากษ์วิจารณ์ชาเวซได้ยาก เพราะการวิจารณ์ชาเวซเท่ากับบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการปฏิวัติเลยทีเดียว เปรียบเสมือนยื่นคมกระบี่ให้ฝ่ายศัตรู สถานการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายและมีแนวโน้มแถวหลังเข้าคลอง เมื่อมีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทเจ้าพนักงานของรัฐบาล กฎหมายฉบับนี้มีมานานแล้วก็จริง แต่มีบทลงโทษเล็กน้อยและไม่ค่อยนำมาปฏิบัติใช้ การแก้ไขเพื่อเพิ่มบทลงโทษขั้นสูงสุดต่อความผิดนี้ถือเป็นก้าวที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุดของรัฐบาลชาเวซ
อุปสรรคภายในประการที่สามคือ แม้จะส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมในระดับท้องถิ่น แต่ในระดับรัฐบาลฝ่ายบริหารนับตั้งแต่ชาเวซลงมา กระบวนการปกครองกลับมีแนวโน้มไปสู่การสั่งการแบบบนลงล่างมากขึ้น การปฏิรูประบบราชการยังไปไม่ถึงไหน ตัวชาเวซเองก็ใช่ว่าจะสลัดหลุดจากสัญชาตญาณแบบนายทหารที่ฝังรากลึก ยิ่งเมื่อมาผสมกับลัทธิบูชาตัวบุคคล การตั้งคำถามและขัดขืนต่อผู้บังคับบัญชาที่อยู่เหนือขึ้นไปก็ยิ่งยากมากขึ้น
การสร้างโครงการทางสังคมของรัฐบาลชาเวซเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นก็จริง แต่ในมุมกลับ มันกำลังสร้างนิสัยให้ประชาชนพึ่งพิงรัฐ การริเริ่มของประชาชนเกือบทั้งหมดถูกดึงเข้าไปอยู่ภายใต้ร่มธงของรัฐบาลชาเวซ รวมทั้งการที่ชาเวซกำลังสร้างพรรคการเมืองใหม่เพียงพรรคเดียวขึ้นมา ดูจะทำให้การเมืองรวมศูนย์มากขึ้น ทำให้หลายคนหันไปเรียกร้องโมเดลพันธมิตรแบบพรรค MAS ของโบลิเวียที่ผลักดันให้เอโว โมราเลสก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี
อุปสรรคประการสุดท้ายที่อาจทำให้การปฏิวัติโบลิวาร์ล้มคว่ำลงได้ คือสิ่งที่นักรัฐศาสตร์บางคนเรียกว่า "ความขัดแย้งของรัฐสวัสดิการ" กล่าวคือ การที่รัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งมาตามระบอบประชาธิปไตยจำเป็นต้องตอบสนองต่อ "เจ้านาย" สองกลุ่มที่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน ในด้านหนึ่ง รัฐบาลต้องตอบสนองต่อประชาชนที่เลือกตั้งพวกเขาเข้ามา มิฉะนั้นก็จะกระเด็นตกเก้าอี้ในการเลือกตั้งสมัยต่อไป กับอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลต้องตอบสนองต่อกลุ่มทุน มิฉะนั้น รัฐบาลก็ต้องเผชิญกับการคว่ำบาตรของทุนและวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ปัญหาสำคัญก็คือ "เจ้านาย" ทั้งสองมักชักเย่อกันไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามเสมอ ประชาชนย่อมมุ่งหวังให้รัฐบาลคุ้มครองตนจากความร้ายกาจของระบบทุนนิยม ส่วนทุนย่อมมุ่งหวังที่จะเป็นอิสระจากการกำกับดูแลและการเก็บภาษีของรัฐบาลให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ การพยายามลดความตึงเครียดที่ต้องตกอยู่ตรงกลาง ทำให้รัฐบาลทั้งในโลกที่หนึ่งและโลกที่สามใช้วิธีจัดทำงบประมาณขาดดุล ทุ่มเงินให้กับการสร้างสวัสดิการโดยไม่เก็บภาษีเพิ่มขึ้น แต่เมื่อไรที่หนี้สินกลายเป็นภาระหนักเกินไป รัฐบาลส่วนใหญ่ก็มักตัดการใช้จ่ายในด้านสวัสดิการลง แล้วหันไปใช้ระบบเสรีนิยมใหม่ด้วยความหวังว่าจะเอาตัวรอดจากวิกฤตการณ์ได้ ทว่าระบบเสรีนิยมใหม่หาใช่หนทางแก้ไขความขัดแย้งที่ถูกต้อง แต่เป็นเพียงการย้ายดุลอำนาจไปให้ฝ่ายทุนมากกว่า
ความขัดแย้งดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในเกือบทุกประเทศของภูมิภาคละตินอเมริกา เวเนซุเอลาดูคล้ายจะเป็นข้อยกเว้นเพราะความมั่งคั่งจากน้ำมัน แต่เวเนซุเอลาเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองหรือทองห่อผ้าขี้ริ้ว ยังเป็นเรื่องที่ต้องดูต่อไปข้างหน้า เท็ด ทรูแมน อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ด้านกิจการต่างประเทศเคยวิจารณ์ว่า เวเนซุเอลาสุ่มเสี่ยงต่อการถังแตก การขาดดุลงบประมาณพุ่งขึ้นถึง 8.2 ล้านล้านโบลิวาร์ หรือ 3.8 พันล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว อีกทั้งอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินโบลิวาร์ต่อดอลลาร์ในตลาดมืดยังตกลงถึง 16% ในปีนี้ ทำให้มันเป็นสกุลเงินที่มีอัตราการอ่อนตัวสูงที่สุดในโลก
คำพูดของเจ้าหน้าที่อเมริกันอย่างทรูแมนจะเชื่อถือได้หรือไม่ได้ก็ตามที หวังว่าการปฏิวัติโบลิวาร์ที่เริ่มต้นมาอย่างสวยหรูและเป็นแรงบันดาลใจไม่น้อยแก่สามัญชนในโลก คงไม่ล้มคะมำไปเพราะเจ้าบุญทุ่มชาเวซแจกเงินจนถังแตก!
อุบัติเหตุแห่งประวัติศาสตร์
ประธานาธิบดี อูโก ชาเวซมักพูดอยู่เนือง ๆ ว่า เขาตกอยู่ในอันตรายของการถูกลอบสังหาร คำพูดนี้ไม่ใช่แค่เพื่อเรียกร้องความสนใจจากประชาชน มันมีมูลความจริงอยู่ไม่น้อย ในช่วงที่เขาเริ่มมีอำนาจใหม่ ๆ สหรัฐอเมริกากับฝ่ายค้านในเวเนซุเอลาเคยสมคบคิดกันที่จะลอบสังหารชาเวซ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ว่าจะใช้วาจาแข็งกร้าวสักแค่ไหน แต่ตอนนี้ดูเหมือนฝ่ายที่อยากให้ชาเวซถูกลอบสังหารน้อยที่สุดอาจเป็นรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้ เพราะในสภาพที่แหล่งน้ำมันใหญ่ ๆ ในโลกตกอยู่ในภาวะปั่นป่วนและไม่มั่นคง เช่น ในอิรักหรืออิหร่าน สหรัฐฯ คงไม่ต้องการให้แหล่งน้ำมันใหญ่ ๆ อย่างเวเนซุเอลาเกิดความปั่นป่วนขึ้นมาเพราะการลอบสังหารผู้นำ
แต่ฝ่ายค้านในเวเนซุเอลาอาจไม่คิดอย่างนั้น หลังจากพ่ายแพ้จนหมดรูปครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้าย ฝ่ายค้านที่จนตรอกอาจเลือกเอาการลอบสังหารเป็นทางออก การปล่อยให้สื่อฝ่ายค้านอย่าง RCTV ได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างเมามัน อย่างน้อยก็เป็นการระบายออกเชิงจิตวิทยาอย่างหนึ่ง แต่การไม่ต่อสัญญาให้ RCTV อาจทำให้ฝ่ายค้านคับข้องใจ จนหันไปเลือกหนทางใด ๆ ก็ได้โดยไม่คำนึงว่าประเทศจะปั่นป่วนขนาดไหน (ความจริงยิ่งปั่นป่วนก็ยิ่งดีต่อฝ่ายค้าน) เราไม่ควรเอาฝาไปปิดกาน้ำที่กำลังเดือดพล่าน เพราะถึงกาจะเล็ก แต่น้ำที่พุ่งออกมาก็ร้อนลวกมือได้เหมือนกัน!
ใครจะรู้ การปฏิวัติโบลิวาร์อาจสะดุดคว่ำลงเพราะอุบัติเหตุของกระสุนนัดเดียว!
(หมายเหตุ - เริ่มเขียน ณ วันที่เวเนซุเอลาถูกอุรุกไฮหรืออุรุกวัยทีมขวัญใจผู้เขียนยิงพรุนตกรอบโคปาอเมริกา)
เอกสารประกอบการเขียน:
Eva Golinger and Sam King, "US Continues Destabilisation Push in
Gregory Wilpert, "The Meaning of 21st Century Socialism for
Greg Wilpert and Nikolas Kozloff, "Hugo Chavez's Future," March 11, 2007, ZNet.
Christopher Swann, "Chavez exploits oil to lend in
------------------------
ภาพประกอบหน้าแรกจาก www.panafricannews.blogspot.com