ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550





การเมือง

 

คตส.เล็งส่งศาลเชือด'ทักษิณ' ซุกหุ้นชินฯจำคุก26ปี

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ - ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เย็นวันนี้ (26 พ.ย.) นายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แถลงภายหลังการประชุมคตส.ว่า ที่ประชุมคตส.ได้รับทราบถึงการทำงานของอนุกรรมการไต่สวนในคดีทุจริตประพฤติมิชอบที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโทรคมนาคม บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ คดีทุจริตชินคอร์ป

 

อนุกรรมการไต่สวนได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ในคดีซุกหุ้น ซึ่งผิดกฎหมายป.ป.ช.มาตรา 100 (3) โดยแยกเป็น 2 กระทง ในช่วงการเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกและครั้งที่สอง กระทงละ 3 ปี รวมเป็น 6 ปี และคดีการปฏิบัติหน้าที่ทุจริต ผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 152 และ 157

 

ในคดีซุกหุ้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับพ.ต.ท.ทักษิณ และจะนำสู่คดียึดทรัพย์ค่าหุ้นชินและเงินปันผล โดยสามารถยึดทรัพย์วงเงิน 7.3 หมื่นล้านบาทได้ ตามกฎหมาย ป.ป.ช. กรณีการได้ทรัพย์สินโดยมิสมควร สืบเนื่องจากตำแหน่งหน้าที่ โดยขณะนี้ได้มีการอายัดทรัพย์ไว้แล้ว 6.6 หมื่นล้านบาท

 

นายแก้วสรร กล่าวว่า สำหรับคดีอื่นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งมีทั้ง 5 คดี มี 2 คดีที่อนุกรรมการพบหลักฐานอันเชื่อได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สั่งการด้วยตนเอง และคตส.มีมติไปแล้วให้ดำเนินคดี คือ 1.กรณีการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต พบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ สั่งการโดยมิชอบ ทำให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) และการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) เสียหาย 4 หมื่นล้านบาท ได้ร่างสำนวนและพร้อมที่จะแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดมาตรา 152 และ157 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี

 

2. กรณีธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออก หรือ เอ็กซิมแบงก์ ให้พม่ากู้ 4 พันล้านบาท โดยพบว่า 900 ล้านบาทถูกนำไปซื้อสินค้าจากบริษัทชินคอร์ป ซึ่งในส่วนนี้อนุกรรมการไต่สวนคดีนี้ได้แจ้งข้อกล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณ ไปแล้ว

 

นายแก้วสรร กล่าวว่า ในคดีที่ 3-5 ได้แก่ 3.คดีการลดส่วนแบ่งโทรศัพท์เติมเงิน ทำทศท.เสียหายตลอดสัญญา 7 หมื่นล้านบาท 4.คดีการให้ทศท.รับภาระค่าโรมมิ่ง 25% เนื่องจากบริษัทเอไอเอสมีลูกค้าจำนวนมาก แต่เสาสัญญาณรองรับไม่พอ จึงเทคโอเวอร์บริษัทมือถือดีพีซี ซึ่งมีเสาสัญญาณอยู่แล้ว โดยอาศัยระบบการเชื่อต่อสัญญาณ หรือโรมมิ่ง ซึ่งในข้อเท็จจริงบริษัทเอกชนจะต้องตกลงรับผิดชอบค่าใช้จ่าย 

 

แต่ภายหลังเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการแก้ไขสัญญาโดยแจ้งให้ทศท.รับทราบถึงสัญญาที่เอกชนทำขึ้น และผลักภาระค่าเชื่อต่อสัญญาณ โดยให้ทศท. รับภาระการโรมมิ่ง 25% ทำให้ทศท.ต้องเสียหายตลอดสัญญา 1.3 หมื่นล้านบาท 

 

และ 5. คดีเอื้อประโยชน์โครงการไอพีสตาร์ เนื่องจากบริษัทชินแซทเทิลไลท์ ได้สัมปทานในการยิงดาวเทียมไทยคม 4 ดวง แต่ยิงได้จริงเพียง 3 ดวง พอถึงดวงที่ 4 ไม่มีการยิงดาวเทียมไทยคม 4 ซึ่งเป็นดาวเทียมสื่อสารพื้นฐาน แต่กลับมีการยิงดาวเทียมไอพีสตาร์แทน ซึ่งไม่ได้อยู่ในสัญญาระบบดาวเทียมสื่อสารพื้นฐาน

 

ที่สำคัญการยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก บริษัทชินแซทฯ จึงขอลดเงื่อนไขการถือหุ้นกับกระทรวงคมนาคมจาก 51% เหลือ 41% เพื่อนำสัดส่วนที่เหลือไประดมทุนหางบประมาณมายิงดาวเทียมไอพีสตาร์ ทำให้รัฐเสียหาย 5 พันล้านบาท

 

"ทั้งสามคดีอยู่ระหว่างการเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลและรวบรวมพยานหลักฐาน โดยไม่พบหลักฐานโยงถึงตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในคดีการปฏิบัติหน้าที่ทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ซึ่งคตส.มีหน้าที่เดินหน้านำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

 

นอกจากนี้คตส.ยังพบว่าคดีทั้งหมดสามารถนำสู่การเพิกถอนหรือบังคับสัญญาเรียกค่าเสียหายได้ โดยให้ฝ่ายบริหารเพิกถอนหรือบังคับให้เป็นไปตามสัญญษ และเรียกค่าเสียหายจากผู้เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่และเอกชน โดยให้รมว.คลัง รัฐมนตรีที่กำกับดูแลทศท.และกสท. และอัยการ ดำเนินการเรียกค่าเสียหายได้เลยโดยไม่ต้องรอให้คดีอาญาที่คตส.ดำเนินการถึงที่สุด เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดนิ่งแล้วสามารถดำเนินการได้ทันที โดยผู้เกี่ยวข้องสามารถดูได้จากสำนวนการตรวจสอบของกระทรวงไอซีที คณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ตรวจสอบมาก่อนหน้านี้

 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณ พ้นหน้าที่ไปแล้ว การดำเนินคดีต่าง ๆ จึงไม่เกี่ยวกับโทษการตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีแต่ต้องดำเนินคดีอาญาต่อไป ส่วนการไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ถือเป็นเรื่องของป.ป.ช.โดยตรง

 

เลขานุการคตส. กล่าวถึงข้อโต้แย้งของทีมทนายพ.ต.ท.ทักษิณ ในเรื่องการปฏิบัติสองมาตรฐานในการเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร จากการซื้อขายหุ้นบริษัทแอมเพิลริช แต่กลับดำเนินคดีอาญากับพ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นบิดา ว่า คตส.ไม่ได้ปฏิบัติสองมาตรฐาน แต่ตามกฎหมายกรมสรรพากรสามารถเรียกเก็บภาษีจากผู้มีรายได้ที่มีชื่อปรากฏ หากนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร ไม่ต้องการเสียภาษี ก็ให้บอกว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง แต่ถ้าปากแข็งไม่ซัดทอด ก็ต้องเสียภาษี ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังถูกดำเนินคดีอาญาได้ด้วย เนื่องจากเป็นผู้ให้ลูกถือหุ้นแทน

 

นายแก้วสรร กล่าวอีกว่า ผลของคดีที่ออกมาในช่วงนี้เป็นไปตามแผนการกำหนด และการประเมินการดำเนินการของคตส. หลังจากที่มีการต่ออายุให้คตส. ออกไปจนถึงเดือนมิ.ย. 2551 เมื่อต่ออายุแล้วคตส.จึงต้องเร่งตามแผนที่กำหนไว้ โดยจะมาสรุปในเดือนพ.ย.-ธ.ค. จะมานั่งทอดหุ่ยคงไม่ได้ จึงไม่เกี่ยวกับการเมืองและการเลือกตั้ง เหมือนกับอัยการและตำรวจก็ต้องดำเนินคดีไป ส่วนส.ส.ก็หาเสียงไป

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รวมจำนวนคดีที่คตส.ดำเนินการกับพ.ต.ท.ทักษิณ แล้วจะมีทั้งหมด 4 กระทง คือ คดีซุกหุ้น 2 กระทง ระวางโทษจำคุก 6 ปี คดีแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต 1 กระทง จำคุกไม่เกิน 10 ปี และคดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยเงินกู้ให้พม่าอีก 1 กระทง ทั้งหมดนี้ถือเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ หากศาลพิจารณาเห็นตรงกับคตส. รวมแล้วพ.ต.ท.ทักษิณ จะระวางโทษจำคุกสุงสุด 26 ปี

 

"สนธิ" ระบุซื้ออาวุธ3แสนล้านรัฐบาลใหม่ เพื่อดูแลประชาชนให้อยู่ดีมีสุข

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ - ผู้สื่อถามถามพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินถึงกรณีที่กระทรวงกลาโหม เตรียมทำข้อเสนอจัดซื้ออาวุธ จำนวน 3 แสนล้านบาทในรัฐบาลหน้า ซึ่งมีเสียงวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสม เพราะประเทศไม่ได้สู้รบกับใคร พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการดำเนินการตามวาระแห่งชาติ ว่าด้วยการรณรงค์และแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียง (ครส.)  กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลที่แล้วได้จัดทำแพ็กเก็จในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อทำให้กองทัพเข้มแข็ง ซึ่งทุกประเทศก็ทำเหมือนกันหมด ครั้งนี้ก็เป็นแผนงานที่กองทัพต้องวางเอาไว้

 

ทั้งนี้เคยชี้แจงในที่ประชุมหลายแห่งแล้วว่า ต้องอย่าลืมว่าในอนาคตบ้านเราทรัพยากรของชาติที่จะนำมาให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข เริ่มหมดลงไปทุกที ดังนั้นจึงต้องมีอำนาจของชาติที่จะใช้ในการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติ เช่น ที่อยู่ในทะเล เป็นต้น ดังนั้นทางด้านความมั่นคงจึงต้องเตรียมเรื่องนี้เอาไว้

 

พล.อ.สนธิ กล่าวว่าการรณรงค์และแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียง (ครส.) กล่าวถึงกรณีที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ระบุว่ามีพรรคการเมืองบางพรรคจ้างทำโพลล์ชี้นำแทนการซื้อเสียง ว่า ต้องเป็นเรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไปตรวจสอบ เพราะการทำโพลบางทีก็เป็นผลได้ผลเสียกับผู้จัดทำ อย่างไรก็ตามตนเคยพูดเรื่องนี้ในที่ประชุม ครส.ไปครั้งหนึ่งแล้วว่า กกต.จะต้องศึกษาเรื่องการทำโพลด้วย แต่จะมีการสั่งการห้ามไม่ให้มีการเผยแพร่ผลโพลล์หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับ กกต. ส่วนผลโพลล์จะออกมามีผลต่อคะแนนของพรรคใดพรรคหนึ่งหรือไม่ คงต้องให้ กกต.เป็นคนคิด แต่ กกต. และ ครส. หารือกันได้อยู่แล้วในเรื่องนี้ ส่วนที่ กกต.ออกมาเปิดเผยวิธีการซื้อเสียงแบบใหม่ผ่านทางไปรษณีย์ โอนเงินให้หัวละ 1,000 บาทนั้น เป็นสิ่งที่รู้กันอยู่แล้ว จึงได้บอกว่าถ้าประชาชนออกมาช่วยกันใช้สิทธิ์ลงคะแนนมากๆ ก็จะแก้ปัญหาได้

 

พล.อ.สนธิ กล่าวถึงกรณีที่แกนนำ 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เปิดเวทีปราศรัยโจมตี คมช.และทหาร ว่า ก็ไม่เป็นไร เพราะประชาชนจะพิจารณาเอง ส่วนที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ระบุว่าจะเปิดเผยเอกสารลับของ คมช.ที่มีเนื้อหาสกัดกั้นพรรค พปช.เพิ่มเติมอีกนั้น จะมีหรือไม่ตนไม่ทราบ

 

"ที่ระบุว่า คมช.ไปล็อคเลือกตั้งไม่ให้พปช.เป็นรัฐบาลนั้น ไม่เป็นความจริง นักการเมืองแต่ละท่านเป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว เพราะท่านเป็นนักการเมืองอาชีพ ทางเราไม่มีความรู้ทางการเมือง นักการเมืองคงไม่มาฟัง อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะมีการพูดอย่างไร ประชาชนทั้ง 65 ล้านคนจะพิจารณาเอง "พล.อ.สนธิ ระบุ

 

เมื่อถามว่า นายจาตุรนต์ ออกมาเรียกร้องให้ พล.อ.สนธิแสดงจุดยืนให้ชัดเจน ว่าไม่มีการทำสัญญาลับกับบางพรรคการเมือง พล.อ.สนธิ กล่าวว่า "ต้องไปถามพรรคการเมือง มาถามผมไม่ได้ ผมบอกว่าผมไม่รู้เรื่องในเรื่องนี้ ต้องไปถามพรรคการเมืองต่างๆ ส่วนการที่พรรคพปช.พยายามโจมตีเพื่อดิสเครดิตตน และ คมช.ในช่วงการเลือกตั้งนั้น ก็บอกแล้วว่า มันเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่ง แต่ไม่เป็นไร เราก็เฉยๆ ไว้ จะได้ไม่ไปเพิ่มกระแสให้กับอีกด้านหนึ่ง"

 

เมื่อถามย้ำว่า ส่วนตัวยอมรับได้หรือไม่ หากพรรคพปช.ชนะการเลือกตั้ง และบ้านเมืองกลับมาวุ่นวายเหมือนช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ไม่รู้ ตอบไม่ได้ ส่วนถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางกลับไทย ก็ต้องเข้าสู่ขบวนการทางฝ่ายกฎหมาย

 

บิ๊ก คมช.หวั่นประเทศวุ่นวาย หาก พปช.ตั้งรัฐบาล

เดลินิวส์ - ที่กองบัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย เรียกร้องให้ คมช. เรียกตัว พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม หัวหน้าสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ออกจากพื้นที่ จ.เชียงราย เพราะลงพื้นที่กดดันเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือบางพรรคการเมืองว่า ตนไม่ทราบรายละเอียดที่นายยงยุทธปราศรัย แต่เป็นเรื่องปกติคนสามารถไปโน่นมานี้ได้ แต่การพูดต้องมีหลักฐาน เราคงไปอนุมานหรือพูดลอยๆไม่ดี ทั้งนี้ ทหารไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะเราวางตัวเป็นกลาง

 

เมื่อถามว่า ได้กำชับทหารเดินทางไปในพื้นที่ต่างๆหรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า เรื่องเดินทางเราไม่เป็นห่วง ขึ้นอยู่กับว่าจะเดินทางไปทำอะไร ทหารต้องวางตัวเป็นกลาง แต่ห้ามไม่ให้เดินทางไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ เราไม่ได้ส่งทหารไปติดตามพรรคการเมือง แต่ทหารมีทุกพื้นที่ของประเทศบางครั้งลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยม ตนลงไปพื้นที่บ่อยครั้ง แต่ไม่ได้ติดตามเรื่องเลือกตั้ง เพราะไม่สนใจการเลือกตั้ง แต่ขอให้มีความเป็นกลาง มีความยุติธรรมทุกฝ่ายดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุด ส่วนการจะเปิดพื้นที่ทหารให้พรรคการเมืองเข้ามาชี้แจงนโยบายหรือไม่นั้น ต้องประสานกัน หากเปิดต้องให้ทุกพรรคเท่าเทียมกัน นอกจากพรรคใดจะสมัครใจสละเสียเอง

 

ด้าน พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกระทรวงกลาโหม และหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการ คมช. กล่าวว่า ตนไม่ทราบที่นายยงยุทธออกมาเรียกร้องให้ตนออกจากพื้นที่ จ.เชียงราย เป็นวิธีการหาเสียงหรือเรียกคะแนนสงสารหรือไม่ ที่ผ่านมาใช้วิธีการอย่างนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาว่ามีทหาร 1,000 นายลงพื้นที่ จ.เชียงราย รวมถึงกรณีที่กล่าวหาว่ามีทหารเอาปืนจี้หัว ทั้งนี้ ตนจำเป็นต้องลงไปดูทุกจังหวัดที่มีหน่วยทหารอยู่ เพราะต้องไปดูโครงการที่ทำได้ผลหรือไม่ ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นการตีกันไม่ให้ตนไป จ.เชียงราย หรือไม่ แต่ที่ผ่านมาตนไปหลายจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น อุบลราชธานี ไม่ใช่เฉพาะเชียงราย ซึ่งเดินทางไปดูงานตามปกติ

 

"อยากให้ประชาชนดูพฤติกรรมคนเหล่านี้ที่ทำมาในอดีต โดยเฉพาะนายยงยุทธ ที่เคยมีคดี ยุทธตู้เย็น เป็นการรังแกประชาชนที่ไม่มีทางต่อสู้ เป็นที่สิ่งที่ชี้ชัดให้เห็นว่าพฤติกรรมในอดีตของคนเหล่านี้เป็นอย่างไร ปัจจุบันไม่แตกต่างจากอดีตเท่าไหร่ นี่เป็นวิธีการทางการเมืองของนักการเมืองที่จะมาตีกันคนนั้นคนนี้ เพื่อเรียกคะแนนสงสาร เมื่อแพ้เลือกตั้งก็อ้างว่าถูกอำนาจรัฐรังแก ฝากนายยงยุทธ อย่าไปคิดว่าคนอื่นจะทำเหมือนที่เคยทำในสมัยที่มีอำนาจ ขณะนี้นายยงยุทธกำลังระแวงทหาร เพราะหากไม่ระแวงเขาคงไม่มาพูดอย่างนี้ การหาเสียงมีวิธีการอื่นมากมาย ไม่ควรใช้วิธีการนี้มาหาเสียง" พล.อ.สมเจตน์ กล่าว

 

เมื่อถามว่า เวลาที่เหลือ คมช.จะเดินหน้าในภารกิจต่างๆ อย่างไร พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า เราไม่ได้เดินหน้ากลั่นแกล้งใคร ขณะนี้สิ่งที่เราทำ คือ โครงการรณรงค์ประชาธิปไตยในหน่วยทหารให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมในการขายเสียง เพราะถือว่าคนซื้อเสียงเป็นคนทำลายชาติ และการขายเสียงคือการขายชาติ

 

เมื่อถามว่า หลายฝ่ายกังวลว่าภายหลังการเลือกตั้งจะเกิดสถานการณ์ความวุ่นวายมากขึ้น พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้อาจเป็นไปได้ เพราะพรรคการเมืองหนึ่งกำลังมาตั้งต้นกล่าวหาว่าถูกรังแก ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีความวุ่นวายเกิดขึ้น เป็นวิถีทางของประชาชนที่จะตัดสินใจเลือกใครเข้ามา หากเกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นมา ประชาชนต้องรับผิดชอบ ทหารปฏิวัติเพื่อให้มาสู่การเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย หากประชาชนยังเลือกคนที่เข้าไปก่อความวุ่นวายให้มันยุ่งยากอีก ประชาชนต้องเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะเจ้าของอำนาจ เพราะเมื่อหมดวาระ คมช.ก็หมดอำนาจ อำนาจก็กลับไปอยู่กับประชาชน

 

เมื่อถามว่า หากเกิดความวุ่นวายทหารจะทำอย่างไร พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ทหารไม่ควรจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองควรจะออกจากการเมือง เพราะเมื่อมีการเลือกตั้งก็ต้องไปตัดสินด้วยวิธีการตามระบอบประชาธิปไตย ทหารไม่มีอำนาจเป็นเพียงกลไกหนึ่งของรัฐเท่านั้น ไม่มีอำนาจไปจัดการอะไร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน

 

"หากประชาชนตัดสินใจเลือกพรรคที่ไม่พยายามขายนโยบาย แต่ชอบนำเรื่องต่างๆ มาเป็นประเด็นกล่าวหากัน หากประชาชนเลือกคนอย่างนี้ก็จะโทษใครไม่ได้ ต้องโทษพวกเราเองทุกคนที่ไปเลือกคนเหล่านี้มา ส่วนการที่นายนพดล ปัทมะ รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน ระบุว่าจะไม่ล้างแค้น คมช. ว่าถือเป็นเรื่องที่ดี และ คมช.ไม่เคยเป็นศัตรูใคร น่าจะคิดได้อย่างนี้ตั้งนานแล้ว คมช.จะเป็นศัตรูกับคนที่ต้องการทำลายประเทศชาติ"พล.อ.สมเจตน์ กล่าว

 

"จำลอง-ปานเทพ" ออกแถลงการณ์จี้ สนช.คว่ำ "หวยบนดิน"

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ - พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ พล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ออกแถลงการณ์ถึง สมาชิก สนช. ขอให้ออกเสียงไม่เห็นด้วยกับ ร่างพ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในวาระ 3

 

ในแถลงการณ์ระบุว่า หวยสองตัวสามตัว เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ขัดต่อนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงของรัฐบาล การอ้างว่าหวยสองตัวสามตัว เป็นเรื่องถูกกฎหมาย เพื่อปราบปรามการเล่นหวยใต้ดินนั้น ไม่เป็นความจริง การที่รัฐบาลอ้างว่าได้กำไรจากการออกสลากมาใช้สอย ก็ไม่เป็นความจริง

 

"ดังนั้น จึงไม่เห็นสมควรที่จะมีหวยสองตัวสามตัวอีกต่อไป จึงขอให้ สนช.ที่สั่งสมชื่อเสียงเกียรติยศมาชั่วชีวิต ช่วยกันออกเสียงในวาระที่ 3 ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล" แถลงการณ์ พล.ต.จำลอง ระบุ 

 

ส่วนแถลงการณ์ของ พล.อ.ปานเทพ ระบุว่าหากพิจารณาอย่างถ่องแท้ รอบคอบ คำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ เปรียบเทียบกับผลเสียในทุกด้าน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว จะเห็นว่ากฏหมายฉบับนี้เป็นกฏหมายที่มีความสำคัญ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการออกกฎหมายให้อบายมุขที่ผิดกฎหมาย เป็นเรื่องถูกกฎหมาย เพื่อให้รัฐบาลเป็นเจ้ามือหวยแข่งกับเจ้ามือหวยใต้ดิน หากร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวผ่านสภาในวารที่ 3 ประวัติศาสตร์จะจารึก สนช.ที่มาจากการปฏิรูปการปกครอง ว่าสมรู้ร่วมคิดกันออกกหมายส่งเสริมอบายมุข

 

"รัฐบาลมีวาระปฏิบัติงานอีกไม่นาน เพราะได้กำหนดวันเลือกตั้งแล้ว ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่จะออกกฎหมายสำคัญ เพื่อให้รัฐบาลต่อไปนำไปปฏิบัติ ขอให้สมาชิกช่วยกันพิจารณาทบทวน ว่าไม่ควรเห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวในวาระที่สาม" พล.อ.ปานเทพ ระบุ

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แถลงการณ์ของ พล.อ.ปานเทพ ได้สนอเหตุผลข้อดี ข้อเสีย ของร่างพ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งฯ เช่น ไม่สอดคล้องกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการมอมเมาเยาวชน และประชาชนที่มีรายได้น้อย รวมถึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และสังคมทั้งระยะสั้น และระยะยาว

 

 





เศรษฐกิจ

 

"หม่อมอุ๋ย" บอกใครเป็นนายกฯไม่ต่างกัน แนะเพิ่มลงทุนภาครัฐ1.6แสนล.

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ - สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดการเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ "อนาคตไทย: ความหวังคำตอบ ที่พ้นจากกรอบการเมืองน้ำเน่า" โดยมี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และนายพงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร รองประธานกรรมการบริษัท อสมท.ร่วมเป็นวิทยากร

 

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า รัฐบาลชุดหน้าคงอยู่ได้ไม่เกิน 1-1.5 ปี เพราะผู้ที่เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นพี่น้องหรือญาติของอดีต 111 คนที่ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง ซึ่งจะต้องเข้ามาออกกฎหมายให้มีการนิรโทษกรรม สำหรับประเด็นในด้านเศรษฐกิจที่มีหลายคนออกมาประเมินว่า ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง ซึ่งจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัญหาตราสารหนี้หรือซับไพรม์ของสหรัฐอเมริกา ที่จะทำให้ภาคการส่งออกจากทุกประเทศทั่วโลกลดลง แต่สำหรับประเทศไทยตนมองในอีก 1 ปีครึ่งต่อจากนี้ จะไม่มืดมนอย่างที่คิด ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้ปีนี้ภาคการลงทุนภาคเอกชนติดลบ เกิดจากการไม่ตัดสินใจ กลัวจะถูกตามล้างตามเช็ดของรัฐบาล ทำให้ 11 โครงการใหญ่มูลค่ากว่า 160,000 ล้านบาท ไม่ออกมา ถือเป็นแบล็กล็อกใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

 

"ถ้านายกฯคนใหม่ไม่งุ่มง่ามเกินไป จะต้องเร่งการลงทุนภาครัฐ โดยเชื่อว่ารัฐบาลใหม่คงจะฉลาดพอที่จะอนุมัติโครงการต่างๆให้เดินหน้าต่อไป เช่น โครงการขนส่งมวลชนกรุงเทพ รวมถึงโครงการสร้างโรงไฟฟ้า IPP โดยทันทีที่มีการเปิดประมูล ภาคอสังหาจะขยับตัวรับ การซื้อขายเก็งกำไรก็จะเกิดตามาทันทีเช่นกัน โดยส่วนตัวเชื่อว่าไม่ว่าพรรคการเมืองใดเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ต้องผลักดันการลงทุนภาครัฐเพื่อเรียกคะแนนเสียงจากภาคธุรกิจ ภาคราชการ และประชาชน" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระบุ

 

อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สำหรับการสร้างความเติบโตให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ต้องทุ่มเทให้กับอุตสาหกรรมและการส่งออกคู่ขนานไปกับแผนพัฒนาชุมชนโดยชุมชน ไม่ใช่พัฒนาชุมชนจากส่วนราชการ ซึ่งสภาพัฒน์ฯกำลังเร่งทำแผนพัฒนาออกมา ในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมและการส่งออก ตนมองว่าประเทศไทยยังมีจุดอ่อนใน 2 ด้าน จุดอ่อนแรก คือ การขาดแคลนพื้นที่อุตสาหกรรมเนื่องจากพื้นที่ในอิสเทิร์นซีบอร์ดเต็มหมดแล้ว จำเป็นต้องมีเขตอุตสาหกรรมใหม่ ที่ผ่านมาตนเสนอให้รัฐบาลผลักดันโครงการเซาท์เทิร์นซีบอร์ด โดยให้มีการนำเข้าน้ำมันดิบเข้ามาที่จ.กระบี่หรือพังงา แล้วส่งน้ำมันผ่านท่อใต้ดินมาเข้าโรงกลั่นที่อ.ขนอม หากทำได้เท่ากับว่าเรายกสิงคโปร์มาไว้ในประเทศไทย แต่นายกฯไม่เอา จึงไม่แน่ใจว่ารัฐบาลชุดใหม่จะกล้าทำหรือไม่ หากเราได้คนกล้าเข้ามาบริหารก็คงจะได้เห็นโครงการเซาส์เทิร์นซีบอร์ดในรัฐบาลหน้า

 

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวอีกว่า ในส่วนจุดอ่อนอีกด้าน คือ ระบบขนส่งที่ต้นทุนน้ำมันแพง ขณะที่เราใช้การขนส่งทางเรือและรถไฟน้อยลง ตนจึงเสนอให้เปิดประมูลให้เอกชนทำท่าเรือขนส่งรถบรรทุกจากแหลมฉบังไปภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันโครงการดังกล่าวยังอยู่บนหิ้งกระทรวงคมนาคม สำหรับการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ตนเสนอให้พัฒนารถไฟให้วิ่งเร็วเทียบเท่ารถยนต์ โดยให้เอกชนเข้ามาลงทุนจัดวางระบบให้มีการขนถ่ายสินค้าได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยให้ทดลองใน 2 เส้นทาง คือสุโขทัยแหลมฉบัง และขอนแก่นแหลมฉบัง ซึ่งแนวคิดดังกล่าวได้รับการตอบรับจากผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่มีปัญหาติดขัดที่สหภาพการรถไฟออกมาคัดค้านเพราะกลัวจะตกงาน ซึ่งเป็นปัญหาต้องติดตามต่อไปว่า รัฐบาลจากการเลือกตั้งจะตัดสินใจอย่างไร

 

"ผมมองว่าเศรษฐกิจไม่ได้มืดมัวอย่างที่คิด ในอีก 1.5 ปีไม่ว่าใครมาเป็นนายกฯ ก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรเลวร้าย หากเร่งทำโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า วางระบบขนส่ง ผลักดันการลงทุนภาครัฐ 160,000 ล้านบาทออกไปแล้วทุกอย่างจะตามมาเอง นอกจากนี้ผมขอเสนอให้กระตุ้นการท่องเที่ยว เพราะรัฐบาลนี้ไม่ได้สนใจกระตุ้นการท่องเที่ยว ขณะที่รัฐบาลไทยรักไทยก็กระตุ้นผิดทาง เพราะสนใจแต่จำนวนและปริมาณนักท่องเที่ยวซึ่งไม่ช่วยเพิ่มรายได้เข้าประเทศ แต่กลับสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อม สิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องทำไม่มีอะไรยาก แค่ไปก็อบปี้แผนการท่องเที่ยวของประเทศตะวันตกมาให้ อย่าไปก็อบปี้แผนของประเทศในเอเชีย"อดีตรองนายกฯกล่าวพร้อมเสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเด็ก ก่อน 6 ปี โดยควรขยายโครงการเรียนฟรีจาก 12 ปีไปเป็น 14 ปี และต้องยกระดับคุณภาพชีวิตของครูให้ดีขึ้นด้วย

 

สำหรับนโยบายด้านประชานิยมนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เก่งการเมืองมากกว่าเศรษฐกิจ เขาเห็นความสำเร็จของกลุ่มออมทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว 40,000 หมู่บ้าน โครงการกองทุนหมู่บ้านเป็นเพียงการเติมเงินให้กับกลุ่มออมทรัพย์ ผลที่ออกมาคือ 40,000 หมู่บ้านบริหารได้ดี ส่วนอีก 30,000 หมู่บ้านที่ทำเป็นบ้างไม่เป็นบ้างก็เสียหายไปกว่า 70 % ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นที่น่าเสียดายว่า รัฐบาลปัจจุบันไม่เข้าไปแก้ไขให้โครงการออมทรัพย์ของทุกหมู่บ้านเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน เพื่อปิดทางไม่ให้พรรคใดเข้ามาหยิบไปหาเสียงอีก ส่วนเรื่องหวยบนดินขณะนี้มีความเห็นตรงกันแล้วว่า จะปล่อยกลับลงดินไปไม่ได้ เพราะคนเดินโพยกว่า 200,000 คน เป็นหัวคะแนนกลุ่มใหญ่ ถ้าไม่มีหวยบนดินคนกลุ่มนี้ก็จะหันไปเลือกพรรคพลังประชาชน

 

ด้านนายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเกิดความเปลี่ยนแปลงต่อแผนที่ของประเทศ 4 ด้าน 1.สึนามิกระทบต่อแผนที่ทางธรรมชาติ 2.ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ปะทุขึ้นเปลี่ยนแปลงแผนที่ทางวัฒนธรรม 3.ปรากฎการณ์ทักษิณ ทำให้แผนที่แห่งความภักดีสั่นสะเทือน และ4.การรัฐประหาร 19 กันยา ส่งผลกระทบต่อแผนที่ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้จะเป็นรัฐบาลผสม เป็นเพราะสังคมไทยไม่พร้อมรับรัฐบาลที่มีเสถียรภาพแต่ขาดความชอบธรรม ภาพการเมืองในอนาคตที่มองเห็นคือความชั่วคราว

 

"สิ่งที่น่าเป็นห่วงหลังการเมืองตั้งคือ ผู้คนจะยึดติดกับการเมืองในระบบเลือกตั้ง จนไม่ให้ความสำคัญกับการเมืองในระบบอื่นๆ ยิ่งรัฐบาลผ่านกฎหมายความมั่นคงออกมาใช้ จึงไม่แน่ใจว่ารัฐบาลผสมพร้อมจะบริหารจัดการหรือไม่ และสิ่งที่กังวลมากที่สุดคือความแตกแยกในสังคม" นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ กล่าว

 

นักวิชาการรุมวิพากษ์กฎหมายค้าปลีก หวั่นให้อำนาจคณะกรรมการเยอะไป

ประชาชาติธุรกิจ - ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ... เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หลังจากร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯขึ้นมาพิจารณารายละเอียดตามคำแปรญัตติ และที่ประชุมได้มีการเลือกประธานและรองประธานเมื่อวันที่ 21 พ.ย. โดยประธานได้แก่ นายวิษณุ เครืองาม รองประธาน ได้แก่ นายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายประมณฑ์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

 

กรรมาธิการผู้นี้ตั้งข้อสังเกตว่า ร่าง พ.ร.บ. ค้าปลีกหรือค้าส่ง ให้อำนาจกับคณะกรรมการการประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งอย่างมาก ซึ่งหากพิจารณาองค์ประกอบของคณะกรรมการชุดนี้จะพบว่า เป็นกรรมการจากส่วนราชการ ถึง 8 คน ไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ในขณะที่เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คน และภาคเอกชน 5 คน

 

ข้อสังเกตประการแรก คือ กรรมการจากส่วนราชการที่มีจำนวน 8 คนล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีงานเต็มเวลาอยู่แล้ว แต่ละคนเป็นกรรมการหลายชุด ฉะนั้นแล้ว กลไกที่จะมีบทบาทอย่างแท้จริงก็คือ สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในเชิงธุรการ โดยเฉพาะการชงเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ และจะว่าไปแล้วเจ้าหน้าที่ในสำนักเลขานุการก็คือเจ้าหน้าที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์นั่นเอง ซึ่งถ้าหากขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของของสำนักงานเลขานุการฯ มีประสิทธิภาพสูงก็จะเป็นผลดี แต่หากทำงาน แบบระบบราชการ อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

 

หากพิจารณาการบริหารจัดการปัญหาค้าปลีกค้าส่งของคณะกรรมการ 5 ชุด ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันการค้า กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง กฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ หรือกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร จะพบว่าไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะทุกคณะกรรมการล้วนทำงานล่าช้า ไม่ทันกาลตามระบบราชการ

 

"รูปแบบคณะกรรมการการประกอบธุรกิจ ค้าปลีกหรือค้าส่ง จะกลายเป็นยักษ์ที่มีกระบอง แต่ใช้กระบองไม่เป็น หรือกระบองที่มีอยู่ตามกฎหมาย จะนำมาบังคับใช้ได้จริงจังมากน้อย แค่ไหน ถ้ากระบองหรืออำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการที่มีอยู่แล้ว 5 คณะกรรมการถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่จึงตั้งประจันหน้ากันทั่วเมือง อย่างเช่นทุกวันนี้หรือ" ดร.สมภพกล่าว

 

ข้อน่าสังเกตอีกประการคือ คณะกรรมการระดับจังหวัดกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง (กจค.) โดยพาณิชย์จังหวัด ทำหน้าที่เป็นกรรมการและเลขานุการ และกรรมการอื่นๆ ล้วนมาจากส่วนราชการ ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด ไปจนถึงนายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัด และตัวแทนจากภาคเอกชน แต่จริงๆ แล้ว อำนาจจะอยู่ที่เลขานุการ ประเด็นคือ ถ้ากลไกไม่มีประสิทธิภาพจะแก้ปัญหาระบบการค้าปลีกค้าส่ง โดยเฉพาะระบบการกระจายสินค้า และระบบโลจิสติกส์ได้อย่างไร

 

"ถ้าระบบการบริหารจัดการ ระบบการกระจายสินค้า และระบบโลจิสติกส์ไม่มีประสิทธิภาพ ย่อมส่งผลกระทบต่อการค้าปลีกและค้าส่งทั้งระบบ ตั้งแต่ระดับต้นน้ำ คือ ซัพพลายเออร์ กลางน้ำคือ ค้าปลีกค้าส่งทุกรูปแบบ ปลายน้ำคือ ผู้บริโภค ล่าสุดระบบโลจิสติกส์ของไทย เป็นต้นทุนกว่า 24% ของจีดีพี ต้นทุนเหล่านี้จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก ถ้ากลไกตามกฎหมายค้าปลีกค้าส่ง ไม่มีประสิทธิภาพ แทนที่จะเป็นการสนับสนุนส่งเสริม จะกลับกลายเป็นอุปสรรค และตัวบั่นทอนระบบห่วงโซ่การค้าทั้งระบบ"

 

ดร.สมภพกล่าวว่า ข้อสังเกตประการต่อมา คือ ร่างกฎหมายดังกล่าวขาดความชัดเจน และมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปออกกฎกระทรวงและประกาศ ซึ่งคาดหมายไม่ได้ว่า จะมีกฎกระทรวงอะไรออกตามมาในอนาคต ความไม่แน่นอนเหล่านี้คือปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ประกอบด้วย นายการุณ กิตติสถาพร ว่าที่ ร.อ.จิตร์ ศิรธรานนท์ นายประมนต์ สุธีวงศ์ นายวิษณุ เครืองาม นายอภิชาติ จีระพันธ์ นายสมภพ มานะรังสรรค์ นายพชร ยุติธรรมดำรง นายอัมมาร สยามวาลา นายสมชาย พรรัตนเจริญ และนายดามพ์ สุคนธทรัพย์ เป็นต้น โดยคณะกรรมาธิการจะประชุมทุกบ่ายวันจันทร์และ วันพฤหัสบดี

 

"เหยื่อแชร์ข้าวสาร" กว่า 300 โร่แจ้งความ - "ดีเอสไอ" เตรียมออกหมายจับเจ้าของ

มติชน - พ.ต.ท.เบญจพล จันทวรรณ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 8 สำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หัวหน้าชุดปฏิบัติการสืบสวนสอบสวนคดีแชร์ข้าวสาร จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความกว่า 300 ราย จาก 462 ราย ซึ่งมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับนายรชต ชวาลาอกนิษฐ์ ประธานบริษัท ร่วมทุนค้าปลีก จำกัด ภายในสัปดาห์นี้ ส่วนผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้องจะทยอยออกหมายจับเป็นรายไป

 

'พบว่ามีความพยายามที่จะเหนี่ยวรั้งผู้เสียหายไม่ให้แจ้งความ ซึ่งจะคืนเงินให้บางส่วน แต่ก็ไม่เป็นไปตามนัดหมาย ผู้เสียหายหมดความอดทนที่จะได้เงินคืน จึงตัดสินใจเข้าความแจ้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่หลงเชื่อขบวนการที่ฉ้อโกงแล้ว' พ.ต.ท.เบญจพล กล่าว

 

น้ำมันดิบ เฉียด '100ดอลล์' อีก

มติชน - เอเอฟพีรายงานจากลอนดอนว่า ในวันที่ 26 พฤศจิกายน ราคาน้ำมันดิบไลท์สวีต กำหนดส่งมอบล่วงหน้าเดือนมกราคมปรับตัวขึ้นไปอยู่เหนือระดับ 99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลอีกครั้ง โดยในการซื้อขายช่วงหนึ่งขึ้นไปสูงถึง 99.11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 82 เซนต์ เกือบเท่าสถิติของสัปดาห์ที่แล้วซึ่งทำสถิติสูงที่สุด 99.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 96.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 70 เซนต์ ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ระบุว่าเป็นเพราะตลาดน้ำมันมีความตึงตัวเมื่อเทียบกับปริมาณและความต้องการ นอกจากนี้ เป็นเพราะระดับน้ำมันสำรองของสหรัฐต่ำกว่าที่คาดมาก

  

กรมขนส่ง ยันยังไม่อนุมัติปรับค่าโดยสาร

มติชน - นายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายสรรเสริญ วงศ์ชะอุ่ม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้บริหารบริษัทขนส่ง จำกัด (บขส.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ว่า ทางกรมการขนส่งทางบกจะมีการพิจารณาการปรับโครงสร้างการขึ้นราคาค่าโดยสารใหม่ให้ทันสมัยและมีความยั่งยืนมากขึ้นโดยอาจมีตัวชี้วัดอื่นๆ ประกอบการพิจารณา อาทิ ดัชนีการขนส่ง ดัชนีผู้บริโภค ที่จะแล้วเสร็จภายในปีนี้เป็นต้น

 

ส่วนข้อเสนอของสมาคมผู้ประกอบการรถยนตร์โดยสารที่จะขอปรับขึ้น 9 สตางค์ต่อกิโลเมตรในวันที่ 16 มกราคมปีหน้านั้น หากยังไม่มีการประกาศของคณะกรรมการขนส่งทางบกกลางก็ยังไม่สามารถปรับขึ้นได้

 

นอกจากนี้ การปรับราคาของคณะกรรมการขนส่งทางบกกลางเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาแต่ บขส. และ ขสมก. ยังไม่ได้ปรับขึ้นราคานั้นคาดว่าหลังจากการตรึงราคาจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2551 ทางกระทรวงคมนาคมและกรมการขนส่งทางบกกลางจะมีการพิจารณาอีกครั้ง

 

 





วิทยาการ

 

ก.พ.ร.เสนอของบฯ สร้าง 'อีเมล์-กลาง' ป้องกันภัยเสี่ยงใช้ 'อีเมลเทศ'

มติชนออนไลน์ - นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) กล่าว เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ว่าที่ประชุม ก.พ.ร. ให้ความเห็นชอบการพัฒนาระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อี-เมล์) กลางสำหรับภาครัฐ หลังจากข้าราชการ ลูกจ้าง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ นิยมใช้ฟรีอี-เมล์ ที่จัดทำโดยบริษัทเอกชนในต่างประเทศ อาทิ Gmail, Hotmail, Yahoo ติดต่องานทางราชการ โดยไม่ได้อ่านเงื่อนไขของผู้ให้บริการที่ว่า ผู้ให้บริการสามารถทำสำเนาเอกสาร และอ่านอี-เมล์นั้นๆ ได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาวต่อระบบราชการไทย หากมีการนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อวัตถุประสงค์อื่น หรือนำไปใช้ในทางมิชอบ หรือแอบลักลอบดูเอกสารที่เป็นความลับ

 

นายทศพรกล่าวว่า คุณสมบัติสำคัญของระบบอี-เมล์กลางภาครัฐ อาทิ ควรเป็นเว็บไซต์ให้บริการอี-เมล์ขั้นพื้นฐาน เช่นเดียวกับฟรี อี-เมล์ของต่างประเทศ ควรมีระบบเฝ้าระวัง เช่น ตรวจไวรัสและอี-เมลขยะตลอดเวลา ควรมีการจัดการชั้นความลับและขั้นความเร็วของเอกสารทางราชการ ควรจัดขนาดของระบบให้เพียงพอต่อการเก็บข้อมูลผู้ใช้วันละ 3 พันล้านตัวอักษร เท่ากับฟรี อี-เมล์ของต่างประเทศ เป็นต้น โดยจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พร้อมของอนุมัติงบฯอย่างเร่งด่วน เพื่อพัฒนาระบบให้เริ่มใช้งานได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2551โดยจะเสนอหน่วยงานภาครัฐ เช่น ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เป็นผู้รับงบฯไปศึกษาออกแบบและดำเนินการต่อไป

 

จีนเผยภาพแรกดวงจันทร์ ถ่ายโดยยานสำรวจชาง-อี-วัน

สำนักข่าวเนชั่น - จีนเผยภาพดวงจันทร์ภาพแรกที่ถ่ายโดยยานสำรวจดวงจันทร์ ชาง-อี วัน ระหว่างงานเลี้ยงฉลองที่ปักกิ่ง แอร์โร-สเปซ เซ็นเตอร์ เมื่อวันจันทร์ อันแสดงถึงการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในภารกิจส่งดาวเทียมไปสำรวจสภาพทางภูมิศาสตร์ของดวงจันทร์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ยกย่องว่าเป็นย่างก้าวสำคัญตามความฝันในการสำรวจดวงจันทร์ อันยาวนานนับพันปีของจีน

 

จีนได้ตั้งความหวังว่า การสำรวจดวงจันทร์ที่เริ่มเมื่อเดือนที่แล้ว จะเป็นการสำรวจผิวหน้าทั้งหมดของดวงจันทร์ให้ได้อย่างน้อยหนึ่งครั้งภายในต้นปีหน้า และนับเป็นภารกิจที่ไล่หลังภารกิจเดียวกันของญี่ปุ่น ที่ส่งผลให้เกิดการคาดหมายกันว่าจะเกิดการแข่งขันกันด้านอวกาศในเอเชีย ซึ่งอินเดียก็มีแผนที่จะส่งยานไปสำรวจดวงจันทร์เช่นกัน ในเดือนเมษายนปีหน้า

 

เจ้าหน้าที่ทางการจีน ได้แสดงท่าทีว่าไม่สนใจเรื่องการแข่งขันด้านอวกาศ โดยระบุว่า จีนต้องการใช้โครงการของตนเองในการทำงานร่วมกับประเทศอื่น และหวังว่าจะมีส่วนร่วมในการสร้างสถานีอวกาศนานาชาติด้วย ซึ่งเมื่อปี 2546 จีนได้กลายเป็นชาติที่สามของโลก ต่อจากสหรัฐและรัสเซีย ที่ส่งมนุษย์ ไปในอวกาศ และในปี 2548 ได้ส่งมนุษย์ไปในอวกาศพร้อมกัน 2 คน

 

 





คุณภาพชีวิต

 

ชมรมแพทย์ชนบท เล็งร้องป.ป.ช.หากสนช. ผ่านกม.เหล้า

มติชนออนไลน์ - เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า ได้ทราบข่าวว่า กฎหมายห้ามโฆษณาเหล้าเบียร์กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วาระ 2 และ 3 ในวันที่ 28 พฤศจิกายน ชมรมแพทย์ชนบท เครือข่ายองค์กรงดเหล้า และภาคีเครือข่ายจะนัดชุมนุมกันที่หน้ารัฐสภาในวันดังกล่าว เพื่อขอให้ สนช.ผ่านกฎหมายดังกล่าว คาดว่าจะมีคนมาร่วมไม่น้อยกว่า 2,500 คน

 

'ขณะนี้บริษัทเหล้าเบียร์ได้มีการพยายามวิ่งเต้นจ่ายเงินให้ สนช.เพื่อล้มกฎหมายฉบับนี้ ถ้ากฎหมายฉบับนี้ไม่ผ่าน เครือข่ายจะนำชื่อของ สนช.ที่โหวตไม่รับกฎหมายฉบับนี้มาเปิดเผยแก่สื่อมวลชน เพื่อประณามและจะเรียกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินต่อไป' นพ.เกรียงศักดิ์

 

สธ.เผย 11 เดือน ปีนี้ พบโรคมือเท้าปากกว่า 7,000 ราย

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ - นายแพทย์มรกต กรเกษม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคมือเท้าปาก (Hand Foot Mouth Disease) ว่าโรคดังกล่าวมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส โดยสถานการณ์โรคในปีนี้น่าห่วง เนื่องจากมีการระบาดแตกต่างจากปีที่ผ่านมา ซึ่งโดยทั่วไปโรคนี้มักจะพบมากในฤดูฝนแต่ในปีนี้พบว่าโรคมือเท้าปากมีการระบาดต่อเนื่องมาถึงต้นฤดูหนาว

 

นายแพทย์มรกต กล่าวว่า จากรายงานของสำนักระบาดวิทยา รายงานตลอด 11 เดือนปี 2550 นี้ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนพฤศจิกายน ทั่วประเทศพบผู้ป่วยโรคมือเท้าปากทั้งหมด 7,578 ราย เสียชีวิต 1 ราย กว่าร้อยละ 90 เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบพบมากที่สุดในภาคกลาง จำนวน 4,277 ราย รองลงมาได้แก่ ภาคเหนือ 1,490 ราย ภาคใต้ 1,096 ราย และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 715 ราย โดยจำนวนผู้ป่วยในปีนี้มากกว่าในปี 2549 เกือบ 2 เท่าตัว

 

พื้นที่มีรายงานผู้ป่วยมากที่สุด 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 2,567 ราย รองลงมาเป็นจังหวัดสมุทรปราการ 397 ราย ลำปาง 302 ราย นนทบุรี 270 ราย พัทลุง 201 ราย กระบี่ 188 รายสุราษฎร์ธานี 180 ราย เชียงราย 153 ราย เชียงใหม่และนครสวรรค์ จังหวัดละ 142 ราย ทั้งนี้ พบผู้ป่วยสูงสุดในเดือนตุลาคม จำนวน 2,231 ราย และกันยายน จำนวน 1,944 รายในเดือนพฤศจิกายน พบผู้ป่วย 441 ราย ซึ่งจำนวนผู้ป่วยทั้ง 3 เดือนนี้ คิดเป็นร้อยละ 60 ของผู้ป่วยที่พบทั้งหมด

 

นายแพทย์มรกต กล่าวต่อว่าได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เฝ้าระวังผู้ป่วยและให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันโรค โดยโรคนี้เกิดได้กับคนทุกวัยแต่พบมากที่สุดในกลุ่มเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ติดต่อกันโดยรับประทานอาหาร ดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป สัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนน้ำมูกน้ำลาย และอุจจาระของผู้ป่วย หรือน้ำในตุ่มพองหรือแผลของผู้ป่วย และติดโดยการหายใจเอาเชื้อที่แพร่กระจายจากละอองฝอยของการไอ จามของผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อ การระบาดมักเกิดขึ้นบ่อยในกลุ่มเด็ก เช่น สถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาล โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่ถูกสุขลักษณะอยู่กันอย่างแออัด และมีฐานะยากจน

 

การป้องกันโรคที่ดีที่สุดคือ ต้องล้างมือฟอกสบู่ทุกครั้งหลังจากใช้ห้องน้ำห้องส้วม หรือสัมผัสของเล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ การล้างมือจะขจัดเชื้อโรคออกไปได้ร้อยละ 80 และหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า ของเล่น แก้วน้ำรวมทั้งห้ามใช้หลอดดูดน้ำร่วมกันด้วย โดยเฉพาะผู้ปกครองและพี่เลี้ยง ควรล้างมือทุกครั้งหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมและก่อนเตรียมอาหารให้เด็กหากพบเด็กมีตุ่มใสขึ้นที่ปาก มือ หรือเท้า ห้ามซื้อยากินเอง แนะนำให้พาไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษา และแยกเด็กป่วยไม่ให้คลุกคลีกับเด็กอื่นประมาณ 1สัปดาห์เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

 

ทางด้านนายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคมือเท้าปากเกิดขึ้นได้ทั่วโลกลักษณะการเกิดกระจัดกระจาย หรือระบาดเป็นครั้งคราว สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่มเอ็นเทอโรไวรัส (Enteroviruses) ซึ่งอยู่ในลำไส้ของคน มีหลายสายพันธุ์ที่ก่อโรคได้แก่ ค็อกซากี่ไวรัส กลุ่มเอ (Coxsackie virus group A) ซึ่งเป็นชนิดที่ไม่รุนแรง และชนิดที่อาการรุนแรงคือ เอ็นเทอโรไวรัส 71 (enterovirus 71)

 

ฝุ่นสุวรรณภูมิพุ่งกระฉูดสจล.แนะเครื่องบินติดอุปกรณ์ดักไอเสีย

คมชัดลึก - ดร.ปรีชายุพาพิน อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ประยุกต์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า สถาบันร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องมือวัดจากสหรัฐอเมริกา สำรวจสภาพอากาศรอบสนามบินสุวรรณภูมิก่อนและหลังเปิดให้บริการ 1 ปี (2549-2550) โดยติดตั้งเครื่องมือวัดสภาพภูมิอากาศไว้โดยรอบบริเวณสนามบินในรัศมี 15 กิโลเมตร พบปริมาณฝุ่นละอองเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

 

"ฝุ่นละอองโดยรอบสนามบิน เกิดจากการเผาไหม้ไม่หมดของเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ สามารถแก้ไขได้ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์กรองไอเสีย หรือปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้เครื่องยนต์ใหม่อยู่เสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว ซึ่งส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจแก่ผู้ที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง ดร.ปรีชากล่าวและว่า เครื่องยนต์รุ่นใหม่มีประสิทธิภาพในการเผาไหม้สูง ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดฝุ่นละอองจึงน้อยกว่าเครื่องยนต์รุ่นเก่า คล้ายกับรถยนต์ที่ต้องตรวจสภาพเครื่องยนต์อยู่เป็นประจำ 

 

อย่างไรก็ตามผลจากการตรวจวัดสภาพภูมิอากาศโดยรอบสนามบินสุวรรณภูมิ ในช่วงก่อนและหลังเปิดใช้งาน พบค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.1% ซึ่งอยู่ในระดับไม่อันตราย เนื่องจากน้ำฝนช่วยชะล้างฝุ่นละอองไปบางส่วน แต่หากไม่มีมาตรการควบคุมการปลดปล่อยฝุ่นละออง คาดว่าจะเกิดวิกฤติได้ในปี 2573 หรืออีก 25 ข้างหน้า ขณะที่ปัจจุบันปริมาณฝุ่นละอองบริเวณถนนสีลม สุขุมวิท และเยาวราช สูงถึง 0.6% ซึ่งอยู่ในระดับอันตรายต่อสุขภาพประชาชน

 

ทีมวิจัยยังศึกษาผลกระทบของฝุ่นละอองที่มีต่อสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยร่วมกับบริษัท แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส พบค่าฝุ่นละอองที่เพิ่มขึ้น 0.1% ไม่มีผลต่อสัญญาณโทรศัพท์ ส่วนค่าที่ส่งผลกระทบต้องอยู่ในระดับ 0.5% ขึ้นไป

 

ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้ระบบดิจิทัลและซีดีเอ็มเอ ทำให้ปัญหาการรบกวนสัญญาณจากปริมาณฝุ่นละอองกระทบน้อยมาก ซึ่งต่างจากระบบอะนาล็อก ในย่านความถี่ 470 เมกะเฮิรตซ์ จะได้รับผลกระทบด้านสัญญาณความชัดเจนพอสมควร นักวิจัยสจล.กล่าว

 

 





ต่างประเทศ

 

ผู้นำรัสเซีย ขู่พิจารณาความสัมพันธ์กับรบ.สหรัฐฯ

ไทยรัฐออนไลน์ - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ (27 พ.ย.) ว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ออกมาโจมตีว่า รัฐบาลสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังการเสนอแนะองค์การเพื่อความร่วมมือและความมั่นคงแห่งยุโรป (OSCE) ไม่ให้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาสังเกตการณ์เลือกตั้งทั่วไปในรัสเซีย ที่จะมีขึ้นในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ เพราะต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งรัสเซียจะพิจารณาความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อย่างแน่นอน

 

ด้านทำเนียบขาว และโอเอสซีอี ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า พรรคของนายปูตินจะได้รับเสียงข้างมากจากการเลือกตั้ง และหลายฝ่ายก็ออกมาแสดงความวิตกกังวล หลังจากที่รัฐบาลออกมาตรการรุนแรงปราบปรามกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคฝ่ายค้านก่อนหน้าการเลือกตั้ง

 

เอ็นจีโอเคนยา โวยรบ.โหด สังหารหมู่ลัทธิต้องห้าม 8 พันศพ

มติชน - กลุ่มมูลนิธิให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายของเคนยา อ้างว่า ตำรวจทางการเคนยาได้สังหารสมาชิกของกลุ่มลัทธิมุนจีกี เป็นจำนวน 8,040 คน ตั้งแต่ปี 2002-2007 ด้วยวิธีการทรมานและสังหารทิ้ง ในพื้นที่ชุมชนแออัดหลายพื้นที่ ทั้งนี้จากการเปิดเผยของบรรดาญาติเหยื่อ หลักฐานบันทึกเอกสารของตำรวจ และอื่นๆ นอกจากนี้ สมาชิกกลุ่มอีก 4,070 คนยังเผชิญชะตากรรมหายสาบสูญ จากปฏิบัติการกวาดล้างของทางการเคนยาด้วย

 

การเปิดเผยนี้มีขึ้นหลังจากคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชนเคนยาได้กล่าวหาตำรวจ ว่า ปฎิบัติการวิสามัญฆาตกรรมสมาชิกกลุ่มกว่า 500 คน เมื่อช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา และยังมีขึ้นในช่วงการเมืองของประเทศนี้กำลังเข้าห้วงเลือกตั้ง โดยรายงานระบุว่าก่อนหน้านี้ ตำรวจเคนยาได้มุ่งกวาดล้างสมาชิกกลุ่มมุนกีจี หลังจากที่กลุ่มได้ก่อสถานการณ์วุ่นวายในหลายพื้นที่ของกรุงไนโรบีเมืองหลวง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท