Skip to main content
sharethis

ประวิตร โรจนพฤกษ์


 


ภาพพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ พูดปกป้องความพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายใน รอบที่สาม ทางข่าวทีวีช่อง 7 กลางดึกคืนวันจันทร์ (22) ที่ผ่านมา ช่างดูซื่อๆ เหมือนไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่แท้จริงแล้ว มันมิมีอะไรซื่อเกี่ยวกับการกระทำครั้งนี้เลย


 


ที่พูดเช่นนี้ เพราะนี่คือรัฐบาลเถื่อน (ที่มาจากรัฐประหาร) ซึ่งกำลังผลักดันกฎหมายเถื่อน ที่จะทำให้อำนาจเผด็จการเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย และคงจะได้รับความเห็นชอบจากสภาเถื่อน (ซึ่งแต่งตั้งโดยทหาร) ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า


 


Welcome to Myanmar ยินดีต้อนรับสู่สิงคโปร์ หรือระบอบการปกครองทางการเมืองแบบจีน แต่สไตล์ไทยๆ - ยินดีต้อนรับสู่รัฐเผด็จการทหารที่กฎอัยการศึก หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่จำเป็นต้องประกาศ เพราะมันจะคงอยู่ทุกวินาที ทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี ภายใต้ พ.ร.บ.ความมั่นคงนี้ เสมือนหนึ่งประเทศอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกอย่างถาวรตลอดไป


 


และใครจะเป็นเหยื่อ พ.ร.บ.ใหม่นี้เป็นคนแรก ในเมื่อผู้มีอำนาจในรัฐจะอ้างกฎหมายตัดสินด้วยตนเองว่า ใครจะเป็น "คนชั่ว" ในความคิดของพวกเขา (ผู้นำรัฐประหาร นายสนธิ บุญยรัตกลิน ได้เคยบอกเองว่า "คนดี" ไม่ต้องกลัวกฎหมายอย่างนี้ และกฎหมายนี้เอาไว้ฟัน "คนชั่ว")


 


ต่อไปนี้ คุณอาจจะกลายเป็น "คนชั่ว" หากคุณต่อต้านรัฐหรือวิจารณ์รัฐ ไม่ว่าเหตุผลในการต่อต้านของคุณจะดี มีน้ำหนัก หรือชอบธรรม เพียงไร และคุณจะกลายเป็น "คนชั่ว" หากคุณต่อต้าน พ.ร.บ. นี้


 


ถึงตอนนั้น คนชั่วจะกลายเป็น "คนดี" และผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรมจะถูกตราหน้าเป็น "คนชั่ว" เพราะกฎหมายชั่วๆ ได้ให้อำนาจผู้คุมรัฐในการกระทำชั่ว โดยการตราหน้าใครก็ได้ ว่าเป็น "คนชั่ว" โดยมิต้องผ่านการพิจารณาของอัยการหรือศาล - จริงๆ แล้ว สามารถพิจารณาฟันธงโดยไม่ต้องผ่านใครด้วยซ้ำไป ยกเว้นตัว ผอ.และรอง ผอ.รมน. (ซึ่งก็คือ นายกฯ และ ผบ.ทบ. นั่นเอง) ปัญหาสำคัญอันหนึ่งของร่าง พ.ร.บ. นี้ ได้แก่การให้อำนาจคนเพียงสองคนตัดสินว่าใครดี ใครชั่วนั่นแหละ


 


ร่างใหม่ฉบับ "ปรับปรุง" อ้างว่า ประชาชนมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย หากถูกกระทำโดยมิชอบธรรมโดยมิต้องไปฟ้องศาล ปัญหาก็คือ กระบวนการเรียกร้องค่าเสียหายมีความโปร่งใสเป็นธรรมเพียงไร และถึงแม้กระบวนการนี้เป็นกลางและเป็นธรรมจริง แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะชดเชยความเสียหายที่เกิดจาก พ.ร.บ. นี้ ซึ่งจะทำให้ประชาชน พลเมืองอยู่ในภาวะแห่งความกลัวตลอดเวลา กลัวว่าไม่รู้เมื่อไหร่บ้านอาจถูกค้น ตนอาจถูกจับ ชุมนุมอาจถูกห้าม สื่ออาจถูกห้ามรายงาน การใช้มือถือและอินเทอร์เน็ตอาจถูกทำให้ผิดกฎหมาย แถมยังฟ้องร้องศาลปกครองก็ไม่ได้


 


ชีวิตพลเมืองจะเปลี่ยนไป เพราะผู้ดำรงตำแหน่งสองตำแหน่งนี้ ห้ามใครชุมนุมเมื่อไหร่ก็ได้ นึกจะจับกักกันผู้ใดก็อ้างเรื่องความมั่นคงของชาติได้ทันที กฎหมายมีเพื่อความมั่นคงของใคร ของชาติ หรือของพวกเผด็จการที่ต้องการคงอำนาจอย่างไม่สามารถตรวจสอบได้ไว้อย่าง "ถูกต้องตามกฎหมาย"


 


คนพวกนี้คงกลัวว่าอำนาจเบ็ดเสร็จเผด็จการของพวกตนในปัจจุบันไม่มั่นคงพอ จึงพยายามออกกฎหมายนี้มาเพื่อความมั่นคงยิ่งขึ้นของพวกตน


 


ถ้าเป็นเช่นนั้น กฎหมายนี้ย่อมเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเป็นภัยต่อความมั่นคงของพลเมืองและวัฒนธรรม รวมถึงระบอบประชาธิปไตยที่ตรวจสอบได้


 


แล้วประชาชนจะยอมปล่อยให้คนในรัฐบาลเถื่อนพวกนี้ สถาปนาอำนาจเผด็จการ อำนาจสามานย์ ให้กลายเป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมายได้จริงๆ หรือ? ในเมื่อการยอมรับ พ.ร.บ.นี้ เท่ากับเป็นการเซ็นต์เช็คเปล่าให้ผู้ชื่นชอบระบอบเผด็จการเลือกใช้อำนาจ เมื่อไหร่ก็ได้ตามอำเภอใจ


 


 


 



..........................................


 


ปล. บางคนบอกว่ารัฐนี้ไม่ควรพิจารณาผ่านร่าง พ.ร.บ. นี้เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แถมการเลือกตั้งก็จะมาถึงในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า แต่ในมุมมองของผู้เขียน ไม่ว่ารัฐบาลนี้ (ที่แต่งตั้งโดยทหาร) หรือรัฐบาลหน้า ที่มาจากการเลือกตั้ง ก็ไม่มีสิทธิหรือความชอบธรรมในการผ่านกฎหมายใดๆ ที่จะทำลายการตรวจสอบ คานอำนาจในระบอบประชาธิปไตย แต่ที่ละอายมากคือ เผด็จการทหารชุดปัจจุบันพยายามเล่นกล ทำให้ดูเหมือนว่าร่าง พ.ร.บ. นี้ถ้าผ่านในสภาโจ๊ก ก็จะถือว่ามีความชอบธรรมถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งแท้จริงแล้วมันไม่มีอะไรชอบธรรมหรือถูกต้องตามกฎหมายเลย ไม่ว่าจะเป็นตัวเผด็จการทหารอย่างนายสนธิ หรือคนที่คิดว่าตัวเองเป็นนายกฯ ชื่อสุรยุทธ์และบรรดาสุนัขรับใช้ในสภาโจ๊ก


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net