รายงาน "Up in Smoke: Asia and the Pacific" ชี้ คนนับล้านในเอเชียเสี่ยงกับวิกฤตโลกร้อน

รายงานฉบับล่าสุดชื่อ "Up in Smoke: Asia and the Pacific" ซึ่งจัดทำโดยองค์กรพัฒนาเอกชนด้านการพัฒนาและสิ่งแวดล้อมหลายองค์กรทั่วโลก ระบุว่าภาวะโลกร้อนจะบั่นทอนความก้าวหน้าทางสังคมและเศรษฐกิจทั่วเอเชียซึ่งเป็นทวีปที่มีประชากรมากกว่า 4 พันล้านคนหรือร้อยละ 60 ของประชากรโลก

 

ในรายงานที่จัดทำขึ้นโดยองค์กรพัฒนาเอกชนด้านการพัฒนาและสิ่งแวดล้อม 35 องค์กร ซึ่งรวมถึง อ็อกแฟม (Oxfam) และ กรีนพีซ (Greenpeace) ระบุว่า มีความเห็นร่วมกันที่เพิ่มมากขึ้นถึงความท้าทายอันใหญ่หลวงที่เอเชียเผชิญอยู่ อย่างไรก็ตาม รายงานระบุถึง "เหตุผลแห่งความหวัง" ที่ว่า ขณะนี้ เรามีความรู้เพียงพอเกี่ยวกับสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รู้ถึงว่าจะทำอย่างไรกับกับปัญหา และผู้คนในเอเชียจะปรับตัวอย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือการลงมือทำ

 

เพียงไม่กี่วันก่อนที่รายงานเรื่อง "Asia-Up in Smoke" จะเผยแพร่ ประเทศที่มีความล่อแหลมมากที่สุดในแถบภูมิภาคนี้ก็โดนพายุไซโคลนถล่ม "บังกลาเทศซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรยากจนมากถึงหลายล้านคนอาศัยในพื้นที่การเกษตรและตามชายฝั่งได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ พายุไซโคลนได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้คนเหล่านี้ที่ต้องพึ่งพาผืนดินและผืนน้ำในการดำรงชีวิต อ็อกแฟมจึงขอให้รัฐบาลช่วยบรรเทาและปรับปรุงสถานการณ์นี้อย่างเข้มงวดทั้งในปัจจุบันและอนาคต" เบิร์ท มาร์เทน แห่ง อ็อกแฟม สากลกล่าว

 

รายงาน Asia-Up in Smoke ออกเผยแพร่หลังจากที่ IPCC หรือคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้สรุปรายงานสังเคราะห์การประเมินฉบับที่ 4 ที่เมืองวาเลนเซีย สเปน ซึ่ง IPCC ชี้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้เกิดขึ้นแล้วและเตือนถึงภาวะโลกร้อนที่เกิดจากฝีมือมนุษย์นี้ว่าสามารถนำไปสู่ผลกระทบฉับพลันและไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้

 

"เราไม่ควรเอาอนาคตของโลกเข้าไปเสี่ยง เป็นความเสี่ยงที่สูงเกินไปและกีดกันคนยากจนและกลุ่มคนที่ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงออกไป" นายธารา บัวคำศรี กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าว "เรารู้ว่าถึงเวลาที่ต้องลงมือทำ การตัดสินใจในการประชุมที่บาหลีจึงต้องสนับสนุนจุดมุ่งหมายของ IPCC"

 

ในขณะที่ผู้นำจากทั่วโลกกำลังเตรียมการประชุมของ UN ที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนหน้าที่บาหลี เพื่อที่จะหารือถึงวิธีการรับมือกับภาวะโลกร้อน รายงาน Asia-Up in Smoke ได้ระบุไว้ว่าลักษณะอากาศทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียในศตวรรษนี้จะอบอุ่น มีฝนและมรสุมน้อยลงในเขตเกษตรกรรม แต่กลับมีพายุไซโคลนที่รุนแรงมากขึ้น

ประชากรเอเชียมากกว่าครึ่งหนึ่งที่อาศัยใกล้ชายฝั่งจะประสบกับปัญหาน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น

 

ภูมิภาคเอเชียเป็นที่อยู่อาศัยของเกษตรกรรายย่อยถึงร้อยละ 87 ของเกษตรกรรายย่อย 400 ล้านรายทั่วโลก พวกเขาจะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเนื่องจากต้องพึ่งพาฝนตามฤดูกาล

อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องซาเซลเซียสในช่วงกลางคืนของฤดูเพาะปลูกจะทำให้ผลผลิตข้าวของภูมิภาคเอเชียลดลง 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนข้าวสาลีจะลดลง 32 เปอร์เซ็นต์ภายใน พ.ศ. 2593

การขยายการเพาะปลูกพืชเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างรวดเร็วทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่ามากขึ้นและทำให้ภาวะโลกร้อนยิ่งรุนแรงขึ้น รวมทั้งยังส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนท้องถิ่นมากขึ้นด้วย ประชากรบนเกาะขนาดเล็ก เช่น วานัวตู คิริบาติ และตูวาลูในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่ในความเสี่ยงที่น้ำทะเลจะท่วมถึง

 

ในบังกลาเทศที่ประชากร 70 เปอร์เซ็นต์มีอาชีพเกษตรกรรมจะประสบกับปัญหาอุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนที่ผันแปรจนทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง

 

ในประเทศอินเดียพึ่งเกิดน้ำท่วมซึ่งกระทบต่อคน 28 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีปัญหาความแห้งแล้งในบางรัฐของอินเดีย ซึ่งถ้าหากเรายังไม่คิดจะเริ่มลงมือทำ เราจะสูญเสียผลผลิตทางอาหารไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของทั้งประเทศ

ในทางตอนเหนือของจีนปัญหาความแห้งแล้งทำให้สูญเสียผลผลิตด้านการเกษตร หากยังไม่มีการแก้ปัญหาโลกร้อน ในปลายศตวรรษนี้ประเทศจีนจะสูญเสียผลผลิตหลักไป 37 เปอร์เซ็นต์ซึ่งผลผลิตเหล่านั้นรวมถึงข้าวสาลี ข้าว และข้าวโพด

 

ในรายงานยังมีการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและประชากรที่มีฐานะยากจนในประเทศบังกลาเทศ เอเชียกลาง จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ติมอร์ตะวันออก แม่น้ำโขงตอนล่าง มาเลเซีย เนปาล ปากีสถานและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีมาตรการจากทางรัฐบาลท้องถิ่นรวมทั้งความร่วมมือจากประชาชนในการลดการปล่อยคาร์บอนและจัดการกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศโดยเน้นที่ผลกระทบที่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นกับสุขภาพของคน พลังงาน การอพยพ คนเมือง ผู้หญิง ผลผลิต น้ำ และความแห้งแล้ง ทะเล ชายฝั่ง ภัยพิบัติ ความหลากหลายทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อม

 

Up In Smoke เสนอให้ทั่วโลกลดการปล่อยคาร์บอนเพื่อคงอุณหภูมิของโลกไว้ไม่ให้เกิน 2 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้วควรใช้ระบบพลังงานหมุนเวียนและกระจายสู่ภูมิภาคเอเชีย อินเดียเพียงประเทศเดียวมีศักยภาพที่จะผลิตกระแสไฟฟ้าถึง 60 เปอร์เซ็นต์ภายในปี พ.ศ. 2593 ด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียน ประเทศที่เจริญแล้วควรหยุดใช้กฎข้อบังคับด้านทรัพย์สินทางปัญญาและให้ประเทศที่กำลังพัฒนาใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

ทั่วโลกต้องประเมินค่าที่ประเทศยากจนต้องสูญเสียไปกับการปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและให้เงินทุนช่วยเหลือ รายงานยังระบุว่าประเทศที่พัฒนาแล้วให้เงินอุดหนุนแก่อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลถึง 73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในช่วงปลายปี 2533 นอกจากนี้ยังต้องมีการวางแผนที่จะรับมือกับปัญหาอย่างรอบคอบ จัดการและสนับสนุนผู้ประสบกับหายนะที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 

อาเซียนและสมาชิกประเทศอื่นๆอย่างจีนและเกาหลีใต้มีการประชุมที่สิงคโปร์ในวันที่ 19 ถึง 21 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความมั่นคงด้านพลังงานเป็นวาระสำคัญของการประชุม "การประชุมครั้งสำคัญที่จะกำหนดอนาคตโลกเกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียนเรานี่เอง หากอาเซียนต้องการจะดำเนินการให้สอดคล้องกับความต้องการของภูมิภาค อาเซียนต้องสนับสนุน "พันธะกรณีแห่งบาหลี (Bali Mandate) ในการขยายให้พิธีสารเกียวโตออกไปในช่วงที่สอง (second commitment period) และลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนอย่างจริงจัง" ธารากล่าว นอกจากนี้ กรีนพีซยังเรียกร้องอาเซียนตั้งเป้าหมายการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพทางพลังงานให้ชัดเจนสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ดาวน์โหลดรายงาน Asia-Up In Smoke ได้ที่ http://upinsmokecoalition.org/

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท