Skip to main content
sharethis







การเมือง


 


ปชช.ยอมขายเสียงเปิดโพลล์ 'ครส.' เลือกตั้งส่อเละ!


เลือกตั้งส่อเละเป็นโจ๊ก  ครส.เปิดผลสำรวจ  ผงะ!  ประชาชนร้อยละ  64.6  พร้อมขายเสียง  ร้อยละ  82.9  ไม่แจ้ง   กกต.หากพบซื้อเสียง  สุดอนาถเหลือเวลาแค่เดือนเดียวยังมี  33%



ไม่รู้ว่าเลือกตั้งวันไหน "สนธิ"  อ้อนดารา-นักร้อง ฝันเฟื่องพลิกฝ่ามือช่วยบอกประชาชนอย่าขายเสียง  ประชาธิปตาย ผู้ว่าฯ  เชียงรายคาดโทษนายอำเภอปลุกคนใช้สิทธิ์ไม่ทะลุเป้าโดนแน่ ส่วนผู้ว่าฯ  ตรังตั้งรางวัล  เกณฑ์คนไปมากจะตอบแทนอย่างงาม


 


เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 มีการประชุมคณะกรรมการดำเนินการตามวาระแห่งชาติว่าด้วยการรณรงค์และแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง (ครส.) ครั้งที่ 3/2550 โดยมี  พล.อ.สนธิ  บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ตึกสันติไมตรี  ทำเนียบรัฐบาล  มีการเปิดเผยผลสำรวจเกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยสถาบันวิจัยอิสระเพื่อประเมินตนเอง พบหลายประเด็นที่สร้างความวิตกว่าการเลือกตั้งของประเทศไทยไม่ได้นำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง


 



จากการสำรวจพบว่า มีประชาชนรู้ว่าวันที่ 23 ธันวาคม 2550 จะมีการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60 (29 ต.ค.  2550)  คิดเป็นร้อยละ  67.1  (12  พ.ย.  50)  แม้จะเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น   แต่ยังถือเป็นปัญหาใหญ่ เพราะเหลืออีกเพียงเดือนเดียวจะถึงวันเลือกตั้งแล้ว  ยังมีประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือผลการสำรวจได้ชี้ให้เห็นว่า  ประชาชนเบื่อหน่ายต่อเรื่องการเมืองถึงร้อยละ  75.9


 



ยังพบว่าประชาชนร้อยละ 63.8  ยังไม่เข้าใจเรื่องการจัดแบ่งพื้นที่เขตเลือกตั้ง  ร้อยละ  80  ไม่ทราบกำหนดวันเลือกตั้งล่วงหน้า ที่สำคัญคือร้อยละ 64.6  ระบุจะรับเงินหากมีคนเสนอเงิน/สิ่งของ  แลกเปลี่ยนกับการออกเสียงลงคะแนนให้  มีเพียงร้อยละ  35.4  ระบุว่าจะไม่รับ  ขณะที่ร้อยละ  82.9  ระบุว่าจะไม่แจ้ง  กกต. หรือเจ้าหน้าที่เมื่อพบเห็นการซื้อเสียง


 



ดังนั้น  ครส.จะต้องเร่งดำเนินการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน โดยช่วย  กกต.รณรงค์ประชาสัมพันธ์ผลเสียของการซื้อสิทธิขายเสียง และความมั่นใจในความปลอดภัยของประชาชน  เมื่อมาแจ้งเบาะแสการซื้อสิทธิขายเสียง รวมทั้งสร้างความเข้าใจของประชาชนในเรื่องการแบ่งเขตการเลือกตั้งล่วงหน้าด้วย


 



แหล่งข่าวในที่ประชุม  ครส.เปิดเผยว่า  ผลสำรวจที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยสถาบันวิจัยอิสระเพื่อประเมินตนเองนั้น พล.อ.สนธิเป็นผู้นำเสนอในที่ประชุม  ซึ่งผลการสำรวจมาจากสถาบันวิจัยต่างๆ  จัดทำขึ้น  ทั้งนี้  ประธาน   ครส.ไม่ได้ระบุชื่อสถาบันวิจัยใดสถาบันวิจัยหนึ่งเลย


 



นอกจากนี้  ในที่ประชุม  ครส.  พล.อ.สนธิได้กล่าวขอบคุณภาคเอกชนที่ได้สนับสนุนการทำงานของ  ครส.เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่ได้จัดทำโปสเตอร์ คนดีไม่ขายเสียง  โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้สนับสนุนในโปสเตอร์แต่อย่างใด


 



แหล่งข่าวอ้างถึงคำพูดของ  พล.อ.สนธิ  ที่ได้กำชับให้ที่ประชุมรับทราบว่า ขอให้ทุกองค์คณะ  ทุกภาคส่วน  ดำเนินการด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้ก้าวก่ายการทำงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง  (กกต.)  โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบต่อพรรคการเมืองโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  และเข้าข่ายที่  กกต.เห็นว่าไม่เป็นกลาง



อย่างไรก็ตาม  แหล่งข่าวยังยกตัวอย่างถึงการรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่  23  ธันวาคมนี้ว่า บางกรณีอาจจะไปเน้นคำว่า "23"  อาจจะเข้าทางสนับสนุนพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งที่มีหมายเลขผู้สมัครเดียวกับหมายเลขดังกล่าว


 



ที่ตึกสันติไมตรี  ทำเนียบรัฐบาล  ครส.จัดการประชุมหารือขอความร่วมมือรณรงค์และแก้ไขปัญหาซื้อสิทธิขายเสียงร่วมกับกลุ่มศิลปินดารา นักแสดงทั้งรุ่นอาวุโสและรุ่นใหม่ อาทิ กลุ่มนักแสดงสภาโจ๊ก  นายรอง เค้ามูลคดี และครอบครัว,  นายมานพ  อัศวเทพ,  ไพโรจน์  สังวรริบุตร,  มนต์สิทธิ์  คำสร้อย,  เจเน็ท  เขียว, พาเมล่า  บาวเด้น,  หรั่ง  ร็อคเคสตร้า,  พ.ต.วันชนะ  สวัสดี  นักแสดงนำภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ,  กลุ่ม  AF  4  ฯลฯ


 



ภายในงานมีการเชิญดารานักแสดงสาธิตวิธีการลงคะแนนเลือกตั้ง และร่วมพิธีประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการซื้อสิทธิขายเสียง


 



พล.อ.สนธิกล่าวเปิดการประชุมว่า ทุกคนคงทราบกันดีว่าคำว่าประชาธิปไตยนั้นมีสิ่งหนึ่งที่จะนำพาไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง  ก็คือการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งต้องเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม  ไม่ซื้อสิทธิขายเสียง  จึงจะเป็นระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง


 



รองนายกฯ  กล่าวว่า สภาวะบ้านเมืองมันค่อนข้างจะมีแนวโน้มไปในทางที่มีการซื้อสิทธิขายเสียงมากขึ้น เราก็พยายามที่จะใช้ทรัพยากรของรัฐบาลเท่าที่มีอยู่ให้มันนำไปสู่ความสำเร็จในการเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็คิดว่ามันก็อาจจะไม่สำเร็จและก็ไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นผมก็จะพยายามใช้องค์กรต่างๆ  ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วย และที่สำคัญจะทำให้การรณรงค์ของ  ครส.เป็นไปด้วยความสำเร็จต้องอาศัยทุกท่าน เพราะเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจในการที่จะโน้มน้าวให้ประชาชนไปในทิศทางใด


 



"สังคมไทยเราในเวลานี้มันเปลี่ยนแปลงไปได้เร็วมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมหรือความทันสมัย หรือว่าลัทธิเอาอย่าง  มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วมากในยุคนี้  ฉะนั้นทุกท่านมีส่วนในการที่จะชักนำ นำพา ปรับ  และพัฒนาสังคมให้กลับไปอยู่ในสังคมไทยๆ  ที่เรารักและทะนุถนอมกันมานาน ซึ่งทุกท่านมีพลังอำนาจที่มีตัวตนและไม่มีตัวตนอยู่ในกิจกรรมทั้งหลาย ผมเชื่อได้เลยว่าถ้าเผื่อทุกท่านอยู่ในบทบาทของการเป็นศิลปินเพียงแย้มเสียงไม่กี่คำก็ทำให้ประชาชนก็ทำตาม  เพียงแต่ท่านพูดว่าการเลือกตั้งคราวนี้ไม่ซื้อสิทธิขายเสียงนะ ผมเชื่อว่าประชาชนเอาอย่างและทำตาม"  พล.อ.สนธิระบุ


 



ขณะที่นายภุชงค์ บุตราวงศ์ รองเลขาธิการ  กกต. บรรยายเรื่อง  กระบวนการการเลือกตั้งและโทษของการซื้อสิทธิขายเสียงว่า การเลือกตั้งครั้งแรกของไทยเกิดขึ้นเมื่อ 75  ปีที่แล้วซึ่งเราเพิ่งมีรัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะนั้นการซื้อเสียงยังไม่มีการใช้เงิน แต่จะเป็นการแจกหมากพลู ผ้าขาวม้า ผ้าพันคอ  แต่ก็ถือเป็นมรดกการซื้อเสียงตกมาจนถึงปัจจุบัน


 



รองเลขาธิการ  กกต.บอกว่า มีการวิเคราะห์กันว่าหากมีการซื้อสิทธิขายเสียงเพียง  20,  50,  100 - 1,000 บาท  จะมีผลเสียงของการบ้านเมืองของเราอย่างไรนั้น  ถ้ารัฐบาลที่มีความซื่อสัตย์สุจริตนำงบประมาณ  1  แสนกว่าล้านลงไปถึงประชาชน  ก็จะถึงทุกหมู่บ้านทุกตำบลและพัฒนาได้ทุกด้าน



"แต่ถ้าท่านไปรับเงิน 500-1,000 บาทแล้วไปลงคะแนนเสียงให้เขา ปีแรกเขาจะใช้งบประมาณของท่านประมาณ 1 แสนกว่าล้านบาท  และจะไม่ใช่เพียงแค่ปีเดียว  เพราะเขาอาจจะอยู่ถึง  4  ปี"  นายภุชงค์กล่าว


 



มีความเคลื่อนไหวเตรียมรับมือการเลือกตั้งของข้าราชการในส่วนภูมิภาค พบว่ามีการถ่ายทอดคำสั่งที่น่าสนใจ โดยนายปรีชา กมลบุตร  ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย  เปิดเผยว่า  ได้มีคำสั่งให้นายอำเภอทั้งหมด 18 อำเภอทั่วเชียงราย  เร่งดำเนินการ  3   แนวทาง  1.ให้เดินหน้าประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งทุกรูปแบบ 2.ให้วางตัวเป็นการทางการเมือง  3.รณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า  70  เปอร์เซ็นต์  ซึ่งประเด็นนี้  ได้สั่งกำชับเป็นพิเศษ  และจะมีการคาดโทษนายอำเภอในทุกอำเภอที่มีผลการออกมาใช้สิทธิ์ของประชาชนไม่ถึงเป้าที่กำหนดไว้


 



"จะมีการตรวจสอบโดยละเอียดว่าถึงที่มาของการออกมาใช้สิทธิ์ต่ำกว่าเกณฑ์ โดยดูว่านายอำเภอแต่ละพื้นที่นั้น มีการประชาสัมพันธ์หรือออกรณรงค์การเลือกตั้งในชุมชนท้องถิ่นมากน้อยเพียงใด  หากทำเต็มที่แล้ว แต่มีผลการออกมาใช้สิทธิ์น้อย ถือว่าไม่เป็นไรเพราะทำเต็มที่แล้ว  แต่หากมีการเพิกเฉยไม่ใส่ใจ หรือยอมให้อำนาจการเมืองกลุ่มใดก็ตาม เข้ามาแทรกแซง  จนทำให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์น้อยกว่าเกณฑ์จุดนี้ยอมไม่ได้  ซึ่งจะต้องมีการลงโทษแน่นอน เพราะถือว่าไม่สนองนโยบายกรมการปกครอง"  ผวจ.เชียงรายกล่าว


 



สำหรับจังหวัดเชียงราย  เป็นพื้นที่เลือกตั้งที่นายยงยุทธ  ติยะไพรัช  รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน  มีอิทธิพลสูง


 



ส่วนที่จังหวัดตรัง นายอานนท์  มนัสวานิช  ผจว.ตรัง  ตั้งเป้าหมายว่าจะรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์ไม่ต่ำกว่า 80%  โดยจะใช้ทุกวิถีทาง  ตนได้ทำหนังสือสั่งการไปยังทุกตำบลทั้ง  85  ตำบล  และ  15  เทศบาล  ข้าราชการทั้งส่วนภูมิภาคหรือส่วนกลาง  จะต้องมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ประชาชนไปเลือกตั้ง  โดยเฉพาะหน่วยงานต่างๆ แต่ละหน่วยงานจะต้องมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 1 ตำบล เช่น แรงงานจังหวัดตรัง รับผิดชอบในพื้นที่  ต.เขากอบ  ร่วมกับปลัด  อบต.เขากอบ   นายก อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครู  สาธารณสุข  พัฒนาชุมชน  แกนนำชุมชนต่างๆ  ในตำบลเขากอบรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งให้สูงสุด  โดยมีแรงจูงใจเป็นรางวัลล่อใจ


 



"หากประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ตามเป้าหมาย ตำบล เทศบาล ชุมชนนั้นๆ จะได้รับรางวัลตอบแทนอย่างสวยงาม"  ผวจ.ตรังกล่าว


 


ที่มา: http://www.thaipost.net


 


จาตุรนต์นำทีมท้าทายกกต.


"จาตุรนต์" นำทีมอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ท้าทายกกต.ยื่นร้องกรรมการสิทธิฯ-องค์กรนิรโทษกรรมสากล ฐานละเมิดสิทธิ หลังมีมติไม่ยื่นฟ้องศาล กรณีถูกจำกัดสิทธิทางการเมือง  พร้อมเตรียมเปิดเวทีปราศรัยศุกร์นี้ ที่สวนจตุจักร "สุรนันทน์-สุรเกียรติ์-ปวีณา-สนธยา" ทยอยไขก๊อกพ้นที่ปรึกษา-ลดบทบาท "สุพล" คาดสรุปผลสอบเอกสารลับภายในสิ้นเดือนนี้ "สนธิ" ลั่นเดินหน้าต้านประชานิยมกลุ่มอำนาจเก่า


 



นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคไทยรักไทย แถลงภายหลังเสร็จสิ้นการหารือร่วมกันของอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองบางส่วน วานนี้ว่า ที่ประชุมเห็นร่วมกันว่า ที่ผ่านมาได้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญทุกประการ แต่มติของ กกต.ที่ออกมา เช่น ห้ามปราศรัยหาเสียง เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เกินกว่าคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ เป็นการตัดสิทธิไม่ให้สามารถแสดงความคิดเห็นในฐานะประชาชนคนไทย เป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์


 



นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า เนื่องจากมติของ กกต. เป็นเพียงมติและความเห็นไม่ใช่ระเบียบหรือคำสั่ง การไปฟ้องร้องต่อศาลใดศาลหนึ่ง อาจจะยังไม่มีช่องทางที่ชัดเจน และเอื้ออำนวย ดังนั้น จะส่งตัวแทนไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในวันนี้ (20 พ.ย.) เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน


 



 "จากนี้ไปเราจะเปิดเวทีปราศรัยครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 23 พ.ย.นี้ ที่สวนจตุจักร ใช้ชื่อว่า "บ้านเลขที่ 111 พบประชาชน" จะเป็นการปราศรัยวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง การแสดงความคิดเห็นและข้อมูลของพรรคการเมืองต่างๆ ให้ประชาชนรับทราบ" นายจาตุรนต์ กล่าว



"ถ้าจะให้ใบเหลือง ใบแดง เราก็ยินดีรับ แต่วันนี้เราไม่ได้ลงสมัคร ไม่รู้จะให้ทำไม จะตัดสิทธิทางการเมืองก็ตัดไปแล้ว แต่ กกต.ก็ยังระแวง"


 



นายอดิศร เพียงเกษ หนึ่งในอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า เวทีปราศรัยจะมีการจัดปราศรัยที่ จ.นครราชสีมา ในวันที่ 27 พ.ย. ที่ อ.ปากช่อง และในวันที่ 19 พ.ย. ตนจะไปปราศรัยที่ จ.ขอนแก่น


 



"จรัล" เปิดเวทีอัดกกต.มติขัดรธน.



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จรัล ดิษฐาอภิชัย ในนามกลุ่มเพื่อนรัฐธรรมนูญ 2540 และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข จากกลุ่ม 24 มิถุนาฯ ประชาธิปไตย ได้เปิดเวทีปราศรัยย่อยด้านหน้าสำนักงาน กกต. โจมตีมติ กกต.ที่ห้ามอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง


 



เขาระบุว่า มตินี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญและสิทธิพื้นฐานของประชาชนที่ควรมีส่วนร่วมในการกำหนดชะตากรรมของประเทศ เช่นเดียวกับประชาชนคนอื่นๆ และโทษการตัดสิทธิเลือกตั้งในการยุบพรรคเป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังจึงผิดมาตั้งแต่ต้น และมตินี้ทำให้ กกต.สูญเสียความเป็นกลาง หมดความน่าเชื่อถือ และยังช่วยสืบทอดอำนาจเผด็จการ ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ กกต. มีมติเพิกถอนมติเดิมในทันทีเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้


 



สุรนันทน์-สุรเกียรติ์-ปวีณา-สนธยาไขก๊อก



นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ได้แถลงลาออกจากประธานกรรมการประสานงานการเลือกตั้งพรรคเพื่อแผ่นดิน โดยให้เหตุผลว่า เพื่อไม่ให้พรรคเสียเวลาเรื่องการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง แต่ยินดีช่วยงานของพรรคในกรอบของกฎหมายและฝากให้กกต.สร้างทัศนคติที่ดีเพื่อไม่กระทบต่อระบอบประชาธิปไตยในอนาคต



นายสันติ สาทิพย์พงษ์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ได้แถลงว่า นายสุรเกียรติ์ได้ขอลาออกจากประธานสภาที่ปรึกษาและวิชาการของพรรคแล้วเช่นกัน เพื่อไม่ให้ขัดต่อข้อกฎหมาย


 



ต่อมานายสุรเกียรติ์ เปิดแถลงข่าวว่า แม้ตนจะไม่เห็นด้วยกับเหตุผลของ กกต. แต่ไม่ขอดึงดันในตำแหน่งใด และแม้จะไม่สามารถทำงานให้พรรคได้ก็จะช่วยเหลือด้านอื่น เพื่อให้ประชาธิปไตยเกิดขึ้นต่อประเทศ



นายสุรเกียรติ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทราบว่า นายพินิจ จารุสมบัติ นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ซึ่งเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ยังไม่ลาออกจากกรรมการสภานโยบายและยุทธศาสตร์ โดยจะขอดูเอกสารที่ชัดเจนจากทาง กกต.


 



ด้านนางปวีณา หงสกุล ก็ได้ยื่นลาออกจากที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยแล้ว โดยระบุว่า อยากให้กกต.แสดงจุดยืนให้ชัดเจนในเรื่องนี้ และควรจะระบุว่าห้ามอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองมีอะไรบ้าง


 



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสนธยา คุณปลื้ม ก็ได้ลาออกจากประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยแล้ว เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับพรรค


 



 "สมชัย" อัดอดีตทรท.ไม่ยอมรับกติกา



ขณะที่นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กล่าวถึงกรณีที่อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย จะท้าทายกกต.ด้วยการเปิดเวทีปราศรัย แต่จะไม่เกี่ยวข้องกับพรรคพลังประชาชนว่า เขาจะบอกอย่างไรก็ว่าไป แต่การสืบสวนสอบสวน เราจะรู้ได้ว่าในทางลับ มีความเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กันอย่างไร จึงอยากเตือนพรรคต่างๆ ว่า ให้ระวังการกระทำใดที่หมิ่นเหม่ เพราะกรรมการบริหารที่ถูกตัดสิทธิ ก็เหมือนตายไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาคงตายซ้ำสองไม่ได้ แต่พรรคอาจจะได้รับผลกระทบ



"อยากให้อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ดูตัวอย่าง โสคราติส นักปราชญ์ชาวกรีก ที่เมื่อถูกตัดสินให้ประหารชีวิตในขณะที่ตัวเองไม่ผิด และมีคนที่พร้อมจะพาหลบหนีออกไป แต่โสคราติสก็เลือกที่จะรับโทษ เพราะถือว่าเมื่อตัดสินแล้วก็เป็นกติกาที่ทุกคนต้องยอมรับ และโสคราติสก็ได้รับการนับถือมาทุกวันนี้ แต่กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กลับไม่ยอมรับกติกา แล้วออกมาโวยวาย อย่างนี้สังคมจะสงบได้อย่างไร แล้วคนที่ไม่ยอมรับกติกาอย่างนี้หรือจะมาเป็นคนที่เสนอตัวเป็นผู้นำ เป็นคนที่จะมาบริหารบ้านเมือง หรือให้ดูตัวอย่างของ เสธ.หนั่น (พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์) ก็ได้ ที่เมื่อถูกตัดสินเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ก็ยอมที่จะถอยหลัง และไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองถึง 5 ปี" นายสมชัย กล่าว


 



"สุพล" คาดสรุปเอกสารลับสิ้นเดือนนี้



นายสุพล ยุติธาดา ประธานกรรมการสอบเอกสารลับของพรรคพลังประชาชน เปิดเผยภายหลังการประชุม วานนี้ว่า ได้เชิญบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชนมาให้ข้อเท็จจริง ที่มาที่ไปของการเสนอข่าวเอกสารลับ แต่ไม่สามารถนำมาเปิดเผยได้ เพราะที่ประชุมมีมติว่า ไม่ควรเปิดเผยข้อเท็จจริงจนกว่าจะสรุป และส่งให้ กกต.เป็นผู้พิจารณา


 



"เราพิจารณาไปแล้วประมาณ 80-90% ผมคิดว่าจะประชุมอีก 2-3 ครั้ง ก็น่าจะสรุปได้ภายในสิ้นเดือนนี้ โดยจะประชุมอีกครั้ง ในวันพฤหัสบดีที่ 22 พ.ย. คาดว่าอาจจะยุติ และหารือในเนื้อหาของเอกสาร แต่หากใครยังมีเอกสารเพิ่มเติมเข้ามา ก็จะนำมาประกอบการพิจารณา" นายสุพล กล่าว



อย่างไรก็ตาม นายสุพล ปฏิเสธที่จะตอบว่า เนื้อหาในเอกสารที่ นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน กับที่กองทัพนำมามอบให้ กกต. ไม่ตรงกันตามข่าวใช่หรือไม่


 



เมื่อถามย้ำว่า เอกสารที่คณะกรรมการมีเลขที่หนังสือ วัน เดือน ปี และลายเซ็นตรงกัน ต่างกันเพียงเนื้อหาเท่านั้นใช่หรือไม่ นายสุพล กล่าวว่า วัน เดือนปี ลำดับเลขที่หนังสือ รวมทั้งลายเซ็นเหมือนกัน แต่ไม่ขอพูดว่าเนื้อหาตรงกันหรือไม่ ทั้ง 2 ฝ่ายให้ข้อมูลคล้าย ๆ กัน ส่วนที่แตกต่างกัน เรามีวิธีการตรวจที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ยืนยันว่า เอกสารที่ออกที่ออกมาเผยแพร่เปรียบเทียบกันตามสื่อ ไม่ได้จากคณะกรรมการชุดนี้


 



ส่วนที่ทหารอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงในเอกสารลับดังกล่าว นายสุพล กล่าวว่า แม้จะเป็นเรื่องความมั่นคง แต่ก็ต้องทำภายใต้กฎหมาย ผู้สื่อถามว่า หลังสรุปผลแล้ว มั่นใจหรือไม่ว่า จะสามารถชี้แจงให้สังคมได้ทราบอย่างชัดเจน นายสุพล กล่าวว่า หลังจากสรุปก็จะเสนอให้กับ กกต. เท่าที่เรามีหลักฐาน ส่วนประชาชนจะเชื่อถือแค่ไหน คงตอบไม่ได้


 



"สนธิ" เดินหน้าต้านประชานิยมอำนาจเก่า


พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเวบไซต์ไฮ-ทักษิณ นำเอกสารลับมาก กรณีที่ไปให้โอวาทในการอำลาตำแหน่งต่อกำลังพล โดยให้ทำสงครามแย่งชิงประชาชนและต่อต้านประชานิยมกลุ่มอำนาจเก่าว่า ตนไม่ทราบว่าได้พูดไปอย่างไรบ้าง เพราะนานแล้วและเนื้อหาสาระเยอะ หากจำผิดจะยุ่ง


 



เมื่อถามว่าทางฝ่ายตรงข้ามชี้ประเด็นว่าเป็นการต่อต้านกลุ่มอำนาจเก่าโดยไปโยงบุคคลที่เคยหนีเข้าป่าและลัทธิคอมมิวนิสต์มาเกี่ยวโยงกับข้อกล่าวหาล้มล้างสถาบัน พล.อ.สนธิ กล่าวว่า อันนี้เป็นข้อมูลข่าวสารทางทหาร เราก็หยิบข้อมูลข่าวสารตรงนั้นมาเล่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาฟัง


 



ผู้สื่อข่าวกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวผลการสอบสวนเอกสารลับคมช. ระบุว่าลายเซ็นคมช.เป็นของจริง จะนำไปสู่ข้อหาว่ากองทัพกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง พล.อ.สนธิ กล่าวว่า อย่าลืมว่าเราต้องแยกเรื่องความมั่นคงกับการเมืองออกจากกัน ถ้านำเรื่องความมั่นคง หรือความไม่ปลอดภัยของชาติ บ้านเมือง มาเกี่ยวข้องกับการเมืองน่าจะไม่ได้ ความจริงเรื่องของความมั่นคงต้องอยู่ในกรอบของการรักษาความลับ



เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่มีเอกสารลับสมัยที่ท่านเป็นประธานคมช.รั่วไหลออกมาในช่วงนี้ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ตนได้บอกไว้ในที่ประชุมคมช.และกองทัพบกว่าเอกสารทั้งหมดที่เราทำอย่างไรก็ตามมันเป็นความลับไม่ได้ เพราะคนในกองทัพเองก็มีหลายกลุ่ม


 



ต่อข้อถามว่าแสดงว่านโยบายที่เคยให้ไว้ในการอำลาตำแหน่งผบ.ทบ.ที่ให้ทหารเข้าถึงรากแก้ว ดึงประชาชนมาเป็นฝ่ายกองทัพจะต้องสานต่อใช่หรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวยอมรับว่า อันนี้ต้องทำอยู่แล้ว เพราะถือเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ จำเป็นต้องทำอย่างยิ่ง จะเลิกราคงไม่ได้


 



เมื่อถามว่าแต่เนื้อหาในเอกสารที่เอามาแฉระบุว่า เป็นการต่อต้านนโยบายประชานิยม พล.อ.สนธิ กล่าวว่า คำว่าประชานิยมเป็นกระบวนการของระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้วในส่วนหนึ่ง อะไรที่เป็นข้อดีเราก็เอามาใช้ อะไรที่น่าจะต้องมาศึกษากันใหม่ก็ต้องว่ากัน


 


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com


 







ต่างประเทศ


 


"โอเปก"ศึกษาผลกระทบดอลล่าร์อ่อน หลังสมาชิกจี้ยุติผูก"น้ำมัน"กับดอลล์


ไฟแนนเชียลไทมส์/รอยเตอร์ - องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) กำลังทำการศึกษาเรื่องค่าเงินดอลลาร์อเมริกันซึ่งอ่อนปวกเปียกลงเรื่อยๆ ว่าจะมีผลกระทบอย่างไรต่อเศรษฐกิจของพวกเขา ภายหลังมีเสียงเรียกร้องในหมู่ชาติสมาชิก ให้กำหนดราคาน้ำมันด้วยระบบตะกร้าเงินตราหลายสกุล แทนที่จะอ้างอิงเป็นเงินตราสหรัฐฯเพียงสกุลเดียว


 


ความเคลื่อนไหวคราวนี้ ซึ่งปรากฏออกมาจากการประชุมระดับผู้นำของโอเปกที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์(17-18) นับเป็นความพยายามที่จะลดความแตกแยกภายในองค์การ ในเรื่องควรดำเนินการตอบโต้อย่างไรกับสภาพที่ค่าเงินดอลลาร์ดิ่งลงไม่หยุด ทั้งนี้ อิหร่านกับเวเนซุเอลาได้เรียกร้องผลักดันให้โอเปกถอยห่างจากเงินตราสกุลดอลลาร์ ทว่าถูกซาอุดีอาระเบียต่อต้านอย่างแข็งขัน


 


ประธานาธิบดี มาห์มูด อาหมัดนิเดจัด แห่งอิหร่าน กล่าวภายหลังการประชุมของเหล่าผู้นำว่า เงินดอลลาร์ที่ลดค่าลงไปนี้ หมายถึงทางผู้ผลิตน้ำมันกำลังตกเป็นผู้ที่ต้องคอยอุดหนุนชดเชยให้แก่รัฐบาลและประชาชนชาวอเมริกัน


 


 "พวกเขาเอาน้ำมันของเราไป และจ่ายให้เราเป็นเศษกระดาษที่ไร้ค่า" เขาบอก "เราทั้งหมดต่างทราบว่าดอลลาร์สหรัฐฯนั้นไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจหรอก"


 


เงินดอลลาร์ได้ลดลงมา 16% แล้วในปีนี้เมื่อคำนวณเปรียบเทียบกับระบบตะกร้าเงินซึ่งประกอบด้วยเงินตราสกุลสำคัญๆ และอ่อนตัวลงถึง 44% ทีเดียวหากเทียบกับเงินสกุลยูโรนับแต่การประชุมซัมมิตโอเปกคราวที่แล้วที่กรุงการากัส ประเทศเวเนซุเอลา ปี 2000 พวกเจ้าหน้าที่อิหร่านบอกว่า ราคาเฉลี่ยของน้ำมันแต่ละบาร์เรลของพวกเขาในปีนี้ตั้งแต่เริ่มต้นปีจนถึงปัจจุบันนั้น เท่ากับ 63 ดอลลาร์ สูงขึ้นจากระยะเดียวกันของปีที่แล้วแค่ 2 ดอลลาร์เท่านั้น ยิ่งถ้าคำนวณราคากันเป็นสกุลยูโรแล้ว น้ำมันในปีนี้จะมีราคาถูกกว่าปีที่แล้วด้วยซ้ำ


 


คำแถลงร่วมสุดท้ายของการประชุมผู้นำโอเปกคราวนี้ ไม่ได้มีการเอ่ยอ้างใดๆ ถึงชะตากรรมของเงินดอลลาร์ ซึ่งก็ดูจะเป็นชัยชนะของพวกสายกลางนำโดยซาอุดีอาระเบีย ที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ ทว่าอาหมัดนิเดจัดและเจ้าหน้าที่ของชาติสมาชิกโอเปกคนอื่นๆ ระบุตรงกันว่า บรรดารัฐมนตรีคลังและรัฐมนตรีต่างประเทศของโอเปก จะไปพบหารือกันที่อาบูดาบี ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพื่ออภิปรายกันเกี่ยวกับผลสืบเนื่องจากค่าดอลลาร์


 


ระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีในวันศุกร์(16)เพื่อเตรียมการให้แก่การเจรจาระดับผู้นำโอเปก เจ้าชายซาอุด อัลไฟซาล รัฐมนตรีต่างประเทศของซาอุดีอาระเบีย ได้กล่าวเตือนว่า ถ้าหากคำแถลงร่วมของเหล่าผู้นำ มีการอ้างอิงถึงเงินตราสหรัฐฯแล้ว ดอลลาร์ก็อาจจะถึงขั้น "พัง" ได้


 


คำพูดของเขาในเรื่องนี้ ซึ่งกล่าวในการประชุมเป็นการภายใน ทว่ากลับรั่วไหลออกมาให้บรรดาผู้สื่อชนได้ยิน ด้วยสาเหตุที่ดูจะมาจากความหละหลวมของพวกเจ้าหน้าที่


 


ภายหลังการประชุมสุดยอดคราวนี้เสร็จสิ้นลง เจ้าชายซาอุดก็พยายามลดทอนความสำคัญของการประชุมระดับรัฐมนตรีที่มุ่งตรวจสอบปัญหาจากค่าเงินดอลลาร์กันต่อไปอีกนี้ โดยกล่าวว่า มันไม่ได้มี "นัยซ่อนเร้น" ใดๆ ทั้งสิ้น และเพียงเป็นการสะท้อนถึงภาระหน้าที่ของสมาชิกโอเปกที่จะต้อง "ทำให้ได้รับผลตอบแทนมากที่สุดจากทรัพยากรของพวกเขา"


 


เขาพูดต่อไปว่า "ทุกๆ คนในประชาคมระหว่างประเทศต่างกังวลมาก ... หวังว่าเราจะสามารถพบวิธีที่จะพิทักษ์เศรษฐกิจของพวกเราในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนเหล่านี้"


 


ซาอุดีอาระเบียนั้นมีทุนสำรองที่เป็นสกุลเงินตราสหรัฐฯอยู่เป็นจำนวนมาก และย่อมต้องได้รับความเสียหายจากการลดฮวบของค่าเงินดอลลาร์


 


ขณะที่อิหร่านกำลังกดดันให้โอเปกหันมาพิจารณาทางเลือกที่จะกำหนดราคาน้ำมันของโอเปก โดยอิงกับระบบตะกร้าเงินตราหลายๆ สกุล แทนที่จะเป็นดอลลาร์สกุลเดียว


 


อันที่จริงถ้ามีความเคลื่อนไหวเช่นนี้เกิดขึ้น ก็ยังไม่จำเป็นต้องทำให้ค่าเงินดอลลาร์ดิ่งวูบ อิหร่านในปัจจุบันได้กำหนดราคาน้ำมันที่ขายส่วนใหญ่เป็นสกุลยูโร แต่ในทางปฏิบัติแล้วก็ยังรับเงินในตลาดโลกเป็นสกุลดอลลาร์


 


อย่างไรก็ตาม หากโอเปกเกิดทิ้งเงินดอลลาร์กันอย่างจริงจัง ก็ย่อมทำให้ตลาดการเงินเห็นเป็นสัญญาณว่า บรรดาสมาชิกโอเปกจะปรับเปลี่ยนทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่พวกเขาถือครองอยู่ โดยจะถอยห่างจากสกุลดอลลาร์ด้วย


 


ที่มา:  www.manager.co.th


 


 


รมว.อาเซียนรับกฎบัตรฉบับประวัติศาสตร์


สิงคโปร์ - รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน รับกฎบัตรมุ่งส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในภูมิภาค เตรียมส่งให้ผู้นำลงนามวันนี้


 



รัฐมนตรีต่างประเทศสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) รับกฎบัตรที่ระบุให้อาเซียนส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและแนวคิดประชาธิปไตย นายอ่อง เคง ยอง รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ ระบุว่ากฎบัตรนี้จะนำพาอาเซียนไปข้างหน้า เพราะจะทำให้อาเซียนเป็นองค์กรที่มีกฎเกณฑ์กำกับเหมือนสหภาพยุโรป โดยผู้นำของชาติสมาชิกจะลงนามกฎบัตรในการประชุมสุดยอดวันอังคาร (20 พ.ย.)


 



นายไซอิด ฮามิด อัลบาร์ รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย กล่าวว่า กฎบัตรจะทำให้อาเซียนซึ่งก่อตั้งมา 40 ปี มีแก่นสารอย่างมาก และบรรดารัฐมนตรีเห็นพ้องกันว่าสภาของประเทศสมาชิก ควรให้สัตยาบันกฎบัตรภายใน 1 ปี


 



เนื้อหาสำคัญของกฎบัตร คือการระบุให้ตั้งหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชน แต่ไม่ได้ระบุมาตรการลงโทษไว้ โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้นำอาเซียนตัดสินใจว่าควรทำอย่างไรกับสมาชิกที่ออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งทำให้นักเคลื่อนไหวด้านประชาธิปไตยระบุว่าเนื้อหาดังกล่าวไม่ครอบคลุม เพราะไม่ได้ประกอบด้วยแนวทางระงับหรือเพิกถอนพม่า ทั้งที่รัฐบาลทหารปฏิเสธที่จะปฏิรูปหรือปล่อยตัวนางออง ซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้าน



นายเนียน วิน รัฐมนตรีต่างประเทศพม่า กล่าวว่า พม่าเห็นด้วยกับกฎบัตรและจะลงนามแน่นอน โดยพลโทเต็ง เส่ง นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้เข้าร่วมการประชุมสุดยอด


 



ทั้งนี้ กฎบัตรระบุให้สมาชิกอาเซียนเพิ่มความแข็งแกร่งให้ประชาธิปไตย ธรรมาภิบาล นิติรัฐ ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนรวมถึงเสรีภาพพื้นฐาน ทั้งยังกำหนดให้สมาชิกทำให้ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์เป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ บรรเทาความยากจน คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และเดินหน้าสู่การรวมตัวเป็นตลาดเพื่อเปิดทางให้มีการไหลของสินค้า บริการ การลงทุน และบุคลากรอย่างเสรี


 



ขณะที่หลักการของการไม่แทรกแซงกิจการภายในของชาติสมาชิก ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อาเซียนไม่สามารถจัดการกับพม่าและปัญหาอื่นรวมถึงวิกฤติการเงินเมื่อปี 2540 ได้นั้น ยังคงไว้เช่นเดียวกับหลักการของการใช้ฉันทามติ


 



นายอ่องกล่าวว่า เขาไม่แน่ใจว่าหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนจะมีเขี้ยวเล็บหรือไม่ แต่ชัดเจนว่าจะมีลิ้น ทั้งนี้เป็นการพาดพิงถึงการที่หน่วยงานมีสิทธิตักเตือนและวิจารณ์ผู้ละเมิดกฎ ซึ่งอย่างน้อยก็จะทำให้หน่วยงานมีอิทธิพลด้านศีลธรรม


 



ด้านนางซูซาน ชเวบ ผู้แทนการค้าสหรัฐ กล่าวว่า การที่รัฐบาลทหารพม่าไม่ยอมปฏิรูปไปสู่ประชาธิปไตย ทำให้ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของอาเซียนตกอยู่ในความเสี่ยง


 



หลังการประชุมสุดยอด ผู้นำอาเซียนจะประชุมกับผู้นำจีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ในการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกในวันพุธ (21 พ.ย.) และนายอิบราฮิม กัมบารี ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติ จะบรรยายสรุปเกี่ยวกับภารกิจของเขาในพม่า ให้ประเทศต่างๆ รับทราบ



มีรายงานว่านักศึกษาต่างชาติ 9 คนไปเดินที่ย่านชอปปิงถนนออร์ชาร์ด โดยแบ่งเป็นกลุ่มละ 3 คน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมภายใต้กฎหมายห้ามชุมนุมเกินกว่า 5 คน นักศึกษาส่วนใหญ่ถือเทียนและสวมเสื้อยืดที่มีข้อความว่า "เราเรียกร้องสันติภาพ ความยุติธรรม และประชาธิปไตยให้พม่า"


 


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com


 


 


เขมรจับเขียว สัมพัน ดำเนินคดี 'ทุ่งสังหาร'


เจ้าหน้าที่ตำรวจพนมเปญจากศาลคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่สหประชาชาติสนับสนุน  เข้าจับกุมนายเขียว  สัมพัน  อดีตประธานาธิบดีเขมรแดงเมื่อวันจันทร์  ซึ่งเป็นสมาชิกคนสุดท้ายที่ใกล้ชิดกับอดีตผู้นำเขมรแดงพล  พต ผู้นำการสู้รบแบบกองโจรนักเรียนนอกจากฝรั่งเศสถูกจับกุมจากโรงพยาบาลพนมเปญอย่างรวดเร็ว  โดยมีตำรวจคุ้มกันตัวไปที่ศาลพิเศษเพื่อเผชิญหน้ากับผู้พิพากษาจากกัมพูชาและนานาชาติ ในการไต่สวนพิจารณาคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์


 



คณะตุลาการพิเศษแถลงว่า  นายเขียว  สัมพัน จะถูกนำตัวไปขึ้นศาลเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาในการดำเนินคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในวันนี้


 



นายเขียว สัมพัน  วัย  78  ปี  ซึ่งเป็นคนสนิทชิดเชื้อคนหนึ่งกับนายพล  พต  ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาในการกระทำที่ทารุณโหดร้ายในช่วงที่เขมรแดงเรืองอำนาจตั้งแต่ปี 2518-2522 ซึ่งในยุคนั้นอยู่ภายใต้การปฏิวัติของลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างสุดขั้ว ส่งผลให้ประชาชนประมาณ  1.7  ล้านคนถูกสังหาร  หรือตายจากการทรมาน  โรคภัยไข้เจ็บ  หรือการอดอยากหิวโหย


 



เขียว มาลี วัย 24  ปีซึ่งเป็นลูกสาวของนายเขียว  สัมพัน  กล่าวว่า  เธอไม่ได้รับอนุญาตให้พบกับพ่อของเธอที่ได้บินมาที่กรุงพนมเปญเพื่อรักษาตัวหลังจากที่ต้องทนทุกข์เนื่องจากการเจ็บป่วยอยู่ที่บ้านในจังหวัดไพลินซึ่งอยู่ในชายแดนไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เขียว มาลี  กล่าวกับรอยเตอร์ว่า  "ฉันไม่ทราบว่าทำไมพวกเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้พ่อของฉันกลับบ้าน"


 



นายเขียว สัมพัน  เป็นบุคคลที่  5  ที่ถูกศาลพิเศษจับมาดำเนินคดีคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์  ซึ่งได้เริ่มกระทำอย่างจริงจังเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมาหลังจากที่ได้ล่าช้ามาเกือบ  10   ปี  ทั้งนี้  เนื่องจากการถกเถียงเกี่ยวกับอำนาจในการตัดสินคดี  และเงินทุนในการก่อตั้งศาลพิเศษนี้


 



นายเอียง สารี อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศเขมรแดง และภรรยาของเขาซึ่งทั้งสองคนได้เป็นเพื่อนอันยาวนานกับนายพล พต พี่ชายหมายเลข 1  ก็ได้ถูกจับดำเนินคดีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ในขณะที่นายนวน เจีย พี่ชายหมายเลข  2  ผู้ที่เคยอาศัยอยู่ที่ไพลินด้วย  แต่ขณะนี้อยู่ในความอารักขาของศาลพิเศษในข้อหาเดียวกัน เช่นเดียวกับนายดุชหัวหน้าพัศดีของระบอบเขมรแดงที่มีรัฐบาลปักกิ่งหนุนหลัง และเป็นผู้บริหารศูนย์ไต่สวนและทรมาน  เอส-21  ของพนมเปญ  ก็ได้ถูกจับกุมดำเนินคดีด้วย


 



นายดุช จะเป็นคนแรกที่ได้รับการตัดสินที่ศาลยุติธรรมหลังจากที่เขาได้ยื่นเงินประกันตัวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา


 



แจ็กคิวส์ เวอร์เกส์ ทนายความชาวฝรั่งเศสผู้ที่ได้รู้จักกับนายพล  พต  ที่ปารีสในต้นปี  2493  ได้เดินทางมาที่กรุงพนมเปญเมื่อวันจันทร์เพื่อจะเป็นทนายความสู้คดีให้กับนายเขียว สัมพัน  ร่วมกับนายเซย์  โบรี  อดีตผู้อำนวยการสมาคมทนายความของกัมพูชา.


 


ที่มา: http://www.thaipost.net


 


ศาลปากีฯยกฟ้องคำร้อง "มูชาร์ราฟ"


อิสลามาบัด - ศาลฎีกาปากีสถาน ยกฟ้องคำร้องที่ระบุ "มูชาร์ราฟ" ไม่มีความชอบธรรมในการลงเลือกตั้งและชนะได้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัย ขณะโฆษกกระทรวงต่างประเทศ ปัดคำร้องมะกันยุติภาวะฉุกเฉิน



ศาลฎีกาปากีสถานยกฟ้องคำร้อง 3 คำร้องจากผู้พิพากษาเกษียณอายุ สมาชิกพรรคประชาชนปากีสถาน และกลุ่มบุคคล ที่ระบุว่าประธานาธิบดีเปอร์เวซ มูชาร์ราฟ ไม่มีสิทธิลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัย และชัยชนะของเขาเมื่อวันที่ 6 ต.ค. ไม่มีความชอบธรรม


 



ศาลจะพิจารณาคำร้องสุดท้ายในวันพฤหัสบดี (22 พ.ย.) ซึ่งคาดว่าจะยกฟ้องเช่นกัน สภาพการณ์ดังกล่าวปูทางให้มูชาร์ราฟสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีกสมัยเป็นเวลา 5 ปี


 



ทั้งนี้ นายมูชาร์ราฟกล่าวว่าจะก้าวลงจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพ ทันทีที่ศาลตัดสินว่าเขาชนะการเลือกตั้งอย่างชอบธรรม


 



ด้านนายโมฮัมเหม็ด ซาดิค โฆษกกระทรวงต่างประเทศ ปฏิเสธคำร้องของสหรัฐให้ปากีสถานยกเลิกภาวะฉุกเฉิน พร้อมชี้ว่าข้อเสนอของนายจอห์น เนโกรปอนเต รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งเดินทางเยือนปากีสถาน ไม่ใช่ข้อเสนอใหม่ หลังจากเขาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีมูชาร์ราฟ ยกเลิกภาวะฉุกเฉิน กลับไปใช้รัฐธรรมนูญ ยุติการกวาดล้างฝ่ายต่อต้าน และปล่อยตัวฝ่ายต่อต้านหลายพันคน ก่อนจัดการเลือกตั้งในเดือนม.ค.


 



การปฏิเสธครั้งนี้ส่งผลให้รัฐบาลกรุงวอชิงตันเหลือทางเลือกอีกไม่มาก ในการกดดันให้พันธมิตรอย่างปากีสถานกลับสู่ประชาธิปไตย


 



ขณะเดียวกัน มีรายงานว่านักการทูตอเมริกันระดับสูงในปากีสถานได้เข้าพบอดีตนายกรัฐมนตรีเบนาซีร์ บุตโต หลังจากสหรัฐเรียกร้องให้นางบุตโตรื้อฟื้นการเจรจากับมูชาร์ราฟ โดยก่อนการประกาศภาวะฉุกเฉินนั้น นางบุตโตและนายมูชาร์ราฟได้หารือเรื่องการจัดสรรอำนาจ


 



การพบปะระหว่างนางบุตโตและนักการทูตระดับสูง มีขึ้นหลังจากผู้นำฝ่ายค้านเพิ่งหารือกับนายเนโกรปอนเต


 


ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com


 







คุณภาพชีวิต - สิ่งแวดล้อม

 

 


"กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบสารแคดเมียม" ยื่นหนังสือขอให้รัฐช่วยเหลือ 404 ครอบครัวเดือดร้อนเพราะสารแคดเมียม


นายไพรัตน์ ยาเถิน ประธานกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบสารแคดเมียม ตำบลแม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาลเพื่อ ยื่นหนังสือขอความอนุเคราะห์ให้ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบสารแคดเมียมทั้งสิ้น จำนวน 404 ครอบครัวเป็นผู้ป่วย 116 ครอบครัว ที่ดินทำกิน 288 ครอบครัว จำนวนพื้นที่ 4,794 ไร่ เรียกร้องขอให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไข ว่า ทางกลุ่มต้องการให้บริษัทผาแดงอินดัสทรี จำกัด(มหาชน) มีมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของสารแคดเมียม แก้ไขปัญหาการปนเปื้อนของสารแคดเมียมที่กระจายอยู่ในพื้นดิน แม่น้ำและสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ให้กลับคืนสู่สภาพเดิม หากไม่ดำเนินการเหมืองแร่ต้องหยุดดำเนินกิจการ


 



นายไพรัตน์ ระบุอีกว่า ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทำการแก้ไขปรับปรุงดิน สภาพแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบให้มีสภาพเดิมและมีระยะเวลาที่แก้ไขที่แน่นอน อย่างไรก็ตามให้รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยข้อมูล และข่าวสารในการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวตลอดจนรักษาผู้ป่วยและช่วยเหลือชดเชยค่าเสียหายให้กับผู้ป่วยที่มีสารแคดเมียมในร่างกาย เพื่อดำรงชีวิตรายละไม่น้อย 80,000 บาทต่อปี สำหรับผู้เสียชีวิต รายละไม่น้อยกว่า 300,000 บาทต่อราย และช่วยชดเชยค่าเสียหายแก่เจ้าของที่ดินในอัตราไร่ละไม่น้อยกว่า 7,000 บาทต่อปี โดยชำระล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 10 ปีเพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบใช้เป็นทุนในการประกอบอาชีพอื่น และต้องชดเชยจนกว่าพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน


 


ที่มา: http://www.naewna.com


 


 


เตือนเอเชียเหยื่อโลกร้อน หนักหน่วงและรุนแรงสุด


กลุ่มสิ่งแวดล้อมเตือนเอเชียจะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนหนักหน่วงรุนแรงที่สุด



อ็อกซ์แฟมและกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกรีนพีซได้ออกรายงานเตือนเมื่อวันจันทร์ (19 พ.ย.) ว่าทวีปเอเชียจะได้รับผลกระทบที่หนักหน่วงและรุนแรงที่สุดจากภาวะโลกร้อนซึ่งจะทำให้ความเจริญก้าวหน้าทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายสิบปีต้องพลิกกลับ ขณะภาวะขาดแคลนอาหารปรากฏเค้าลาง และมีคนในภูมิภาคถึง 4,000 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ชายฝั่งเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม



รายงานชิ้นนี้มีชื่อว่า "เอเชีย-อัพ อิน สโมค" ได้รับการรวบรวมโดยองค์กรเพื่อการพัฒนา และกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่างๆ กว่า 35 กลุ่ม มีใจความสำคัญว่าประเทศในเอเชียทุกประเทศจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นในศตวรรษนี้ ผลพวงที่จะติดตามมาคือสภาพฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล พลอยทำให้ปริมาณอาหารสำรองได้รับผลกระทบตามไปด้วย ขณะที่พายุฤดูร้อน อาทิ พายุไซโคลน "ซิดร์" ที่ถล่มบังกลาเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะเกิดบ่อยกว่าเดิมและมีความรุนแรงมากขึ้นด้วย


 



ทั้งนี้ ฟาร์มขนาดเล็กที่มีอยู่ 400 ล้านแห่งในโลกนี้ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียถึง 81% และฟาร์มเหล่านี้ก็เปราะบางเป็นพิเศษต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเพราะต้องพึ่งพิงฝนตกต้องตามฤดูกาล ซึ่งการที่อุณหภูมิตอนกลางคืนช่วงฤดูเพาะปลูกเพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียสเท่านั้น ทำให้ผลผลิตข้าวของเอเชียลดลงถึง 10% ขณะที่การผลิตข้าวสาลีอาจตกลงราว 32% ภายในปี 2593 หรืออีก 43 ปีข้างหน้า



รายงานฉบับนี้เตือนด้วยว่า การขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชที่นำไปผลิตไบโอดีเซลที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันทำให้การทำลายพื้นที่ป่าเลวร้ายลง และอาจทำให้ภาวะโลกร้อนแย่ลง ทั้งยังคุกคามวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ด้วย และได้เสนอแนะทางออกเอาไว้ว่าประชาคมโลกต้องรับปากว่าจะหาทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีประสิทธิภาพเพื่อรับประกันว่าอุณหภูมิของโลกจะไม่เพิ่มขึ้นเกินกว่า 2 องศาเซลเซียส โดยประเทศร่ำรวยจะต้องทำตามคำมั่นว่าจะนำพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ ขณะที่ชาติเอเชียก็ต้องหาทางนำมาใช้มากขึ้น และชาติร่ำรวยต้องยกเลิกข้อจำกัดด้านทรัพย์สินทางปัญญา และยอมถ่ายโอนเทคโนโลยีเพื่อโลกสีเขียวไปให้ประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น


 



รายงานฉบับนี้ออกมา 2 วัน หลังจากที่คณะทำงานระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (ไอพีซีซี) ภายใต้การสนับสนุนขององค์การสหประชาชาติเพิ่งจะออกรายงานฉบับสุดท้ายที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันว่าเอเชียซึ่งประชากรกว่าครึ่งอาศัยอยู่แถบชายทะเลจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น


 


ที่มา: http://www.komchadluek.net


 


ตั้งแล้วสหกรณ์ "โบ๊เบ๊" ยอดผู้ค้า 1.2 พันแผง รอ กทม. คืนหม้อข้าว


นางสดศรี สมพันธ์ หนึ่งในตัวแทนผู้ค้าโบ๊เบ๊และประธานสหกรณ์โบ๊เบ๊ เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการจัดตั้งสหกรณ์ของผู้ค้าว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา สหกรณ์โบ๊เบ๊ได้มีผลเกิดขึ้นอย่างเต็มตัวแล้ว ทะเบียนสหกรณ์ออกมาแล้วเรียบร้อย เหลือแต่ขั้นตอนการรับมอบทะเบียนพร้อมหน้ากันระหว่างสมาชิกที่เป็นผู้ค้าทั้งหมด โดยขณะนี้มีผู้ค้าอยู่ในทะเบียน 1,200 แผง และได้เปลี่ยนชื่อ จากสหกรณ์โบ๊เบ๊เฉลิมพระเกียรติ เป็นสหกรณ์โบ๊เบ๊ จำกัด เนื่องจากกรมส่งเสริมสหกรณ์เป็นห่วงถึงการใช้ชื่อเฉลิมพระเกียรติ ขณะที่ยังรอพระราชทานพระราชานุญาตชื่อสหกรณ์โบ๊เบ๊เฉลิมพระเกียรติจากสำนักพระราชวัง


 



ทั้งนี้ หากมีพระบรมราชานุญาตมา ก็สามารถเปลี่ยนไปใช้ สหกรณ์โบ๊เบ๊เฉลิมพระเกียรติได้ ขณะที่ทางกทม.โดยนายถนอม อ่อนเกตุพล โฆษกกทม.ระบุจะมีการประชุมเพื่อแก้ปัญหาให้กับผู้ค้าเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อตัดสินว่าจะมีการพิจารณาจุดค้าอย่างไร ซึ่งตนเชื่อคำพูดของนายถนอม ว่าหลังจากที่นายอนันต์ ศิริภัสราภรณ์ รองปลัดกทม.กลับมาจากต่างประเทศ จะมีการเจรจากันในสัปดาห์นี้และจะให้สรุปปัญหาภายในสิ้นเดือนนี้เพื่อให้ผู้ค้าได้สามารถเปิดขายได้ทันวันที่ 5 ธ.ค.50 อย่างไรก็ตาม หากภายในสัปดาห์นี้ไม่มีความชัดเจนจากทางกทม. ทางผู้ค้าก็จะหารือกันเพื่อเคลื่อนไหว เพราะทุกวันนี้ผู้ค้าลำบากกันสาหัส


 



ที่มา: http://www.siamrath.co.th

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net