Skip to main content
sharethis


25 ส.ค. 50 โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค มีการเสวนา "ตรวจแถว ทหาร การบ้าน การเมือง และการเลือกตั้ง แนวโน้มการเมืองคลี่คลาย หรือคุกรุ่น" โดยผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสายเอ็นจีโอ อาทิ นายวิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมมหาวิทยาลัยรังสิต นายศิริชัย ไม้งาม ประธานสหภาพแรงงาน กฟผ. นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ แกนนำญาติวีรชนพฤษภา 35


 



นายวิทยากรกล่าวว่า สังคมตอนนี้มีตัวละครกลุ่มสำคัญ 4 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มทักษิณเป็นทั้งนายทุนใหญ่ เป็นขุนศึก แม้จะดูเหมือนนายทุนก้าวหน้าแต่อันตราย 2.กลุ่มขุนนางทหาร ซึ่งกลุ่มทักษิณพยายามปลุกปั่นว่านายทุนดีกว่าศักดินาล้าหลัง แต่น่ากลัวน้อยกว่าและอันตรายน้อยกว่า 3.กลุ่มนายทุนอื่นๆ เช่นกลุ่มพีทีไอ กลุ่มนายทุนระดับภูมิภาค นักการเมืองอาชีพ อย่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทย 4.กลุ่มประชาชน ปัญหาคือมีการเล่นการเมืองเฉพาะ 3 กลุ่มแรก ดังนั้นประชาชนต้องเข้ามาทำงานทางการเมือง เมื่อรัฐธรรมนูญผ่านแล้วก็ต้องรีบศึกษาว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง ไม่ใช่จะคิดเฉพาะแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ต้องแก้ไขการเมืองสังคมเศรษฐกิจทั้งหมด และต้องเน้นปฏิรูปภาคพลเมือง


 



นายพิภพกล่าวว่า ผลประชามติน่าจะมีคะแนนปนกัน ทั้งไม่เอาหรือเอาทักษิณ เอา คมช.หรือไม่เอา คมช. และเอาหรือไม่เอารัฐธรรมนูญ รวมทั้งพวกไม่รู้เรื่องไม่ใส่ใจลงคะแนนตามหัวคะแนน อย่างไรก็ตาม ผลประชามติสะท้อนว่า ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณยังต้องการเคลื่อนไหวเพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐ โดยทำเป็นขั้นตอน คือต้องการทำลายความชอบธรรมของ คมช. รัฐธรรมนูญ และรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณมีเงินและต้องการกลับมามีอำนาจ ไม่ยอมแพ้ แต่เชื่อว่าหากเข้ามาธรณีสูบแน่ เพราะมีอีกหลายพลังที่ต้องการจัดการกับ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่เฉพาะพลังประชาชนเท่านั้น


 



นายพิภพกล่าวว่า วันนี้มีรัฐธรรมนูญปี 50 แล้ว แต่ก็มีหลายฝ่ายวิตกกังวลว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักการเมืองได้หรือไม่ เกรงว่าเมื่อเข้ามาสู่การเมืองแล้วนักการเมืองเหล่านี้จะมาฉีกรัฐธรรมนูญอีก ส่วนที่ พล.อ.ชวลิต ยงใยยุทธ เสนอเป็นโซ่ข้อกลาง ต้องถามว่าจะซูเอี๋ยหรือเปล่า แล้วไม่ต้องดำเนินคดี พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ จะดำเนินการเรื่องการคอรัปชั่นหรือไม่ เรื่องนี้ พล.อ.ชวลิตต้องอธิบาย ส่วนนายสมัครคงไม่ต้องอธิบายเพราะบอกอยู่แล้วว่าจะมาช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ


 



นายสมเกียรติกล่าวว่า เห็นได้ชัดเจนว่าระบอบทักษิณกลับมาฟื้นตัวขึ้นอีกรอบ เสียงประชาชนสิบล้านคนไม่สามารถประมาทได้ และถือเป็นภัยคุกคามแบบใหม่ที่ต้องระมัดระวัง วิธีการของระบอบทักษิณในขณะนี้คือทำให้กองทัพแตกแยกด้วยการดึง พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ และอดีตแม่ทัพภาค 2 มาเป็นสมาชิกของพรรคพลังประชาชน สิ่งที่เขาต้องการคือ ให้กองทัพมี ผบ.ทบ.ที่หน่อมแน้มไม่พูดจากับสังคม ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังฉากและคอยรับผลประโยชน์ ขณะนี้ตนได้ข่าวแว่วๆ ว่า ผบ.กองพันที่เป็นกำลังหลักในการปฏิวัติเริ่มไม่พอใจกับการดำเนินการของ คมช.ที่ไม่สามารถจัดการกับระบอบทักษิณได้อย่างแท้จริง ดังนั้นหากผลออกมาได้ ผบ.ทบ.ที่หน่อมแน้มภาคประชาชนเตรียมเหลาไม้พลองไว้ต่อสู้อีกรอบได้เลย



 


นายสมเกียรติกล่าวอีกว่า การเลือกตั้งก็จะมีนักการเมืองเก่าๆ แบบบางคนเป็นโรคหลงลืม เป็นอัลไซเมอร์ และเป็นตัวแทนของการล่มสลายทางเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 บางคนก็เป็นเผด็จการฟาสซิสต์ที่มีรถดับเพลิงและรถขยะห้อยพะรุงพะรังตามมามากมาย ตัวละครต่างๆ ยังคงเหมือนเดิม ดังนั้นการเมืองในอนาคตจะประกอบไปด้วยนักการเมือง 5 จำพวกคือ 1.พวกบงการจากต่างแดน มีเป้าที่ต้องการทำลายฝั่งตรงข้ามและต้องการฟื้นคืนชีพเพื่อสะสางคดีเก่าๆ 2.พวกบงการในประเทศ พวกหัวโจก 111 คน จะส่งตัวแทนเข้ามาเพื่อต่อรองเล็กๆ น้อยๆ เช่น ให้ลูกหรือเมียได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี 3.พวกรับจ้างเล่นการเมือง ประกอบไปด้วยบุคคลที่เป็นโรคขี้หลงขี้ลืมประกาศตัวจะเป็นโซ่ข้อกลางและเป็นสะพานเชื่อมความดีกับความชั่ว 4.พวกนักการเมืองสัมภเวสี ไหลไปตามเงินไม่มีที่อยู่ที่แน่นอนและจะมุ่งตรงไปยังภาคอีสาน เช่น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ 5.กลุ่มพลังประชาชน ที่จะต้องจัดตั้งให้เป็นรูปธรรม เพื่อมีอำนาจในการต่อรองและตรวจสอบนักการเมือง


 



นายสมเกียรติกล่าวว่า การต่อสู้ทางการเมืองจะเกิดปัญหา 3 ประการคือ 1.อำนาจเก่ากับอำนาจใหม่จะฟัดเหวี่ยงกันไปเรื่อยๆ จะเกิดภัยคุกคามกองทัพด้วยเผด็จการทุนนิยม กองทัพในซีกของ พล.อ.สนธิจะยังคงอำนาจอยู่ หลัง พล.อ.สนธิลงจากตำแหน่งก็จะมีตัวตายตัวแทนเกิดขึ้นมา แต่จะต้องต่อสู้กันไปอีกยาวนาน 2.จะเกิดการต่อสู้ทางการเมืองของพลังล้าหลังในสภากับภาคประชาชน และจะเกิดการจารึก ส.ส.ขายตัวลงบนบัญชีหนังสุนัข 3.สื่อมวลชนจะเลือกข้างอย่างชัดเจนและใช้กลไกที่มีอยู่ต่อสู้ห้ำหั่นกันเองโดยไม่มีใครทำอะไรได้ แม้แต่สภาการหนังสือพิมพ์ก็จะไม่มีความหมายต่อไป สิ่งที่ประชาชนต้องจับตาดูคือกระบวนการยุติธรรมว่าจะจบลงอย่างไร ไม่ว่าการดำเนินการของ คตส. ป.ป.ช. และคดีซื้อเสียงล้มประชามติที่ตำรวจจับได้หลายคดี ตนเชื่อว่าหากกระบวนการยุติธรรมสิ้นสุดลงทุกอย่างก็จะยุติ


 



ในช่วงที่เปิดให้สอบถาม นายศิริชัย ไม้งาม ได้ซักถามว่าการเมืองคงหนีไม่พ้นวงจรเดิม พรรคการเมือง นักการเมืองยังคงเป็นบุคคลหน้าเดิมๆ ถ้าเราไม่เอาพรรคไทยรักไทย เราจะเอาพรรคประชาธิปัตย์ไหม แล้วมีพรรคทางเลือกที่สามหรือยัง ดังนั้นถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรตั้งพรรคภาคประชาชน นายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็เคยหลุดปากว่าอาจจะตั้งพรรคการเมืองเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน


 



นายสุริยะใสกล่าวว่า เมื่อวันศุกร์ที่นายสมัครได้เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน มีหลายคนโทร.มาหาตนว่าเราจะอยู่อย่างไร เขาจะกลับมาแล้ว ตนบอกไปว่าถ้าเขากลับมาก็ไม่เป็นไร เพราะเราก็จะสู้อีก และก็มีหลายคนที่โทร.มาบอกว่าเขาจะกลับมาแล้วและดีที่เราจะได้กลับมาสู้ ส่วนเรื่องตั้งพรรคทางเลือก เราปฏิเสธมาตลอดว่าเราไม่อยากทำ แต่สถานการณ์ 2-3 เดือนที่ผ่านมาหลายคนได้เปลี่ยนความคิด ซึ่งเรื่องนี้คุยกันมาเป็น 10 ปีแล้ว ไม่ใช่คุยกับนายสนธิคนเดียว แต่คุยกับนายพิภพ นายสมเกียรติและนายวิทยากรมาแล้ว แต่ไม่อยากพูดไปเพราะเดี๋ยวหาว่าใช้กระแสพันธมิตรฯ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ต้องขอขอบคุณนายสมัครที่ออกมาประกาศชัดเจนว่าเป็นตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะจะได้เตรียมตัวสู้ต่อ


 



นายพิภพกล่าวว่า ได้คิดกันมาตลอดว่าจะตั้งพรรคหรือไม่ ในช่วงรัฐบาลทักษิณมีการพูดกันมาก ความคิดเห็นค่อนข้างลงตัว แต่หลังรัฐประหารเกิดความแตกแยกสูงในภาคประชาชนและภาควิชาการ ภาวะตอนนี้คือต้องทำให้ความแตกแยกยุติ และทำให้กติกาภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่เกิดผล เรามีภาระหน้าที่ต้องจัดการกับระบอบเก่าให้อยู่มือก่อน เพราะหากไปตั้งพรรคแล้วทำให้ภาคประชาชนแตกแยกระบอบเก่าก็จะกลับมา



 


นายสมเกียรติกล่าวอีกว่า หากกลุ่มอำนาจเก่าได้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง จะมีการออกกฎหมายยกเลิกการเพิกถอนสิทธิ 111 คนโดยทันที และออก พ.ร.ก.เพื่อลบล้างความผิดให้คนเหล่านี้ด้วย แต่รัฐธรรมนูญใหม่มีมาตรา 68 ถ้าเห็นการแจกเงินซื้อเสียงให้ประชาชนไปร้องได้เลย ตนมีแนวคิดที่จะจัดตั้งหน่วยตามล่าหาใบแดงในแต่ละหมู่บ้าน เมื่อพบว่ามีการทำผิดที่สามารถให้ กกต.แจกใบเหลืองใบแดงได้ก็จะใช้มาตรา 237 ที่ระบุว่า หากกรรมการบริหารพรรครู้หรือรับรู้แต่ไม่ห้ามประชาชน ก็สามารถส่งเรื่องให้ยุบพรรคได้เลย


 



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่เสวนายังได้ตกลงจะคัดค้านการที่กลุ่มไทยรักไทยไปใช้ชื่อพรรคพลังประชาชน เพราะใช้ชื่อเหมือนตั้งขึ้นมาจากภาคประชาชน โดยจะให้นายอดุลย์เป็นแกนนำไปเรียกร้องกับ กกต. ไม่ให้ใช้ชื่อดังกล่าว



 


 


………………………………………………………………..


ที่มา: เว็บไซต์ไทยโพสต์


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net