Skip to main content
sharethis


12 พ.ย.50 - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์รายงานว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดปราศรัยที่วงเวียนใหญ่ นำทีมโดยนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ หัวหน้าพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรค ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งกรุงเทพฯ ของพรรค และนายพนิช วิจิตรเศรษฐ รองผู้ว่าฯกทม. โดยมีประชาชนมาร่วมรับฟังการปราศรัยประมาณ 700 คน 


 


นายจุรินทร์ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการแข่งขันกันสุดฤทธิ์สุดเดชจริงๆ ไม่เกิน 2 พรรค คือ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชาชน และการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค.นี้ ไม่ใช่การเลือกตั้งปกติธรรมดา แต่ยังกินความหมายกว้างไกลคือเป็นการเลือกตั้งพรรครัฐบาล ซึ่งชาวกทม.บอกว่าจะเลือกพรรคการเมืองไหนมาเป็นรัฐบาล ถ้าพรรคไหนได้เกิน 240 เสียง พรรคนั้นเป็นรัฐบาลแน่นอน แต่ถ้าไม่มีพรรคไหนได้ถึง 240 เสียง ก็แสดงว่าต้องมีพรรคการเมืองที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากในสภาได้เกิน 240 พรรคนั้นก็จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล


 


อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งปี 50 ต่างจากปี 44 และปี 48 เพราะปี 44 และปี 48 เป็นการเลือกตั้งที่ต่อเนื่องกันมาแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เพราะเป็นการเลือกตั้งหลังจากประเทศเกิดการแตกแยกครั้งใหญ่ ดังนั้นชาวกทม.ในวันนี้ต้องตัดสินใจอนาคตประเทศว่าจะเลือกอนาคตให้ประเทศไปสู่ความแตกแยกหรือสงบสุข จะเลือกประชาชนมาก่อน ตอนนี้มีพรรคการเมืองหนึ่งประกาศแล้วว่าถ้าเลือกเขาเป็นรัฐบาลก็จะกลับมาล้างแค้น  แต่ถ้าเลือกประชาธิปัตย์จะไม่มีการล้างแค้นใคร แต่จะเดินหน้าไปสู่ความสงบสุข  


 


ผู้สื่อข่าวรายงาน นายจุรินทร์ยังได้ชี้แจงวาระประชาชนที่เป็นนโยบายประชาธิปัตย์ ถ้าหากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลพรรคก็มีนโยบายยึดผลประโยชน์ประชาชนมาก่อนนักการเมือง ทั้งเรื่องการปฏิรูปการเมือง ประชาชนต้องมีส่วนร่วมมากขึ้น สามารถเข้าชื่อถอดถอนนักการเมืองได้ง่ายขึ้น โดยจัดตั้งสภาพัฒนาการเมืองภาคประชาชน และกองทุนพัฒนาการเมือง เพื่อตรวจสอบนักการเมืองที่คดโกง ขณะเดียวกันก็จะแปลงสภาผู้แทนราษฎรไปเป็นกฤษฎีกาภาคประชาชน นอกจากนี้ประชาธิปัตย์ยังมีนโยบายเรียนฟรี 15 ปี และรักษาพยาบาลฟรี  


 


"อภิสิทธิ์" เชื่อเลือกตั้งครั้งนี้แพ้ชนะสูสีกันไม่เกิน 10 ที่นั่ง  


ด้านนายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ที่ตนประกาศเรื่องการแบ่งขั้วไม่ใช่ต้องการให้เกิดความแบ่งแยก แต่ถือว่าคนที่อยู่พรรคพลังประชาชนก็คือคนที่เคยดูแลบ้านเมืองนี้มาเป็นเวลา 6 ปีที่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น มโหฬาร มหาศาลที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เป็น 6 ปีที่เอาอำนาจของประชาชนไปข่มขู่ คุกคาม ข่มเหง คู่แข่งขันทางการเมือง คนที่คิดไม่เหมือนกับตัวเอง  


 


"ผมบอกว่าวันนี้ถ้าคิดจะเป็นรัฐบาลและผมไปจับมือกับพลังประชาชน คิดว่าสองพรรคเกินครึ่ง แต่ผมไม่ต้องการเป็นรัฐบาลแล้วทรยศประชาชน จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะบอกว่าคนที่เคยต่อสู้คัดค้าน กล่าวหากันแล้ววันหนึ่งก็บอกจับมือจะได้มีอำนาจด้วยกัน นั่นไม่ใช่การเมืองในวิถีทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่การเมืองอุดมการณ์ ไม่ใช่การเมืองของประชาธิปัตย์แน่ ผมประกาศว่ายืนอยู่คนละขั้วเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกที่ชัดเจน อยากให้ทั้งสองฝั่งมาแสดงความคิดและบอกกับประชาชนพร้อมๆ กันว่าแต่ละฝ่ายคำนึงถึงบ้านเมืองว่าไปในทิศทางไหน อย่างไร ประชาชนจะได้ตัดสินใจได้ถูก แต่คงยาก"  


 


หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ตนอยากบอกกับนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ว่า ไม่สายเกินไปมีเวลาคิด 41 วันมานั่งพูดคุยกัน มาทำให้ประชาชนเห็นว่าความคิดต่างทางการเมืองที่แตกต่างกัน สร้างสรรค์ได้ ประชาชนจะได้ดูว่า 1.ใครมีความพร้อม มีความคิดที่หลักแหลมในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนมากกว่ากัน 2.ประชาชนจะได้ดูว่าคนอาสาตัวเป็นนายกรัฐมนตรี มีวุฒิภาวะทางอารมณ์เพียงพอหรือไม่ เราต้องการให้การเลือกตั้งเป็นสาระของอนาคตอย่างนี้ 


 


นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ แพ้ชนะจะสูสีกันไม่เกิน 10 ที่นั่ง ภาคใต้คิดว่าชนะทั้งหมด อีสานคิดว่าไม่ชนะ แต่ภาคเหนือที่ใครบอกว่าแพ้ขาด ความจริงจะสู้กันอย่างสูสี เพราะพื้นฐานคนเหนือมีความนิยมประชาธิปัตย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และตัวบุคลากรที่พรรคจะส่งก็มีความรู้ความสามารถจึงมั่นใจว่าจะได้รับโอกาสจากประชาชน และในพื้นที่การเลือกตั้งครั้งนี้เชื่อว่าพื้นฐานที่จะตัดสินว่าใครจะได้จัดตั้งรัฐบาลคือ กทม. ถ้าชนะกัน 20 ต่อ 16 ก็คงต้องเก็บวาระประชาชนกลับบ้าน แต่ถ้าได้ 36 คน วาระประชาชนก็ได้นำมาใช้เพื่อบริหารประเทศ หรือถ้าหากประชาชนจะเว้นในบางพื้นที่ก็ขออย่าให้เกิน 5 ที่นั่ง 


 


นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นโยบายวาระประชาชนของประชาธิปัตย์ปฏิบัติได้จริง ทั้งนี้อยากถามประชาชนว่าจะเลือกแบบไหน เลือกแนวทางที่บอกว่าประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าหรือจะอยู่กับที่ และสร้างปัญหาให้ประชาชนต่อไป มีอำนาจเก่า มีพื้นที่สีเขียว สีแดง ถ้าอยากได้แบบนั้นก็ให้ไปเลือกพรรคโน้น แต่ถ้าเลือกประชาธิปัตย์ ไม่มีอำนาจเก่า อำนาจใหม่ มีแต่อำนาจประชาชน ไม่มีพื้นที่สีเขียว สีแดง วันนี้เราจะทำให้มีสีเหลือง สีชมพู เพื่อถวายพ่อของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจในอนาคต  นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า ถ้าพรรคได้เป็นรัฐบาล ตนจะให้มีรายการนายกฯพบประชาชนต่อไป แต่จะให้มีรายการฝ่ายค้านพบประชาชนด้วย ไม่ต้องห่วงว่านายสมัคร จะไม่มีเวทีให้ในวันเสาร์ เพราะถือว่าถ้านายสมัครเป็นผู้นำฝ่ายค้านก็ต้องมีสิทธิพูดกับประชาชน แต่ประชาชนก็มีสิทธิปิดทีวีหนีนายสมัครได้เหมือนกัน และนายสมัครก็ต้องมีหัวใจประชาธิปไตยด้วย  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการปราศรัยนี้มี น.ส.กิตติพร อภิบาลภูวนาท หรือ ติ๋ม บินไทย ได้มาสังเกตการณ์บริเวณรอบนอกของเวทีปราศรัยด้วย ทั้งนี้การปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ ยุติลงในเวลา 21.05 น.


 


                                  


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net